[หนังโรงเรื่องที่ 167] Assassin's Creed - จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน เล่าเรื่องเดี๋ยวนึงสิครับ ; (Justin Kurzel, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
*ขอรีวิวในฐานะแฟนเกมส์
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : "คาล ลินช์" (Michael Fassbender) ตื่นขึ้นมาพบตัวเองอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของ "แอ๊บสเตอโก้" (Abstergo) ที่มีจุดประสงค์ที่จะดึงความทรงจำของบรรพบุรุษของคาล "อากีล่าห์" ผู้เป็นส่วนหนึ่งของ "ภราดรภาพแห่งแอสแซสซิน" คนสุดท้ายที่ถือครองอาร์ติแฟคในตำนานที่มีชื่อว่า "แอปเปิ้ลแห่งอีเดน" ที่เชื่อว่ามีพลังอำนาจในการปกครองจิตใจของมนุษย์ได้
ถือว่าเป็นหนังที่ถูกจับตาดูพอสมควรเหมือนกันด้วยความที่มันเป็นหนังที่ 'สร้างมาจากเกม' (ที่ส่วนใหญ่จะเจ๊งเละเทะไม่เป็นท่า) ซึ่งก็ถือว่าหนังสามารถทำผลงานได้น่าพอใจพอสมควร ทั้งคิวบู๊ที่จัดหนักชนิดเต็มอิ่ม และเนื้อเรื่องที่คิดตามไม่ยากมากนัก น่าเสียดายนิดหน่อยที่ตัวเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้หยิบจับเอาตัวละครออริจินอลของซีรีย์เกม Assassin's Creed มาใช้ แต่อุปโลก timeline ของตัวเองขึ้นมาใหม่แทน
โดยในเรื่องนั้นโฟกัสไปที่ประเทศสเปนทั้งในปัจจุบันและอดีตในยุค Spanish Inquisition (ยุคที้ศาสนจักรของสเปนทำการล่าสังหารชาวยิวและศาสนิกอื่นๆเพื่อขยายฐานศรัทธาของศาสนาคริสต์นั่นเอง) โดยมีเหล่าแอสแซสซิน (Assassin)และเท็มปลา (Templar) ที่ต่างก็รบรากันมาหลายศตวรรษเพื่อจะแย่งชิง "แอปเปิ้ลแห่งอีเดน" ... โดยฝั่งเทมปลานั้นมีเจตนารมณ์ที่จะใช้พลังชักจูงจิตใจของมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อโลกที่สงบสุขนิรันดร์ และแน่นอนในทางกลับกันเหล่าแอสแซสซินที่มีสโลแกนเชิดชู "จิตอิสระ" (Free Will) ทั้งสองฝ่ายจึงพยายามขัดขวางแผนของกันและกันมาตลอด
ต้องบอกว่าเลยว่าหนังเรื่องนี้ไปรอดเพราะได้ดาราเก่งมาช่วยไว้แท้ๆ ด้วยความที่หนังมันพยายามเร่งรัดเรื่องราวให้เข้าถึง main plot ของเกมอย่างแอปเปิ้ลอีเดนให้ได้ในภาคเดียว มันก็เลยมีความรู้สึก 'เร่งรัด' จนสังเกตได้ชัดอยู่ (ต้องบอกว่าเกมใช้เวลาเล่าเกือบ 5-6 ภาคกว่าจะอ้างอิงถึงแอปเปิ้ลได้) ซึ่งถือว่าเป็นการเสียของเอามากๆ ทั้งที่ตัวซีรีย์เองมันมีวัตถุดิบที่มากพอที่จะทำเป็นหนังไตรภาคที่น่าจดจำได้แล้วแท้ๆ
