เช้าวันหนึง
จขกท : ไปสิงคโปร์กันไหม
เพื่อนสาว : ไปดิ
จขกท : 3-5 ธันวาคม นะ
เพื่อนสาว : ได้
จขกท : จองเลยนะ
เพื่อนสาว : อื้ม
ตกบ่ายพวกเราจัดการจองตั๋วเครื่องบินและห้องพักเรียบร้อย
เมื่อจองทุกอย่างเสร็จ พวกเราก็เริ่มหาพิกัดที่เที่ยวกัน สรุปกันได้คร่าวๆก็ไปที่ที่เค้าฮิตๆกันนั่นแหละ 55
ด้วยความงก จขกท กับเพื่อสาวตกลงกันว่าเราจะเดินทางคืนวันที่ 2 ธ.ค. เที่ยว 21:20 น. เนื่องจากค่าตั๋วถูก และด้วยความงกขั้นสูงไปอีก เราก็เลือกที่จะนอนกันในสนามบิน
เมื่อถึงเวลาเดินทางปรากฎว่าไฟล์ดีเลย์ค่ะ แอบเซ็ง แต่เซ็งและจิตตกมากกว่าเมื่อก่อน Take Off กัปตันดันมีมารยาทกล่าวขอโทษที่เครื่องบินดีเลย์ แต่ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ พี่กัปตันใจดีอธิบายต่อว่า ดีเลย์เพราะอะไร...ดีเลย์เพราะมีปัญหาทางเทคนิด แต่เราแก้ไขแล้ว ชะนีสองตนมองหน้ากัน พี่จะพูดทำไมคะ พี่แก้ไขแล้วพี่ก็บินเลยค่ะไม่ต้องบอก พวกหนูนอยด์ T_T สรุปคือ จขกท นั่งสวดอิติปิโสตั้งแต่เครื่องออกค่ะ
สุดท้ายเราเดินทางไปถึงสนามบิน Shangi โดยสวัสดิภาพ ผ่านด่าน ตม. ตรวจเอกสารทุกอย่างเสร็จประมาณตีหนึ่ง หาที่นอนสิคะ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด....เก้าอี้ที่สนามบินมีที่วางแขน นั่นหมายความว่าเรานอนบนเก้าอี้ไม่ได้ งานงอกค่ะ เดินวนไปค่ะ เหนื่อย ง่วง เพลีย สุดท้ายเราก็โชคดีเจอม้านั่งที่สามารถนอนได้ จัดไปค่ะ งีบไปได้ซักแป๊บ มีเสียงเด็กผู้ชายแวบเข้าโสตประสาท “mom, this is a real sleeping at the airport”
ใจในก็คิด แกกำลังชี้ไม้ชี้มือมาทางชั้นใช่ไหมห้ะ แล้วไงยะ ชั้นประหยัดค่าโรงแรม!
นอนไปได้ซักพักเพื่อสาวก็ชวนไปนั่งสตาร์บัค เพราะที่ที่เรานอนมันหนาวมาก จนประมาณ 6 โมงเช้า เราก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเตรียมตัวนั่งรถไฟฟ้าไปที่พัก
กระทู้นี้จะไม่ได้ระบุวิธี หรือเส้นทางการเดินทางนะคะ เพราะจำไม่ได้ 55
พวกเราจอง Hostel แถวๆ Clarke Quay ไปถึงเราก็จัดการจ่ายเงิน รับคีย์การ์ด และฝากกระเป๋าไว้ เพราะยังเช็คอินไม่ได้ จากนั้นก็ได้เวลาลุยค่ะ
เป้าหมายแรกของเราคือ อาหารเช้าค่ะ เราแพลนว่ามื้อแรกของเราคือ ติ่มซำ พวกเราเดินจาก Clarke Quay ไป China Town ประมาณ 10 นาที ไม่ไกลมาก เดินได้ชิวๆ (อาจเป็นเพราะวันที่ไปถึงอากาศครื้มๆ ไม่มีแดด อิอิ) ร้านที่เราเลือกคือ Tak Po ไปถึงคนเต็มร้านเลยค่ะ แต่โชคดีที่ไม่ต้องรอคิว ได้โต๊ะแล้วก็สั่งสิคะ รออะไร หิวจนไส้กิ่ว
