ใกล้จะปีใหม่ทีไร ก็อดไม่ได้ทุกที ที่จะย้อนคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเลยไปในตลอดทั้งปี
เราตั้งเป้าหมายอะไรไว้บ้างนะ แล้วทำอย่างที่คิดไว้ได้รึเปล่า...
บอกตามตรงเลยย ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือน้ำหนัก 55555
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า..
จริงๆ แล้ว ปีนี้เป็นปีที่เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญในด้านการงาน รวมถึงความรัก
ไม่น่าเชื่อ ว่าอายุ 20 ปลายๆ อย่างชั้นจะต้องมาผิดหวังกับความรักซ้ำแล้วซ้ำอีก!!
เราก็เลยเข็ดหลาบบบ และตั้งใจใช้ชีวิตโสดอย่างมีความสุข พอแล้ว ไม่ไขว่คว้าดิ้นรนอะไรอีกละ
แน่ล่ะ มันไม่ได้ง่ายนักหรอก การที่จะมีความสุขตลอดเวลาเนี่ย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเข้มแข็ง และปลง (-*-) กับชีวิตได้ก็คือ "หนังสือ" (เยิ่นมาตั้งนาน เข้าเรื่องสักที)
เราลองมาไล่ๆ ดู ปีนี้เราอ่านหนังสือไปหลายเล่มทีเดียว
มาดูกันเลยดีกว่า ว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง
ป.ล. หนังสือทั้งหมดนี้เรียงแบบสุ่ม ไม่ได้เรียงตามความชอบนะคะ เพราะจริงๆ แล้ว เราก็ชอบแทบทุกเรื่อง 😃😃
1. The rhythm of life: living every day with passion and purpose by Matthew Kelly
หนังสือเล่มนี้ดีงามมากกกก,,
จริงๆ แล้ว เราไม่อ่านหนังสือแนวปรัชญาเลยย (หนักๆ ไปด้านนิยาย)
แต่จู่ๆ ในขณะที่เรากำลังเบื่อแสนเบื่อ เลื่อนหน้าจอมือถือไปมา ก็เห็นโพสต์นึงของเพื่อน ซึ่งเป็น quote มาจากหนังสือ เราเลยไปหามาอ่าน
เล่มนี้ เป็นสิ่งที่คอยเตือนให้เรานึกถึงเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในชีวิต
ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตเรามีอะไรๆ หลายอย่างที่สำคัญที่เราอาจจะลืมนึกถึงไป
พาร์ทหลังๆ อาจมีแทรกศาสนานิดนึง ถ้าไม่ mind อะไร เล่มนี้เป็นเล่มหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ดีทีเดียวค่ะ
ภาพจากพี่กู๋ เราหาหนังสือไม่ได้ เลยซื้อไฟล์ kindle มาค่ะ
2. Tuesday with Morrie by Mitch Albom
หลังจากอ่านเล่มตะกี๊จบ ก็หยิบเล่มนี้มาอ่านต่อ เล่มนี้แลกของขวัญได้มาเมื่อคริสต์มาสปีก่อนนู้นนนนน
เป็นเรื่องของ Morrie ซึ่งป่วยระยะสุดท้าย เล่มนี้สอนบทเรียนหลายอย่างมากก
ความตายคือส่วนหนึ่งของมนุษย์ สิ่งที่มีคุณค่า คือเราทำอะไรตอนมีชีวิตอยู่
(หูยยยย อ่านจบแล้วปลงไปอีก 30 ปี) แต่เล่มนี้ดีมากกค่ะ อ่านง่าย ละเล่มเล็กๆ ไม่หนามากนัก
3. สู่นรกภูมิ (Inferno) by Dan Brown
ขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นแฟนพันธุ์แท้ แดน บราวน์ ไล่ตามอ่านมาหลายเรื่องตั้งแต่ Angels & Demons, The Davinci Code, the Lost Symbol มาจนถึงเล่มนี้ (ซึ่งทำเป็นหนังด้วย แต่เราไม่ได้ไปดูนะ)
ถามว่าสนุกไหม? 'ก็สนุกนะ' ตื่นเต้นไหม? 'ก็ดี'
แต่คือแบบ แดน บราวน์ พี่แกเล่นเขียนแนวเดียวกันทู้กเรื่องงง
ประมาณอิงประวัติศาสตร์ บรรยายแต่ละฉากละเอียดยิบ หักมุมหลายๆ ตลบ
พอมาอ่านเล่มหลังๆ เราก็เลยเริ่มเบื่อออ (คหสต.) เล่มถัดไปชั้นจะคอยดูนะ ว่าพี่แกจะเขียนแนวเดิมอีกไหม (ยังจะตาม ><)
4. สุดชีวิต by แอลิซ มันโร
