[Review] - Sword Master
.
“บุญคุณต้องทดแทน มีหนี้แค้นต้องปล่อยวาง”
.
จากนิยายโกวเล้งชื่อดังสู่จอเงินในโรงภาพยนตร์ภายใต้การควบคุมดูแลของฉีเคอะยอดผู้กำกับสายบู๊กับการนำเรื่องราวนวนิยายซาเสี่ยวเอียของโกวเล้งมาดัดแปลงขึ้นจอภาพยนตร์คนแสดงทีจัดหนักด้วยคิวบู๊สุดมันส์แฝงเนื้อหาปรัชญาแบบจีน ๆ แถมคอนเซ็ปต์การต่อสู้ที่ย้อนยุคไม่แฟนตาซีแต่เนื้อหามันดูแปลก เดินเรื่องไวจังเลย
.
Sword Master จะเล่าถึงจอมยุทธยอดฝีมือ 2 คนได้แก่ เจี่ยเฮียวฮงหรือคุณชายสามสุดยอดมือกระบี่อันดับ 1 แห่งยุทธภพไร้เทียมทานมีกระบี่จากสำนักหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าอันลือชื่อ กับ อี้จับชา มือกระบี่เลือดเย็นไร้พ่ายผู้ที่ต้องการประลองฝีมือกับเจี่เฮียวฮงว่าใครคือสุดยอดมือกระบี่ตัวจริงแต่เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้มีแค่การต่อสู้แต่ยังมีเรื่องราวความรักสุดดราม่าของมู่หยงฉิวตี้ที่มีต่อเจี่ยเฮียวฮงอีกด้วย
.
ก่อนอื่นใดต้องบอกก่อนเลยว่าไม่เคยอ่านฉบับหนังสือนิยายเลยแต่ถึงจะไม่เคยอ่านสิ่งแรกที่พอสัมผัสได้เลยก็คือภาพยนตร์น่าจะตัดทอนรายละเอียดจากฉบับหนังสือไปเยอะทีเดียวเพราะมีเนื้อหาที่แปลก ๆ การตัดต่อข้ามไปข้ามมาทำให้อารมณ์สะดุดอย่างมาก อีกทั้งสิ่งที่เป็นข้อเสียที่สุดก็คือการเดินเรื่องที่หยิบเอาประเด็นรองอย่างเรื่องความรักมาเป็นเส้นเรื่องหลักแทนที่จะเป็นการต่อสู้ของ 2 จอมยุทธ ดังนั้นใน Sword Master เราจะได้เห็นเรื่องราวความรักมากกว่าการดวลการประลองไปซะอย่างงั้น
.
นอกจากนี้ในส่วนของ CG ก็เช่นกันแม้ว่าจะมีบางฉากดูสวยมาก ๆ แต่ขณะเดียวกันบางฉากก็ดูงานหยาบจังเลยขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์กราฟิกยังดูออก ตรงนี้ก็เป็นอีกส่วนที่ขัดอารมณ์พอควรและตัวละครในเรื่องแม้จะมีมากมายแต่ก็มีเด่น ๆ แค่ 2-3 คนเท่านั้นการเกลี่ยบทจึงทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
.
แม้จะเริ่มด้วยข้อเสียแต่ก็ใช่ว่า Sword Master จะเป็นหนังจีนที่ดูย่ำแย่ซะเดียวถึงตัวหนังจะมีวิธีเล่าเรื่องแปลก ๆ ชวนให้งงว่าคนนี้คือใคร มาทำไม อยู่ที่ไหน อย่างไรแต่เมื่อดูไปจนถึงกลางเรื่องก็พอเข้าใจได้เลยว่าการกระทำของตัวละครมันมีที่มาที่ไปเหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่ค่อย ๆ เห็นเป็นรูปเป็นร่าง
.
การสื่อสารเรื่องแง่คิดปรัชญาการใช้ชีวิตกลับทำได้เข้าใจง่ายจนเหลือเชื่อ ผู้กำกับสามารถนำเนื้อหาปรัชญายาก ๆ มาย่อยให้เข้าใจได้ง่ายโดยเฉพาะเรื่องของการปล่อยวางความแค้น สื่อให้เห็นชัดเจนว่าความโกรธเกลียดไม่ช่วยอะไรนอกจากจะทำร้ายตัวของเราเอง จุดหมายของชีวิตที่อาจอยู่ใกล้ตัวไม่ต้องไปไขว่คว้าที่ไหนไกลหรือแนวคิดแบบจอมยุทธจีนจ๋าชนิดที่ว่าแนว ๆ แดวกับเพลง จอมยุทธ ของ P2Warship เลยทีเดียว
.