เราสั่งมาเต็มโต๊ะ พอเห็นอาหาร จขกท ก็ถามเพื่อสาวว่า กินหมดใช่ไหมวะ 55 แต่สุดท้ายก็ไม่หมดค่ะ รสชาดอาหารไม่ถึงกับร้องอื้อหืมมม แต่ก็ไม่ได้แย่ พอทานได้ บางอย่างอร่อยเลยค่ะ บางอย่างก็คำเดียวพอ 555
เมนูนี้ประทับใจค่ะ อร่อยสุดแล้ว
พอท้องอิ่มก็มุ่งหน้าไปไหว้พระที่วัดกวนอิมตงฮุดโช ซึ่งตั้งอยู่ย่าน Bugis วัดนี้ให้จุดธูป และยืนไหว้ด้านนอก และต้องหันหน้าออกมาทางหน้าวัดค่ะ เมื่อปักธูปลงกระถางธูปแล้ว จึงจะเข้าไปด้านไปเพื่อสักการะพระเเม่กวนอิมค่ะ ไฮไลท์ คือการเสี่ยงเซียมซีค่ะ เขาว่ากันว่าแม่น หรืออยากของาน ขอลูก ก็สมหวังกันมาเยอะค่ะ
เสร็จจากไหว้พระ เราก็ไปต่อที่ Haiji Lane ค่ะ เดินจากวัดไปได้เลยค่ะ ไม่ไกลมาก Haiji Lane เป็นคล้ายๆถนนคนเดิน มี้านอาหาร ร้านค้า ลักษณะตึก จขกท แอบคิดว่าสถาปัตยกรรมคล้ายๆตึกโปรตุเกส ที่ถูเก็ตอะค่ะ ^_^ ก้ได้เก็บภาพนิดหน่อย
ด้วยสภาพร่างกายที่ใกล้จะพังเต็มที เพราะไม่ได้นอน ชะนีสองตนเลยตกลงกันว่า แกร...กลับที่พักเหอะ ไปนอนอาแรงก่อน เย็นค่อยไปแถว Marina Bay
นอนพักไปซัก 2 ชั่วโมง เราก็ออกเดินทางไปแถวMarina Bay กันค่ะ แถว Marina Bay มีสถานที่ที่เราวางแผนกันว่าจะไป 3 ที่คือ Marina Barrage, Garden by the Bay และ Marina Bay Sand
จาก Marina Barrage เราจะมองเห็น Marina Bay Sand และ Singapore Flyer ค่ะ
ถ่ายรูปกันซักพักใหญ่ๆ จริงๆตั้งใจรอแสงตอนเย็น แต่ไม่ไหวค่ะ ร้อนเกิ้น เราเรยถอดใจ ไปพิกัดต่อไปเลยค่ะ คือ Marina Bay Sand แต่เราไม่ได้ขึ้นไปข้างบนนะคะ เเค่เดินรอบๆอ่าว ถ่ายรูป ชิวๆค่ะ
เราเข้าไปกินข้าวเย็นที่ Food Court ใน The Shoppe ค่ะ อร่อยมากค่ะ แนะนำเลย
วันที่สองเป้าหมายคือ Universal Studio
วันนี้เราตื่นสายไปหน่อย ก่อนมุ่งหน้าไป USS ท้องต้องอิ่มก่อน 55 อาหารเช้าของเราวันนี้เป็น Kaya Toast ที่ร้าน Ya Kun Kaya Toast เพื่อนสาวนำเสนอว่ามันดีมาก ฟังแล้วเห้ยยยต้องลอง แต่...ความรู้สึกสะดุดก็ตอนนางบอกว่ารู้สึกว่าจะเป็นอาหารของมาเล หื้มมมมม จบค่ะ จขกท ไม่ถูกกับอาหารมาเลอย่างแรง
ไปถึงร้านเพื่อนสาวนางก็สั่งเลย เป็นเซ็ต Kaya Toast ในเซ็ตมี ขนมปังปิ้งแผ่นไม่หนามากประกบกันสองแผ่น ตรงกลางปาดด้วยเนย และ Kaya หรือพูดง่ายๆคือแยมที่ทำด้วยไข่ น้ำตาล กะทิ และใบเตย เสิร์ฟพร้อมไข่ลวก ซึ่งลวกมาได้พอดี๊พอดี และน้ำข้าวบาร์เลย์
จขกท Play safe เลยเลือกสั่งเซ็ตขนมปังปิ้งเหมือนกันแต่ตรงกลางเป็นเนยกับน้ำตาลแทนแยม ขนมปังปิ้งมากรอบๆ ได้เนยเค็มๆ น้ำตาลหวานๆ เข้ากันมากๆ สรุปอร่อยค่ะ