และพ่วงมาด้วยพล็อตปูมหลังของตัวละคร "ด.ร.โซเฟีย" (Marion Cotillard) ที่ตอนแรกโผล่ออกมาเหมือนจะไม่สำคัญอะไร แต่พอยิ่งเดินเรื่องไปก็ดันสำคัญขึ้นมาฉิบ ... เหมือนจู่ๆหนังก็ยัดบทให้เข้าไปให้โยงต่อเนื่องกับภาคสองในอนาคตเฉ้ย (ถ้าหนังทำเงินได้พอที่จะทำภาคต่อนะ) อีกอย่างหนังเองก็ไม่ได้ introduce เราให้เข้าถึงความเป็น 'ภราดรภาพ' ของแอสแซสซินมากเท่าที่ควร จนไม่สามารถโน้มน้าวให้เราเชื่อถึงอุดมการณ์และความสมัครสมานของเหล่าแอสแซสซินที่ถึงขนาดตายแทนกันได้ขนาดนั้น
แต่โชคยังดีที่หนังได้ดารามือฉมังอย่างสตีฟ จ็อบส์ .. เอ้ย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์มาช่วยแบกหนังไว้ในฐานะตัวเอก ด้วยแอคติ้งเล่นใหญ่อลังการ ทั้งสีหน้าทั้งภาษากายจัดหนักสุดๆ เรียกเลยว่าแบกจนหลังแอ่นเลยแหละ โดยส่วนตัวคิดว่าหนังคงจะทรงพลังกว่านี้มากๆถ้ามีตัวละครที่แข็งพอๆกับตัวเอกมาช่วยแบ่งเบาภาระอีกคน ... ก็น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถใช้งานมือทองของฮอลลีวู้ดอย่าง เจเรมี ไอออนได้คุ้มค่าซักเท่าไหร่ เพราะบทมันไม่ส่งเอาเสียเลย
จุดดีอีกอย่างก็คือ 'คิวบู๊' ที่ต้องยอมรับว่าเลยว่าออกมาถี่มาก! หนังมีคิวบู๊มากเกือบ 1/3 ของความยาวราวๆสองชั่วโมงซึ่งเชื่อว่าน่าจะสาแก่ใจสำหรับคนดูคอแอคชั่นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยดาบ, ธนู, หอก และอาวุธพิเศษของแอสแซสซินอย่าง 'มีดลับ' (hidden blade) ที่เซอร์วิสคนดูสุดๆ ประจวบกับการเคลื่อนไหวปีนป่ายด้วยเทคนิค Freerunning แล้วก็ทำให้คิวแอคชั่นมันสนุกน่าลุ้นเข้าไปใหญ่ คือขอการันตีเลยว่าถ้าพูดถึงคิวบู๊ของหนังเรื่องนี้แล้วก็ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
แน่นอนงานภาพที่กว้างขวาง-สวยงามก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรค่าต่อการพูดถึง ถึงแม้ในหลายๆช็อตจะถูกบดบังด้วยสไตล์ภาพที่หมองฝุ่นไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าผู้กำกับเองก็ยังเคารพกับความเป็นเกมผ่านทางการถ่ายทอดบรรยากาศที่เราคุ้นเคยจากในเกมได้ดี นี่ยังไม่พูดถึงการตีความเครื่อง "อนิมัส" ออกมาแบบใหม่ให้กลายเป็นเครื่องจักรที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานเคลื่อนไหวไปรอบๆเองได้ ซึ่งเมคเซนส์ที่ว่าตัวเอกของเราจะเรียนรู้ muscle memory ผ่านเครื่องจักรอันนี้ได้นั่นเอง
...