เล่มนี้ เราได้เป็นของขวัญมาจากเพื่อนที่ทำงานเก่า
เป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องมารวมกันค่ะ ซึ่งแต่ละตอนก็จะมีธีม ที่แตกต่างออกไป
เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ ช่วงหนึ่ง ของชีวิตคนๆ หนึ่ง
ทิ้งอะไรไว้ให้เราคิดต่อ อ่านแล้วได้ความรู้สึกอิ่ม มีหลากหลายความรู้สึก ดีงามมมมค่ะ
5. การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก (South of the border, West of the Sun) by Haruki Murakami
อันที่จริง เราเคยได้ยินชื่อฮารูกิ มาจากนิยายดังๆ เล่มอื่นๆ มาก่อนแล้ว อาทิเช่น The Norwegian Wood แต่เราก็ไม่เคยอ่านหนังสือของเค้าสักที
เล่มนี้ เล่าถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่มีรักแรกฝังใจตั้งแต่ยังเด็ก เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เค้าก็จะหวังเสมอว่าถ้าได้เจอเธอจะเป็นยังไงนะ และแล้วก็ได้มาเจอในวันที่ฝนตก ซึ่งตอนนั้นเค้าแต่งงาน และมีลูก 2 ไปแล้ว
เล่มนี้ออกแนว การค้นหาตัวเอง ความขัดแย้งในใจ เราว่าก็ดี อ่านได้เรื่อยๆ
6.+7. พิษสวาท โดย ทมยันตี และ Ziska by Marie Corelli
ทั้งสองเรื่องนี้ เราไม่ได้ตั้งใจอ่าน แต่ตอนนั้นต้องเขียนบทความส่ง ละหัวตันไปหมด
พอดิบพอดีกับพิษสวาทกำลังบูม และมีข่าวว่าอาจเอาแนวมาจากนิยายอังกฤษ
เราเลยลงทุน อ่านแม่มมเลย 5555
เราว่าทั้งสองเรื่องนี้สนุกดีค่ะ เป็นมุมมองของความรักที่ผ่านความอาฆาต การให้อภัย
แต่ละเรื่องมีธีมเดียวกัน แต่แตกต่างออกไปตามสภาพบริบทสังคม และวัฒนธรรมของผู้แต่ง
8. Harry Potter: the Cursed Child by J.K. Rowling
หูยยยยยยยย ~ ติ่งแฮร์รี่แบบอิชั้นจะพลาดเหรอออออออ นี่จองกับ Asiabook ไว้ล่วงหน้าหลายเดือน 555
และแล้วเจ้เจเค ก็สนองนีดผู้อ่าน จัดเรื่องลูกชายแฮร์รี่มาให้บรรดาแฟน
แต่ว่าเราแอบผิดหวังเล็กน้อยย เพราะมันเป็น Screenplay ซึ่งภาษามันไม่สละสลวย ไม่ถึงใจ
อ่านไปก็บ่นไป แต่อ่านจนจบค่ะ (เนื้อเรื่องสนุกมากกกก แต่เราไม่ชอบภาษาค่ะ)
9. Fantastic Beasts and where to find them by J.K. Rowling
ยังๆๆ ยังจะหามาอ่านอีก 555 เล่มนี้ซื้อตามหนังค่า
ไปดูหนังมา แล้วประทับใจในตัว Newt มากๆ เลยอยากหาหนังสือเก็บไว้
แต่มันเป็น Screenplay อีกแล้วววววววววว อยากได้แบบเว่อวังอลังการน่ะ
เลยซื้อเป็นไฟล์ kindle เก็บไว้พอ เนื้อหาในหนังสือ เหมือนในหนังเป๊ะ ทุกคำพูด ทุกการกระทำ
มีการบรรยายมุมกล้อง บรรยายฉากเล็กน้อยให้พอหอมปากหอมคอ
หมดแล้ววววววววว 9 เรื่องที่อ่านจบในปีนี้
ที่จริงเรายังมีหนังสือที่ซื้อมาแล้วไม่ได้อ่าน (มือเผลอหยิบ แบบไม่รู้ตัว) เช่น
แฮร์รี่ปกทอง 1-7, Game of Thrones 1-5 (used)
หรือยังอ่านไม่จบ
เล่มล่าสุดที่เพิ่งซื้อมา สดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้คือ The Alchemist ซื้อมาเพราะคำโปรยหน้าปก (A Fable about following your dream) เลยว่าจะเอามาอ่านช่วงคืนข้ามปีนี้ (ปาดน้ำตาแปปป)
แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ อ่านอะไรกันมาบ้างเอ่ยในปีนี้ เอามาแชร์กันได้น้าาา
มาร่วมแชร์ หนังสือที่เราอ่านในปี 2016 กันค่ะ :)
เราตั้งเป้าหมายอะไรไว้บ้างนะ แล้วทำอย่างที่คิดไว้ได้รึเปล่า...