ท้องอิ่มกันแล้ว พร้อมตะลุย USS ค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Habour Front ไปถึงก็ไปต่อแถวซื้อตั๋ว Sentosa Express ซึ่งเป็นรถไฟที่จะพาเราไปยังส่วนต่างๆภายในอาณาจักร Sentosa
มาถึงปุ๊บก็เจอ Land Mark ก่อนเลย
เริ่มที่ Far Far Away Castle
Encient Egypt ด่านนี้เครื่องเล่นน่ากลัวอยู่นะคะ กรี๊ดเสียงแหบค่ะ ก่อนจะเข้าไป จขกท ได้ยินผู้ชายตัวโตคนไทยพูดกับเพื่อนว่า เห้ยอย่าเล่นเลยว่ะ อันนี้น่ากลัว อ้าวๆๆๆ ตูก้าวเข้ามาแล้ว ซีดค่ะ ถามเจ้าหน้าที่นางบอก Not scary at all, แค่ Roller Coasterสูงประมาณตึกสี่ชั้นเอง
ต่อด้วยด่านที่ชอบมากกกกก เล่นสองรอบเลย Transformer ค่ะ ดีงามพระรามสี่ สี่มิติ มีน้ำ มีความร้อน สนุกมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูป 555 (เริ่มถ่ายน้อยลงเพราะเพื่อนสาวด่า นางถามว่า ตกลงเธอพากล้องถ่ายรูปมาเที่ยวใช่ไหม) แหม่ เก็บก็ได้วะ
รูปนี้เป็นการจำลองฉากเฮอริเคนถล่มเมืองของ Steven Spielberg ประทับใจค่ะ มีสี่มิติ มีละอองน้ำ มีความร้อนเช่นเคยค่ะ
บรรยากาศโดยรอบ
เสร็จจาก USS เราก็ไปต่อกันที่ Sea Aquarium ยิ่งใหญ่ ตระการตาเลย
หน้าตามู่ทู่ สงสัยจะเบื่อคนถ่ายรูป 55
เดินกันจนเย็นก็ได้เวลากลับค่ะ มื้อเย็นวันนี้ฟินาเล่ Chilli Crab เราเลือกร้าน Jumbo Clarke Quay เพราะใกล้ที่พักค่ะ กินอิ่มเดินกลับที่พักได้เลย
ก่อนเข้าห้องนอนแวะถ่ายรูปวิวจากที่พักซักหน่อยค่ะ
มาถึงวันสุดท้าย เราไปไหว้พระที่วัดพระเขี้ยวแก้ว ต่อด้วย City Museum- Red Dot Design Museum และ ถนน Orchard
วัดพระเขี้ยวแก้ว ถ้าเราใส่ขาสั้นไป เค้าจะมีผ้าคลุมไว้บริการค่ะ
Red Dot Design Museum ไม่มีอะไรมากมาย ไม่จำเป็นถ่ายรูปด้านนอกก็พอ ^_^
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไป Orchard กัน มื้อเที่ยงกินอาหาร foos court ค่ะ รสชาดเฉยๆ เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านโยเกิร์ตค่ะ น่าลอง เลยจัดกันไปคนละถ้วย
อร่อยใช้ได้เลย
กินโยเกิร์ตเสร็จก็กลับที่พัก เช็คเอ้าท์ เดินทางไปสนามบิน เป็นอันจบทริป 3 วัน 2 คืนค่ะ
ทริปนี้ จขกท และเพื่อสาวสะบักสะบอมพอตัว เนื่องจากเดินเยอะ เท้าเจ็บ พองน้ำข้าว แปะพลาสเตอร์ที่เท้ากันอุตลุด นี่ขนาดการเดินทางในสิงคโปร์ เรียกว่าสะดวกใช้ได้เลย เราใช้รถไฟใต้ดินเป็นหลักนะเนี่ย
หน้าตาบัตรโดยสารที่เราซื้อคืออันนี้ค่ะ
ถึงจะเหนื่อย ก็ยังดีกว่าไม่ได้เดินทาง “Life is too short to leave beautiful places unvisited”
ถ้าอยากไป อย่าคิดนานค่ะ เพราะคิดนานแล้วมักจะไม่ได้ไป
แล้วเจอกันกระทู้หน้าค่ะ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน
[CR] สิงคโปร์ OK laa ^_^
จขกท : ไปสิงคโปร์กันไหม
เพื่อนสาว : ไปดิ
จขกท : 3-5 ธันวาคม นะ
เพื่อนสาว : ได้
จขกท : จองเลยนะ
เพื่อนสาว : อื้ม
ตกบ่ายพวกเราจัดการจองตั๋วเครื่องบินและห้องพักเรียบร้อย
เมื่อจองทุกอย่างเสร็จ พวกเราก็เริ่มหาพิกัดที่เที่ยวกัน สรุปกันได้คร่าวๆก็ไปที่ที่เค้าฮิตๆกันนั่นแหละ 55
ด้วยความงก จขกท กับเพื่อสาวตกลงกันว่าเราจะเดินทางคืนวันที่ 2 ธ.ค. เที่ยว 21:20 น. เนื่องจากค่าตั๋วถูก และด้วยความงกขั้นสูงไปอีก เราก็เลือกที่จะนอนกันในสนามบิน
เมื่อถึงเวลาเดินทางปรากฎว่าไฟล์ดีเลย์ค่ะ แอบเซ็ง แต่เซ็งและจิตตกมากกว่าเมื่อก่อน Take Off กัปตันดันมีมารยาทกล่าวขอโทษที่เครื่องบินดีเลย์ แต่ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ พี่กัปตันใจดีอธิบายต่อว่า ดีเลย์เพราะอะไร...ดีเลย์เพราะมีปัญหาทางเทคนิด แต่เราแก้ไขแล้ว ชะนีสองตนมองหน้ากัน พี่จะพูดทำไมคะ พี่แก้ไขแล้วพี่ก็บินเลยค่ะไม่ต้องบอก พวกหนูนอยด์ T_T สรุปคือ จขกท นั่งสวดอิติปิโสตั้งแต่เครื่องออกค่ะ
สุดท้ายเราเดินทางไปถึงสนามบิน Shangi โดยสวัสดิภาพ ผ่านด่าน ตม. ตรวจเอกสารทุกอย่างเสร็จประมาณตีหนึ่ง หาที่นอนสิคะ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด....เก้าอี้ที่สนามบินมีที่วางแขน นั่นหมายความว่าเรานอนบนเก้าอี้ไม่ได้ งานงอกค่ะ เดินวนไปค่ะ เหนื่อย ง่วง เพลีย สุดท้ายเราก็โชคดีเจอม้านั่งที่สามารถนอนได้ จัดไปค่ะ งีบไปได้ซักแป๊บ มีเสียงเด็กผู้ชายแวบเข้าโสตประสาท “mom, this is a real sleeping at the airport”
ใจในก็คิด แกกำลังชี้ไม้ชี้มือมาทางชั้นใช่ไหมห้ะ แล้วไงยะ ชั้นประหยัดค่าโรงแรม!
นอนไปได้ซักพักเพื่อสาวก็ชวนไปนั่งสตาร์บัค เพราะที่ที่เรานอนมันหนาวมาก จนประมาณ 6 โมงเช้า เราก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเตรียมตัวนั่งรถไฟฟ้าไปที่พัก
กระทู้นี้จะไม่ได้ระบุวิธี หรือเส้นทางการเดินทางนะคะ เพราะจำไม่ได้ 55
พวกเราจอง Hostel แถวๆ Clarke Quay ไปถึงเราก็จัดการจ่ายเงิน รับคีย์การ์ด และฝากกระเป๋าไว้ เพราะยังเช็คอินไม่ได้ จากนั้นก็ได้เวลาลุยค่ะ
เป้าหมายแรกของเราคือ อาหารเช้าค่ะ เราแพลนว่ามื้อแรกของเราคือ ติ่มซำ พวกเราเดินจาก Clarke Quay ไป China Town ประมาณ 10 นาที ไม่ไกลมาก เดินได้ชิวๆ (อาจเป็นเพราะวันที่ไปถึงอากาศครื้มๆ ไม่มีแดด อิอิ) ร้านที่เราเลือกคือ Tak Po ไปถึงคนเต็มร้านเลยค่ะ แต่โชคดีที่ไม่ต้องรอคิว ได้โต๊ะแล้วก็สั่งสิคะ รออะไร หิวจนไส้กิ่ว