ส่วนอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็เป็นเรื่องฉากธีมเรื่องที่ให้ความเป็นหนังจีนสมัยก่อนขนานแท้มีบรรดาพรรคมารหรือตัวเมืองที่มักจะมีตลาดสดหรือหอนางโลมก็ช่วยให้ทำให้คอหนังจีนได้หายคิดถึงกันหลังจากปัจจุบันหนังจีนมีแต่หนังแฟนตาซัปล่อยพลังเต็มไปหมด
.
ฉากบู๊ต่อสู้ก็เหมือนกันที่ไม่มีปล่อยพลังหรือเอฟเฟ็กต์อลังการแต่เป็นการดวลด้วยเพลงกระบี่เพียว ๆ ใช้ทักษะไหวพริบใครพลาดก่อนเป็นฝ่ายแพ้ จุดนี้ก็สร้างความระทึกตื่นเต้นได้มากทีเดียวกระบวนท่าต่าง ๆ ก็ดูเท่ไม่ใช่หมุนกันมั่ว ๆ แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างถูกฝึกฝนมาอย่างดีโดยเฉพาะการประลองระหว่าง เจี่ยเฮียวฮง กับ อี้จับชา ต้องบอกเลยว่าสวยงามและดุดัน
.
Sword Master ก็เป็นภาพยนตร์ที่พอดูได้เอามันส์อย่างเดียวได้อยู่ตัวหนังมีปัญหาเรื่องการตัดต่อกับการเล่าเรื่องที่ลำดับประเด็นสำคัญผิดและงานภาพที่ขัด ๆ ตาแต่ก็ทดแทนด้วยฉากต่อสู้ที่หวนให้คิดถึงหนังจีนยุคเก่าหรือละครจีนกำลังภายในที่ฉายช่อง 3 เมื่อหลายสิบปีพ่วงด้วยแง่คิดข้อคิดที่เข้าใจง่ายไม่น่าเบื่อ
.
“หากเรารู้ผลลัพธ์ทุกอย่างของการกระทำ ชีวิตมันก็ไร้ความหมาย”
.
“B” Rank
.
ที่มา -
https://www.facebook.com/myinnermovie/
[Review] - Sword Master ดาบปราบเทวดา
.
“บุญคุณต้องทดแทน มีหนี้แค้นต้องปล่อยวาง”
.
จากนิยายโกวเล้งชื่อดังสู่จอเงินในโรงภาพยนตร์ภายใต้การควบคุมดูแลของฉีเคอะยอดผู้กำกับสายบู๊กับการนำเรื่องราวนวนิยายซาเสี่ยวเอียของโกวเล้งมาดัดแปลงขึ้นจอภาพยนตร์คนแสดงทีจัดหนักด้วยคิวบู๊สุดมันส์แฝงเนื้อหาปรัชญาแบบจีน ๆ แถมคอนเซ็ปต์การต่อสู้ที่ย้อนยุคไม่แฟนตาซีแต่เนื้อหามันดูแปลก เดินเรื่องไวจังเลย
.
Sword Master จะเล่าถึงจอมยุทธยอดฝีมือ 2 คนได้แก่ เจี่ยเฮียวฮงหรือคุณชายสามสุดยอดมือกระบี่อันดับ 1 แห่งยุทธภพไร้เทียมทานมีกระบี่จากสำนักหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าอันลือชื่อ กับ อี้จับชา มือกระบี่เลือดเย็นไร้พ่ายผู้ที่ต้องการประลองฝีมือกับเจี่เฮียวฮงว่าใครคือสุดยอดมือกระบี่ตัวจริงแต่เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้มีแค่การต่อสู้แต่ยังมีเรื่องราวความรักสุดดราม่าของมู่หยงฉิวตี้ที่มีต่อเจี่ยเฮียวฮงอีกด้วย
.
ก่อนอื่นใดต้องบอกก่อนเลยว่าไม่เคยอ่านฉบับหนังสือนิยายเลยแต่ถึงจะไม่เคยอ่านสิ่งแรกที่พอสัมผัสได้เลยก็คือภาพยนตร์น่าจะตัดทอนรายละเอียดจากฉบับหนังสือไปเยอะทีเดียวเพราะมีเนื้อหาที่แปลก ๆ การตัดต่อข้ามไปข้ามมาทำให้อารมณ์สะดุดอย่างมาก อีกทั้งสิ่งที่เป็นข้อเสียที่สุดก็คือการเดินเรื่องที่หยิบเอาประเด็นรองอย่างเรื่องความรักมาเป็นเส้นเรื่องหลักแทนที่จะเป็นการต่อสู้ของ 2 จอมยุทธ ดังนั้นใน Sword Master เราจะได้เห็นเรื่องราวความรักมากกว่าการดวลการประลองไปซะอย่างงั้น
.