บอกตามตรงเลยย ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือน้ำหนัก 55555
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า..
จริงๆ แล้ว ปีนี้เป็นปีที่เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญในด้านการงาน รวมถึงความรัก
ไม่น่าเชื่อ ว่าอายุ 20 ปลายๆ อย่างชั้นจะต้องมาผิดหวังกับความรักซ้ำแล้วซ้ำอีก!!
เราก็เลยเข็ดหลาบบบ และตั้งใจใช้ชีวิตโสดอย่างมีความสุข พอแล้ว ไม่ไขว่คว้าดิ้นรนอะไรอีกละ
แน่ล่ะ มันไม่ได้ง่ายนักหรอก การที่จะมีความสุขตลอดเวลาเนี่ย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเข้มแข็ง และปลง (-*-) กับชีวิตได้ก็คือ "หนังสือ" (เยิ่นมาตั้งนาน เข้าเรื่องสักที)
เราลองมาไล่ๆ ดู ปีนี้เราอ่านหนังสือไปหลายเล่มทีเดียว
มาดูกันเลยดีกว่า ว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง
ป.ล. หนังสือทั้งหมดนี้เรียงแบบสุ่ม ไม่ได้เรียงตามความชอบนะคะ เพราะจริงๆ แล้ว เราก็ชอบแทบทุกเรื่อง 😃😃
1. The rhythm of life: living every day with passion and purpose by Matthew Kelly
หนังสือเล่มนี้ดีงามมากกกก,,
จริงๆ แล้ว เราไม่อ่านหนังสือแนวปรัชญาเลยย (หนักๆ ไปด้านนิยาย)
แต่จู่ๆ ในขณะที่เรากำลังเบื่อแสนเบื่อ เลื่อนหน้าจอมือถือไปมา ก็เห็นโพสต์นึงของเพื่อน ซึ่งเป็น quote มาจากหนังสือ เราเลยไปหามาอ่าน
เล่มนี้ เป็นสิ่งที่คอยเตือนให้เรานึกถึงเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในชีวิต
ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตเรามีอะไรๆ หลายอย่างที่สำคัญที่เราอาจจะลืมนึกถึงไป
พาร์ทหลังๆ อาจมีแทรกศาสนานิดนึง ถ้าไม่ mind อะไร เล่มนี้เป็นเล่มหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ดีทีเดียวค่ะ
ภาพจากพี่กู๋ เราหาหนังสือไม่ได้ เลยซื้อไฟล์ kindle มาค่ะ
2. Tuesday with Morrie by Mitch Albom
หลังจากอ่านเล่มตะกี๊จบ ก็หยิบเล่มนี้มาอ่านต่อ เล่มนี้แลกของขวัญได้มาเมื่อคริสต์มาสปีก่อนนู้นนนนน
เป็นเรื่องของ Morrie ซึ่งป่วยระยะสุดท้าย เล่มนี้สอนบทเรียนหลายอย่างมากก
ความตายคือส่วนหนึ่งของมนุษย์ สิ่งที่มีคุณค่า คือเราทำอะไรตอนมีชีวิตอยู่
(หูยยยย อ่านจบแล้วปลงไปอีก 30 ปี) แต่เล่มนี้ดีมากกค่ะ อ่านง่าย ละเล่มเล็กๆ ไม่หนามากนัก
3. สู่นรกภูมิ (Inferno) by Dan Brown
ขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นแฟนพันธุ์แท้ แดน บราวน์ ไล่ตามอ่านมาหลายเรื่องตั้งแต่ Angels & Demons, The Davinci Code, the Lost Symbol มาจนถึงเล่มนี้ (ซึ่งทำเป็นหนังด้วย แต่เราไม่ได้ไปดูนะ)
ถามว่าสนุกไหม? 'ก็สนุกนะ' ตื่นเต้นไหม? 'ก็ดี'
แต่คือแบบ แดน บราวน์ พี่แกเล่นเขียนแนวเดียวกันทู้กเรื่องงง
ประมาณอิงประวัติศาสตร์ บรรยายแต่ละฉากละเอียดยิบ หักมุมหลายๆ ตลบ
พอมาอ่านเล่มหลังๆ เราก็เลยเริ่มเบื่อออ (คหสต.) เล่มถัดไปชั้นจะคอยดูนะ ว่าพี่แกจะเขียนแนวเดิมอีกไหม (ยังจะตาม ><)
4. สุดชีวิต by แอลิซ มันโร
เล่มนี้ เราได้เป็นของขวัญมาจากเพื่อนที่ทำงานเก่า