ถ้าให้วิจารณ์โดยรวมแล้วถามว่าชอบมั้ย? ก็ต้องบอกว่า 'ยังไม่พอใจ' กับผลงานที่ใช้ชื่อมหากาพย์เกมแห่งยุคเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเร่งรีบที่เราสามารถสัมผัสได้ หรืออาจจะเป็นเซนส์ของผู้กำกับที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถจับ 'กลิ่นอายที่แท้จริง' ของคำว่า Assassin's Creed ได้ มันเลยถูกลดรอนราคามาเป็นหนังแอคชั่นถูกๆที่ใช้คอสตูมและกิมมิกเป็นฉากหน้าเฉยๆแทน ยกตัวอย่างฉากนึงที่จู่ๆตัวละครก็โพล่งคำว่า 'Leap of Faith' ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายขึ้นมาเฉยๆ คือเป็นโมเม้นต์สะเหร่อสุดจริงจัง
.. คือแค่รู้สึกมันน่าจะทำออกมาได้โฉบเฉี่ยวมากกว่านี้หน่อยน่ะ
ป.ล.งานซับไตเติ้ลหยาบไปหน่อยนะช่วงแรกๆนี่ timing รวนไปหมดเลย
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] Assassin's Creed - จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน เล่าเรื่องเดี๋ยวนึงสิครับ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 167] Assassin's Creed - จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน เล่าเรื่องเดี๋ยวนึงสิครับ ; (Justin Kurzel, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
*ขอรีวิวในฐานะแฟนเกมส์
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : "คาล ลินช์" (Michael Fassbender) ตื่นขึ้นมาพบตัวเองอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของ "แอ๊บสเตอโก้" (Abstergo) ที่มีจุดประสงค์ที่จะดึงความทรงจำของบรรพบุรุษของคาล "อากีล่าห์" ผู้เป็นส่วนหนึ่งของ "ภราดรภาพแห่งแอสแซสซิน" คนสุดท้ายที่ถือครองอาร์ติแฟคในตำนานที่มีชื่อว่า "แอปเปิ้ลแห่งอีเดน" ที่เชื่อว่ามีพลังอำนาจในการปกครองจิตใจของมนุษย์ได้
ถือว่าเป็นหนังที่ถูกจับตาดูพอสมควรเหมือนกันด้วยความที่มันเป็นหนังที่ 'สร้างมาจากเกม' (ที่ส่วนใหญ่จะเจ๊งเละเทะไม่เป็นท่า) ซึ่งก็ถือว่าหนังสามารถทำผลงานได้น่าพอใจพอสมควร ทั้งคิวบู๊ที่จัดหนักชนิดเต็มอิ่ม และเนื้อเรื่องที่คิดตามไม่ยากมากนัก น่าเสียดายนิดหน่อยที่ตัวเนื้อเรื่องเองก็ไม่ได้หยิบจับเอาตัวละครออริจินอลของซีรีย์เกม Assassin's Creed มาใช้ แต่อุปโลก timeline ของตัวเองขึ้นมาใหม่แทน
โดยในเรื่องนั้นโฟกัสไปที่ประเทศสเปนทั้งในปัจจุบันและอดีตในยุค Spanish Inquisition (ยุคที้ศาสนจักรของสเปนทำการล่าสังหารชาวยิวและศาสนิกอื่นๆเพื่อขยายฐานศรัทธาของศาสนาคริสต์นั่นเอง) โดยมีเหล่าแอสแซสซิน (Assassin)และเท็มปลา (Templar) ที่ต่างก็รบรากันมาหลายศตวรรษเพื่อจะแย่งชิง "แอปเปิ้ลแห่งอีเดน" ... โดยฝั่งเทมปลานั้นมีเจตนารมณ์ที่จะใช้พลังชักจูงจิตใจของมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อโลกที่สงบสุขนิรันดร์ และแน่นอนในทางกลับกันเหล่าแอสแซสซินที่มีสโลแกนเชิดชู "จิตอิสระ" (Free Will) ทั้งสองฝ่ายจึงพยายามขัดขวางแผนของกันและกันมาตลอด
ต้องบอกว่าเลยว่าหนังเรื่องนี้ไปรอดเพราะได้ดาราเก่งมาช่วยไว้แท้ๆ ด้วยความที่หนังมันพยายามเร่งรัดเรื่องราวให้เข้าถึง main plot ของเกมอย่างแอปเปิ้ลอีเดนให้ได้ในภาคเดียว มันก็เลยมีความรู้สึก 'เร่งรัด' จนสังเกตได้ชัดอยู่ (ต้องบอกว่าเกมใช้เวลาเล่าเกือบ 5-6 ภาคกว่าจะอ้างอิงถึงแอปเปิ้ลได้) ซึ่งถือว่าเป็นการเสียของเอามากๆ ทั้งที่ตัวซีรีย์เองมันมีวัตถุดิบที่มากพอที่จะทำเป็นหนังไตรภาคที่น่าจดจำได้แล้วแท้ๆ