นอกจากนี้ในส่วนของ CG ก็เช่นกันแม้ว่าจะมีบางฉากดูสวยมาก ๆ แต่ขณะเดียวกันบางฉากก็ดูงานหยาบจังเลยขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์กราฟิกยังดูออก ตรงนี้ก็เป็นอีกส่วนที่ขัดอารมณ์พอควรและตัวละครในเรื่องแม้จะมีมากมายแต่ก็มีเด่น ๆ แค่ 2-3 คนเท่านั้นการเกลี่ยบทจึงทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
.
แม้จะเริ่มด้วยข้อเสียแต่ก็ใช่ว่า Sword Master จะเป็นหนังจีนที่ดูย่ำแย่ซะเดียวถึงตัวหนังจะมีวิธีเล่าเรื่องแปลก ๆ ชวนให้งงว่าคนนี้คือใคร มาทำไม อยู่ที่ไหน อย่างไรแต่เมื่อดูไปจนถึงกลางเรื่องก็พอเข้าใจได้เลยว่าการกระทำของตัวละครมันมีที่มาที่ไปเหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่ค่อย ๆ เห็นเป็นรูปเป็นร่าง
.
การสื่อสารเรื่องแง่คิดปรัชญาการใช้ชีวิตกลับทำได้เข้าใจง่ายจนเหลือเชื่อ ผู้กำกับสามารถนำเนื้อหาปรัชญายาก ๆ มาย่อยให้เข้าใจได้ง่ายโดยเฉพาะเรื่องของการปล่อยวางความแค้น สื่อให้เห็นชัดเจนว่าความโกรธเกลียดไม่ช่วยอะไรนอกจากจะทำร้ายตัวของเราเอง จุดหมายของชีวิตที่อาจอยู่ใกล้ตัวไม่ต้องไปไขว่คว้าที่ไหนไกลหรือแนวคิดแบบจอมยุทธจีนจ๋าชนิดที่ว่าแนว ๆ แดวกับเพลง จอมยุทธ ของ P2Warship เลยทีเดียว
.
ส่วนอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็เป็นเรื่องฉากธีมเรื่องที่ให้ความเป็นหนังจีนสมัยก่อนขนานแท้มีบรรดาพรรคมารหรือตัวเมืองที่มักจะมีตลาดสดหรือหอนางโลมก็ช่วยให้ทำให้คอหนังจีนได้หายคิดถึงกันหลังจากปัจจุบันหนังจีนมีแต่หนังแฟนตาซัปล่อยพลังเต็มไปหมด
.
ฉากบู๊ต่อสู้ก็เหมือนกันที่ไม่มีปล่อยพลังหรือเอฟเฟ็กต์อลังการแต่เป็นการดวลด้วยเพลงกระบี่เพียว ๆ ใช้ทักษะไหวพริบใครพลาดก่อนเป็นฝ่ายแพ้ จุดนี้ก็สร้างความระทึกตื่นเต้นได้มากทีเดียวกระบวนท่าต่าง ๆ ก็ดูเท่ไม่ใช่หมุนกันมั่ว ๆ แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างถูกฝึกฝนมาอย่างดีโดยเฉพาะการประลองระหว่าง เจี่ยเฮียวฮง กับ อี้จับชา ต้องบอกเลยว่าสวยงามและดุดัน
.
Sword Master ก็เป็นภาพยนตร์ที่พอดูได้เอามันส์อย่างเดียวได้อยู่ตัวหนังมีปัญหาเรื่องการตัดต่อกับการเล่าเรื่องที่ลำดับประเด็นสำคัญผิดและงานภาพที่ขัด ๆ ตาแต่ก็ทดแทนด้วยฉากต่อสู้ที่หวนให้คิดถึงหนังจีนยุคเก่าหรือละครจีนกำลังภายในที่ฉายช่อง 3 เมื่อหลายสิบปีพ่วงด้วยแง่คิดข้อคิดที่เข้าใจง่ายไม่น่าเบื่อ
.
“หากเรารู้ผลลัพธ์ทุกอย่างของการกระทำ ชีวิตมันก็ไร้ความหมาย”
.
“B” Rank
.
ที่มา - https://www.facebook.com/myinnermovie/