เราสั่งมาเต็มโต๊ะ พอเห็นอาหาร จขกท ก็ถามเพื่อสาวว่า กินหมดใช่ไหมวะ 55 แต่สุดท้ายก็ไม่หมดค่ะ รสชาดอาหารไม่ถึงกับร้องอื้อหืมมม แต่ก็ไม่ได้แย่ พอทานได้ บางอย่างอร่อยเลยค่ะ บางอย่างก็คำเดียวพอ 555
เมนูนี้ประทับใจค่ะ อร่อยสุดแล้ว
พอท้องอิ่มก็มุ่งหน้าไปไหว้พระที่วัดกวนอิมตงฮุดโช ซึ่งตั้งอยู่ย่าน Bugis วัดนี้ให้จุดธูป และยืนไหว้ด้านนอก และต้องหันหน้าออกมาทางหน้าวัดค่ะ เมื่อปักธูปลงกระถางธูปแล้ว จึงจะเข้าไปด้านไปเพื่อสักการะพระเเม่กวนอิมค่ะ ไฮไลท์ คือการเสี่ยงเซียมซีค่ะ เขาว่ากันว่าแม่น หรืออยากของาน ขอลูก ก็สมหวังกันมาเยอะค่ะ
เสร็จจากไหว้พระ เราก็ไปต่อที่ Haiji Lane ค่ะ เดินจากวัดไปได้เลยค่ะ ไม่ไกลมาก Haiji Lane เป็นคล้ายๆถนนคนเดิน มี้านอาหาร ร้านค้า ลักษณะตึก จขกท แอบคิดว่าสถาปัตยกรรมคล้ายๆตึกโปรตุเกส ที่ถูเก็ตอะค่ะ ^_^ ก้ได้เก็บภาพนิดหน่อย
ด้วยสภาพร่างกายที่ใกล้จะพังเต็มที เพราะไม่ได้นอน ชะนีสองตนเลยตกลงกันว่า แกร...กลับที่พักเหอะ ไปนอนอาแรงก่อน เย็นค่อยไปแถว Marina Bay
นอนพักไปซัก 2 ชั่วโมง เราก็ออกเดินทางไปแถวMarina Bay กันค่ะ แถว Marina Bay มีสถานที่ที่เราวางแผนกันว่าจะไป 3 ที่คือ Marina Barrage, Garden by the Bay และ Marina Bay Sand
จาก Marina Barrage เราจะมองเห็น Marina Bay Sand และ Singapore Flyer ค่ะ
ถ่ายรูปกันซักพักใหญ่ๆ จริงๆตั้งใจรอแสงตอนเย็น แต่ไม่ไหวค่ะ ร้อนเกิ้น เราเรยถอดใจ ไปพิกัดต่อไปเลยค่ะ คือ Marina Bay Sand แต่เราไม่ได้ขึ้นไปข้างบนนะคะ เเค่เดินรอบๆอ่าว ถ่ายรูป ชิวๆค่ะ
เราเข้าไปกินข้าวเย็นที่ Food Court ใน The Shoppe ค่ะ อร่อยมากค่ะ แนะนำเลย
วันที่สองเป้าหมายคือ Universal Studio
วันนี้เราตื่นสายไปหน่อย ก่อนมุ่งหน้าไป USS ท้องต้องอิ่มก่อน 55 อาหารเช้าของเราวันนี้เป็น Kaya Toast ที่ร้าน Ya Kun Kaya Toast เพื่อนสาวนำเสนอว่ามันดีมาก ฟังแล้วเห้ยยยต้องลอง แต่...ความรู้สึกสะดุดก็ตอนนางบอกว่ารู้สึกว่าจะเป็นอาหารของมาเล หื้มมมมม จบค่ะ จขกท ไม่ถูกกับอาหารมาเลอย่างแรง
ไปถึงร้านเพื่อนสาวนางก็สั่งเลย เป็นเซ็ต Kaya Toast ในเซ็ตมี ขนมปังปิ้งแผ่นไม่หนามากประกบกันสองแผ่น ตรงกลางปาดด้วยเนย และ Kaya หรือพูดง่ายๆคือแยมที่ทำด้วยไข่ น้ำตาล กะทิ และใบเตย เสิร์ฟพร้อมไข่ลวก ซึ่งลวกมาได้พอดี๊พอดี และน้ำข้าวบาร์เลย์
จขกท Play safe เลยเลือกสั่งเซ็ตขนมปังปิ้งเหมือนกันแต่ตรงกลางเป็นเนยกับน้ำตาลแทนแยม ขนมปังปิ้งมากรอบๆ ได้เนยเค็มๆ น้ำตาลหวานๆ เข้ากันมากๆ สรุปอร่อยค่ะ