เป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องมารวมกันค่ะ ซึ่งแต่ละตอนก็จะมีธีม ที่แตกต่างออกไป
เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ ช่วงหนึ่ง ของชีวิตคนๆ หนึ่ง
ทิ้งอะไรไว้ให้เราคิดต่อ อ่านแล้วได้ความรู้สึกอิ่ม มีหลากหลายความรู้สึก ดีงามมมมค่ะ
5. การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก (South of the border, West of the Sun) by Haruki Murakami
อันที่จริง เราเคยได้ยินชื่อฮารูกิ มาจากนิยายดังๆ เล่มอื่นๆ มาก่อนแล้ว อาทิเช่น The Norwegian Wood แต่เราก็ไม่เคยอ่านหนังสือของเค้าสักที
เล่มนี้ เล่าถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่มีรักแรกฝังใจตั้งแต่ยังเด็ก เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เค้าก็จะหวังเสมอว่าถ้าได้เจอเธอจะเป็นยังไงนะ และแล้วก็ได้มาเจอในวันที่ฝนตก ซึ่งตอนนั้นเค้าแต่งงาน และมีลูก 2 ไปแล้ว
เล่มนี้ออกแนว การค้นหาตัวเอง ความขัดแย้งในใจ เราว่าก็ดี อ่านได้เรื่อยๆ
6.+7. พิษสวาท โดย ทมยันตี และ Ziska by Marie Corelli
ทั้งสองเรื่องนี้ เราไม่ได้ตั้งใจอ่าน แต่ตอนนั้นต้องเขียนบทความส่ง ละหัวตันไปหมด
พอดิบพอดีกับพิษสวาทกำลังบูม และมีข่าวว่าอาจเอาแนวมาจากนิยายอังกฤษ
เราเลยลงทุน อ่านแม่มมเลย 5555
เราว่าทั้งสองเรื่องนี้สนุกดีค่ะ เป็นมุมมองของความรักที่ผ่านความอาฆาต การให้อภัย
แต่ละเรื่องมีธีมเดียวกัน แต่แตกต่างออกไปตามสภาพบริบทสังคม และวัฒนธรรมของผู้แต่ง
8. Harry Potter: the Cursed Child by J.K. Rowling
หูยยยยยยยย ~ ติ่งแฮร์รี่แบบอิชั้นจะพลาดเหรอออออออ นี่จองกับ Asiabook ไว้ล่วงหน้าหลายเดือน 555
และแล้วเจ้เจเค ก็สนองนีดผู้อ่าน จัดเรื่องลูกชายแฮร์รี่มาให้บรรดาแฟน
แต่ว่าเราแอบผิดหวังเล็กน้อยย เพราะมันเป็น Screenplay ซึ่งภาษามันไม่สละสลวย ไม่ถึงใจ
อ่านไปก็บ่นไป แต่อ่านจนจบค่ะ (เนื้อเรื่องสนุกมากกกก แต่เราไม่ชอบภาษาค่ะ)
9. Fantastic Beasts and where to find them by J.K. Rowling
ยังๆๆ ยังจะหามาอ่านอีก 555 เล่มนี้ซื้อตามหนังค่า
ไปดูหนังมา แล้วประทับใจในตัว Newt มากๆ เลยอยากหาหนังสือเก็บไว้
แต่มันเป็น Screenplay อีกแล้วววววววววว อยากได้แบบเว่อวังอลังการน่ะ
เลยซื้อเป็นไฟล์ kindle เก็บไว้พอ เนื้อหาในหนังสือ เหมือนในหนังเป๊ะ ทุกคำพูด ทุกการกระทำ
มีการบรรยายมุมกล้อง บรรยายฉากเล็กน้อยให้พอหอมปากหอมคอ
หมดแล้ววววววววว 9 เรื่องที่อ่านจบในปีนี้
ที่จริงเรายังมีหนังสือที่ซื้อมาแล้วไม่ได้อ่าน (มือเผลอหยิบ แบบไม่รู้ตัว) เช่น
แฮร์รี่ปกทอง 1-7, Game of Thrones 1-5 (used)
หรือยังอ่านไม่จบ
เล่มล่าสุดที่เพิ่งซื้อมา สดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้คือ The Alchemist ซื้อมาเพราะคำโปรยหน้าปก (A Fable about following your dream) เลยว่าจะเอามาอ่านช่วงคืนข้ามปีนี้ (ปาดน้ำตาแปปป)
แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ อ่านอะไรกันมาบ้างเอ่ยในปีนี้ เอามาแชร์กันได้น้าาา