และพ่วงมาด้วยพล็อตปูมหลังของตัวละคร "ด.ร.โซเฟีย" (Marion Cotillard) ที่ตอนแรกโผล่ออกมาเหมือนจะไม่สำคัญอะไร แต่พอยิ่งเดินเรื่องไปก็ดันสำคัญขึ้นมาฉิบ ... เหมือนจู่ๆหนังก็ยัดบทให้เข้าไปให้โยงต่อเนื่องกับภาคสองในอนาคตเฉ้ย (ถ้าหนังทำเงินได้พอที่จะทำภาคต่อนะ) อีกอย่างหนังเองก็ไม่ได้ introduce เราให้เข้าถึงความเป็น 'ภราดรภาพ' ของแอสแซสซินมากเท่าที่ควร จนไม่สามารถโน้มน้าวให้เราเชื่อถึงอุดมการณ์และความสมัครสมานของเหล่าแอสแซสซินที่ถึงขนาดตายแทนกันได้ขนาดนั้น
แต่โชคยังดีที่หนังได้ดารามือฉมังอย่างสตีฟ จ็อบส์ .. เอ้ย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์มาช่วยแบกหนังไว้ในฐานะตัวเอก ด้วยแอคติ้งเล่นใหญ่อลังการ ทั้งสีหน้าทั้งภาษากายจัดหนักสุดๆ เรียกเลยว่าแบกจนหลังแอ่นเลยแหละ โดยส่วนตัวคิดว่าหนังคงจะทรงพลังกว่านี้มากๆถ้ามีตัวละครที่แข็งพอๆกับตัวเอกมาช่วยแบ่งเบาภาระอีกคน ... ก็น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถใช้งานมือทองของฮอลลีวู้ดอย่าง เจเรมี ไอออนได้คุ้มค่าซักเท่าไหร่ เพราะบทมันไม่ส่งเอาเสียเลย
จุดดีอีกอย่างก็คือ 'คิวบู๊' ที่ต้องยอมรับว่าเลยว่าออกมาถี่มาก! หนังมีคิวบู๊มากเกือบ 1/3 ของความยาวราวๆสองชั่วโมงซึ่งเชื่อว่าน่าจะสาแก่ใจสำหรับคนดูคอแอคชั่นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยดาบ, ธนู, หอก และอาวุธพิเศษของแอสแซสซินอย่าง 'มีดลับ' (hidden blade) ที่เซอร์วิสคนดูสุดๆ ประจวบกับการเคลื่อนไหวปีนป่ายด้วยเทคนิค Freerunning แล้วก็ทำให้คิวแอคชั่นมันสนุกน่าลุ้นเข้าไปใหญ่ คือขอการันตีเลยว่าถ้าพูดถึงคิวบู๊ของหนังเรื่องนี้แล้วก็ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
แน่นอนงานภาพที่กว้างขวาง-สวยงามก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรค่าต่อการพูดถึง ถึงแม้ในหลายๆช็อตจะถูกบดบังด้วยสไตล์ภาพที่หมองฝุ่นไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าผู้กำกับเองก็ยังเคารพกับความเป็นเกมผ่านทางการถ่ายทอดบรรยากาศที่เราคุ้นเคยจากในเกมได้ดี นี่ยังไม่พูดถึงการตีความเครื่อง "อนิมัส" ออกมาแบบใหม่ให้กลายเป็นเครื่องจักรที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานเคลื่อนไหวไปรอบๆเองได้ ซึ่งเมคเซนส์ที่ว่าตัวเอกของเราจะเรียนรู้ muscle memory ผ่านเครื่องจักรอันนี้ได้นั่นเอง
...
ถ้าให้วิจารณ์โดยรวมแล้วถามว่าชอบมั้ย? ก็ต้องบอกว่า 'ยังไม่พอใจ' กับผลงานที่ใช้ชื่อมหากาพย์เกมแห่งยุคเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเร่งรีบที่เราสามารถสัมผัสได้ หรืออาจจะเป็นเซนส์ของผู้กำกับที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถจับ 'กลิ่นอายที่แท้จริง' ของคำว่า Assassin's Creed ได้ มันเลยถูกลดรอนราคามาเป็นหนังแอคชั่นถูกๆที่ใช้คอสตูมและกิมมิกเป็นฉากหน้าเฉยๆแทน ยกตัวอย่างฉากนึงที่จู่ๆตัวละครก็โพล่งคำว่า 'Leap of Faith' ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายขึ้นมาเฉยๆ คือเป็นโมเม้นต์สะเหร่อสุดจริงจัง
.. คือแค่รู้สึกมันน่าจะทำออกมาได้โฉบเฉี่ยวมากกว่านี้หน่อยน่ะ
ป.ล.งานซับไตเติ้ลหยาบไปหน่อยนะช่วงแรกๆนี่ timing รวนไปหมดเลย
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..