ท้องอิ่มกันแล้ว พร้อมตะลุย USS ค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Habour Front ไปถึงก็ไปต่อแถวซื้อตั๋ว Sentosa Express ซึ่งเป็นรถไฟที่จะพาเราไปยังส่วนต่างๆภายในอาณาจักร Sentosa
มาถึงปุ๊บก็เจอ Land Mark ก่อนเลย
เริ่มที่ Far Far Away Castle
Encient Egypt ด่านนี้เครื่องเล่นน่ากลัวอยู่นะคะ กรี๊ดเสียงแหบค่ะ ก่อนจะเข้าไป จขกท ได้ยินผู้ชายตัวโตคนไทยพูดกับเพื่อนว่า เห้ยอย่าเล่นเลยว่ะ อันนี้น่ากลัว อ้าวๆๆๆ ตูก้าวเข้ามาแล้ว ซีดค่ะ ถามเจ้าหน้าที่นางบอก Not scary at all, แค่ Roller Coasterสูงประมาณตึกสี่ชั้นเอง
ต่อด้วยด่านที่ชอบมากกกกก เล่นสองรอบเลย Transformer ค่ะ ดีงามพระรามสี่ สี่มิติ มีน้ำ มีความร้อน สนุกมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูป 555 (เริ่มถ่ายน้อยลงเพราะเพื่อนสาวด่า นางถามว่า ตกลงเธอพากล้องถ่ายรูปมาเที่ยวใช่ไหม) แหม่ เก็บก็ได้วะ
รูปนี้เป็นการจำลองฉากเฮอริเคนถล่มเมืองของ Steven Spielberg ประทับใจค่ะ มีสี่มิติ มีละอองน้ำ มีความร้อนเช่นเคยค่ะ
บรรยากาศโดยรอบ
เสร็จจาก USS เราก็ไปต่อกันที่ Sea Aquarium ยิ่งใหญ่ ตระการตาเลย
หน้าตามู่ทู่ สงสัยจะเบื่อคนถ่ายรูป 55
เดินกันจนเย็นก็ได้เวลากลับค่ะ มื้อเย็นวันนี้ฟินาเล่ Chilli Crab เราเลือกร้าน Jumbo Clarke Quay เพราะใกล้ที่พักค่ะ กินอิ่มเดินกลับที่พักได้เลย
ก่อนเข้าห้องนอนแวะถ่ายรูปวิวจากที่พักซักหน่อยค่ะ
มาถึงวันสุดท้าย เราไปไหว้พระที่วัดพระเขี้ยวแก้ว ต่อด้วย City Museum- Red Dot Design Museum และ ถนน Orchard
วัดพระเขี้ยวแก้ว ถ้าเราใส่ขาสั้นไป เค้าจะมีผ้าคลุมไว้บริการค่ะ
Red Dot Design Museum ไม่มีอะไรมากมาย ไม่จำเป็นถ่ายรูปด้านนอกก็พอ ^_^
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไป Orchard กัน มื้อเที่ยงกินอาหาร foos court ค่ะ รสชาดเฉยๆ เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านโยเกิร์ตค่ะ น่าลอง เลยจัดกันไปคนละถ้วย
อร่อยใช้ได้เลย
กินโยเกิร์ตเสร็จก็กลับที่พัก เช็คเอ้าท์ เดินทางไปสนามบิน เป็นอันจบทริป 3 วัน 2 คืนค่ะ
ทริปนี้ จขกท และเพื่อสาวสะบักสะบอมพอตัว เนื่องจากเดินเยอะ เท้าเจ็บ พองน้ำข้าว แปะพลาสเตอร์ที่เท้ากันอุตลุด นี่ขนาดการเดินทางในสิงคโปร์ เรียกว่าสะดวกใช้ได้เลย เราใช้รถไฟใต้ดินเป็นหลักนะเนี่ย
หน้าตาบัตรโดยสารที่เราซื้อคืออันนี้ค่ะ
ถึงจะเหนื่อย ก็ยังดีกว่าไม่ได้เดินทาง “Life is too short to leave beautiful places unvisited”
ถ้าอยากไป อย่าคิดนานค่ะ เพราะคิดนานแล้วมักจะไม่ได้ไป
แล้วเจอกันกระทู้หน้าค่ะ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน