เมื่อผมติดอยู่บนรถบัส "ขนสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์" และคนบนรถทั้งคันโดนบังคับให้ไปโรงพักในที่เปลี่ยวยามวิกาล

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ย. เวลาโดยประมาณ 17.00 น.

ผมและเพื่อนเดินมาถึงจุดจอดรถบัส ณ ตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ เพื่อหารถกลับกรุงเทพฯ หลังจากเสร็จธุระจากฝั่งกัมพูชา

เป็นที่ทราบกันว่า จุดจอดรถดังกล่าวเป็นรถบัสขนนักพนันไปเที่ยวบ่อนที่ปอยเปต ซึ่งบนรถมักเต็มไปด้วยคนสูงวัยที่ชอบเสี่ยงโชค และมีการขนคนลักษณะนี้ทุกวัน เรียกว่า การเดินทางไปกลับจากกรุงเทพฯ - ปอยเปต นั้นสะดวกมาก

ด้วยค่ารถราคาถูกกว่า บขส. และการออกรถที่ตรงเวลา ทำให้ผมใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทางไปมาหลายครั้ง
(ใครจะไปเสียมราฐ ก็ใช้เส้นทางนี้ได้เช่นกันครับ ข้ามไปฝั่งกัมพูชาแล้วต่อรถอีกราวหนึ่งชั่วโมง ก็ยลโฉมนครวัดได้สบายๆ)

ครั้งนี้พวกผมขึ้นรถกันราว 17.00 น. และรถออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยไม่มีปัญหา แปลกใจนิดเดียวตรงที่ว่า รถคันดังกล่าวนั้น ชั้นล่างที่ปกติจะมีเด็กรถและลูกค้านั่งกันบางส่วน แต่รถคันนี้ใช้พื้นที่ด้านล่างเพื่อขนของกันเต็มทุกตารางนิ้ว ส่วนลูกค้าก็นั่งชั้นบนตามปกติ ซึ่งรถก็เดินทางมาเรื่อยๆ จนถึง "ถนนง่วง" (ผมและเพื่อนเรียกกันแบบนั้น - เพราะยาวมาก และวิวสองข้างทางเหมือนๆ กันตลอดเส้น) หรือทางหลวง 359 - สระแก้ว-เขาหินซ้อน

"อย่าไปยุ่งกับเขา"
"พอแล้วๆ"

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมได้ยินเสียงคนตะโกนเพื่อปรามคนขับ ทราบภายหลังว่า มีการขับปาดกันเล็กน้อยกับรถ BMW (ไม่คอนเฟิร์ม ข้อมูลอารมณ์กำลังง่วงนอน)

ซักพักรถบัสคันนี้ก็ถูกโบกให้จอดโดยด่านตำรวจ ซักพักคนบนรถเริ่มส่งเสียง มีคนบอกประมาณว่า BMW คันดังกล่าวน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแจ้งให้ด่านโบกเรียกรถบัส และมีคนพูดประมาณว่า บอกแล้วว่าอย่าไปยุ่ง (ไม่คอนเฟิร์มข้อมูลเรื่องการขับรถปาดกัน เพราะไม่เห็นด้วยตา)

มีผู้หญิงท่านหนึ่งเดินลงจากรถไป เห็นหลายคนว่ากันว่า เป็นเจ้าของรถ (ไม่คอนเฟิร์ม) และใช้เวลาคุยกับตำรวจ "นอกเครื่องแบบ" กลางทางหลวง 359 เป็นเวลาราว 10 นาที

ผมเดินลงจากรถเพื่อไปดูสถานการณ์ ถามคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว ได้ความว่า ตำรวจจับเรื่องการขนสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

เดินขึ้นมาบนรถ มีคนเปรยเรื่องนี้ แต่ "ป้าน้อย" (นามสมมติ) บอกว่า ตำรวจหาเรื่องกินเงิน ไม่มีหรอก ไม่ได้ขนของละเมิดลิขสิทธิ์ และก็มีหลายคนที่นั่งอยู่บนรถบัสตอนหน้าที่ต่อว่าการทำงานของ จนท. ตำรวจ เพราะจอดกันอยู่ตรงนั้นราวครึ่งชั่วโมงแล้ว

ท้ายสุดมีตำรวจท่านหนึ่ง (หรือหลายท่านไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้มอง) ขึ้นมาบนรถ แล้วบอกว่า ทุกคนบนรถราว 40 คน ต้องนั่งรถไปที่โรงพักด้วย เพราะผู้ใหญ่ (ใครไม่ทราบ) ไม่อนุญาตให้ลงรถไปก่อน

---------

ทีนี้ละครับ บันเทิงเลย คือ ทุกคนที่พอจะมีช่องทางการติดต่อกับคนรู้จัก ก็จัดไปเต็มที่

มีการถามตำรวจว่า คุณเป็นใคร? มาจากไหน? มีสิทธิ์อะไรมาจับบนทางหลวง (เค้าบอกว่า ต้องเป็นตำรวจทางหลวงเท่านั้นจึงจะจับได้ -- ซึ่งผมไม่แน่ใจข้อมูลส่วนนี้)? และก็พูดถึงการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

มีคนสมทบว่า ครั้งก่อนที่โดนจับ ต้องอยู่ถึงตีสอง ซึ่งทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เพราะต้องเสียเวลากลางทุ่ง ขณะที่ยังมีงานรออยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องเตรียมอีกตลอดทั้งคืนเพื่อประชุมเช้า

"ป้าน้อย" เริ่มติดต่อหาตำรวจหรือทหาร (ไม่ทราบ) แต่เข้าใจว่า น่าจะยศใหญ่ และอยู่ภาคใต้ (มั้ง) แล้วส่งสายให้คุยกับตำรวจบนรถ หลายคนบอกว่า ปวดท้อง ต้องเข้าห้องน้ำ .. หิวข้าว .. ฯลฯ

ลองนึกอารมณ์ที่คนสูงอายุบ่นๆๆๆๆ พร้อมๆ กันครับ ว่ามันจะน่าปวดหัวขนาดไหน โดยระหว่างทางไป สน. ภูธรวังตะเคียน (น่าจะห่างจากจุดที่จับประมาณ 20 กม.) ก็มีการบ่นบ้าง ต่อว่าตำรวจบ้างไปตลอดทาง

ณ เวลานั้นท้องฟ้ามืดหมดแล้วครับ ถนนที่เป็นทางแยกจากทางหลวง 359 นั้น ถือว่ามืดเปลี่ยวใช้ได้ เรียกว่า ผมเป็นผู้ชาย ก็ยังไม่กล้าเดินคนเดียว

พอมาถึง สน. ทางตำรวจนอกเครื่องแบบก็ให้ทุกคนลงจากรถ และหลายคนก็เริ่มเข้าไปโวยวายกับตำรวจ ถามหาชื่อ ถามหาตำรวจสัญญาบัตร ถ่ายภาพ ถ่ายคลิป รวมถึงเดินเข้าไปหาร้อยเวรที่ สน. เพื่อแจ้งความ (แต่ไม่ได้แจ้ง เพราะร้อยเวรหายตัว และเห็นมีคนบอกว่า ทั้ง สน. มีตำรวจอยู่ท่านเดียว -- ไม่คอนเฟิร์ม)

ส่วนทางผมและนักเดินทางแบกเป้อีกท่านก็เข้าไปคุยกับตำรวจท่านหนึ่ง น่าจะยศใหญ่สุด ณ ที่นั้น -- ทางผมไม่ได้ติดขัดอะไรกับการจับกุม แต่อยากทราบว่า
1) จะใช้เวลาดำเนินการนานเท่าไร
2) ตำรวจแจ้งว่า จะต้องกักรถเอาไว้ด้วย -- ดังนั้นผมจึงอยากทราบว่า จะประสานให้รถมารับได้กี่โมง ยังไงบ้าง

ผมพร้อมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (แม้จะเสียค่ารถขากลับไปแล้วคนละ 200 บาท) .. ผมต้องรีบกลับมาทำงานต่อที่กรุงเทพฯ โดย ณ เวลานั้น เพื่อนผมได้เตรียมส่งรถตู้จากกรุงเทพฯ ออกมารับแล้ว แต่ผมให้รอก่อน

ผมเข้าใจการทำงานของตำรวจ ที่เข้าใจว่า น่าจะเป็นชุดจับกุมลิขสิทธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี (ไม่ยืนยันข้อมูล) แต่ไม่พอใจตรงตำรวจบอกว่า

"เวลารถเสีย ยางแตก ทางผู้ประกอบการก็ต้องรับผิดชอบจัดหารถมาแทน ไม่เกี่ยวกับตำรวจ" .. "ตำรวจไม่ได้กักตัวพวกคุณ (คุณตำรวจตะโกนตอบอาม่าที่ต่อว่าเรื่องตำรวจกักตัว)"

ผมแจ้งกลับไปว่า

"เรื่องนี้ผมและคนอื่นๆ ไม่เกี่ยว เวลาขณะนี้ก็ค่ำมืดแล้ว (น่าจะประมาณ 2 ทุ่มกว่า) และคุณไม่ได้กักตัวก็จริง แต่ดูอายุของผู้โดยสารแต่ละท่าน มีแต่คนชราทั้งนั้น คิดว่าการปฏิบัติหน้าที่เพื่อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในยามวิกาลบนรถบัสที่เต็มไปด้วยคนสูงอายุ มันเหมาะสม? ผมเข้าใจว่า การปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง หากมีผลกระทบ ก็จะต้องจำกัดวงผลกระทบให้น้อยลงได้มากที่สุด"

ในความเห็นผม ผมมองว่า คุณจะจับอะไรพวกนี้ก็จับไป บุกจับที่โรงเกลือก็ได้ หรือจะส่งสายตำรวจนั่งไปกับรถแล้วไปจับตอนขนของลงรถก็ได้ แต่ไม่ใช่จับกุมพร้อมผู้โดยสารในยามวิกาลในพื้นที่ที่ห่างจากถนนหลวงนับสิบยี่สิบกิโลฯ แบบนี้

ท้ายสุด .. ตำรวจปล่อยทุกคนกลับบ้าน และไม่กักรถบัสเอาไว้ หลังจากที่ได้เที่ยวชม สน. ภูธรวังตะเคียน เป็นเวลาราว 40 นาที
แต่ตำรวจขอให้เจ้าของรถอยู่ด้วย + ให้ขนสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมดลงจากรถ โดยปริมาณที่ผมเห็นนั้น ไม่น่าเชื่อว่ามันจะยัดเข้ารถบัสคันดังกล่าวได้

-----------

ระหว่างอยู่บนรถ มองลงมา เห็นบางถุงสินค้าที่แกะแล้ว เป็นกระเป๋ากุชชี่ใบงาม ..

บนรถ -- เสียงด่าทอตำรวจมีมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
* ทำไมไม่จับคันอื่น (ตรรกะวิบัติมาอีกแล้ว และน่าแปลกที่ผู้สูงอายุหลายท่านเห็นด้วย)
* หลานชั้นทำงานอยู่ช่อง 3 เดี๋ยวจะให้ออกเรื่องเล่าเช้านี้
* เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกมันโดนเด้งแน่ๆ

แต่ที่ผมติดใจสุดก็คือ เสียงจาก "ป้าน้อย" ที่บอกว่า โดนยึดสินค้าของตนเองไปพอสมควร (ส่วนสินค้าอื่นๆ ไม่ทราบว่าของใคร เพราะผมไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องคนอื่น)
"เนี่ย ไม่มีของผิดลิขสิทธิ์ แต่โดนยึดไปด้วย" ป้าน้อยกล่าว
"อ้าว แล้วปล่อยให้ยึดไปได้ยังไง?" ใครก็ไม่รู้พูดขึ้นมา
"ตำรวจบอกว่า ถึงไม่ผิดลิขสิทธิ์ ก็ถือว่าหนีภาษี" ป้าน้อยสรุป

ผมงงว่า ถ้าซื้อสินค้าจากตลาดโรงเกลือ ซึ่งอยู่ฝั่งไทย แล้วมันเป็นการหนีภาษียังไง? หรือจริงๆ แล้วสินค้าที่ป้าน้อยขนมา เป็นสินค้าผิดกฎหมาย ?

จากนั้นระหว่างทางก็มีแต่คนย้ำเรื่อง ตำรวจรีดไถ ทำไมไม่จับคันอื่น รังแกคนจน รังแกคนหาเช้ากินค่ำ

บอกตามตรงว่า ถ้ามีใครหันมาถามผมให้เออออไปด้วย ก็จะสวนไปเลยว่า ผมไม่เห็นด้วย ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก
คิดแบบนั้น ตรรกะวิบัติสุดๆ

----------

แต่ไฮไลต์ของเรื่องอยู่ที่ว่า ..

เมื่อรถบัสเดินทางต่อมาได้อีกราว 45 นาที ใกล้ถึงปั๊ม 10 บาท (ชื่อเรียกปั๊มน้ำมันจอดพัก) ทาง "ป้าน้อย" บอกว่า "เจ้าของรถ" โทรมา บอกว่า ตำรวจนอกเครื่องแบบพร้อมรถตำรวจทั้งหมด หายไปจาก สน. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ไม่คอนเฟิร์มข้อมูล เพราะเป็นคำบอกเล่า)

ป้าน้อยต้องการให้รถวกกลับไปรับสินค้าและเจ้าของรถทันที และพูดถึงเรื่อง "น้ำใจ" "เห็นใจ" ที่ผู้โดยสารท่านอื่นควรต้องมี
ดีที่ว่าไม่มีการสอบถาม เพราะเด็กรถ (ที่อายุราวๆ 50-60 ปี) บอกว่า ควรไปส่งผู้โดยสารทั้งหมดที่กรุงเทพฯ ก่อน
ป้าน้อยออกอาการไม่ค่อยพอใจเท่าไร จากนั้นมีใครก็ไม่รู้บอกว่า อย่าลืมไปแจ้งความด้วย ตำรวจพวกนั้นน่าสงสัย จับลิขสิทธิ์แล้วไหงหายตัวไปแบบนั้น
ป้าน้อยตอบว่า "แจ้งความไม่ได้หรอก ของพวกนั้นมันผิดกฎหมาย" !!!

อ้าว .. ป้า ตกลงป้าขนอะไรมาบ้างเนี่ย ครั้งแรกบอกโดนตำรวจรังแก บอกว่าสินค้าตัวเองไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ตอนนี้มาบอกว่า แจ้งความไม่ได้ เพราะสินค้ามันผิดกฎหมาย ??

----------

ท้ายสุด รถก็มาส่งที่แถวบางนา (แทนที่จะเป็นสวนลุม หรือพระราม 2) เพราะจะตีรถกลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อรับสินค้าที่ถูกกองทิ้งไว้อย่างไม่มีเยื่อใย

ผมไม่แน่ใจในสิ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตา แค่รู้สึกว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าเสียศรัทธากับตำรวจอย่างแรง
ผมยินดีเสียเวลาบ้างเพื่อให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ (แต่ต้องไม่มากเกินไป)
แต่ถ้าข้อมูลที่ว่าเป็นจริง คือ ตำรวจชุดจับกุมดังกล่าว อยู่ดีๆ ก็ล่องหนไป (ย้ำอีกครั้ง ไม่เห็นด้วยตา ไม่ยืนยัน)

"แล้วคุณมาทำผมและเพื่อนเสียเวลาทำไม ไร้ประโยชน์สิ้นดี" (อันนี้คิดในใจ ในกรณีที่เป็นเช่นนั้นจริง)

ระหว่างอยู่บนรถ มีคนแจ้งว่า การจับกุมครั้งนี้ ตำรวจท้องที่ไม่รู้เรื่อง ตำรวจชุดจับกับก็ไม่ใช่ตำรวจท้องที่ มาจากไหนก็ไม่รู้

----------

ที่เอามาบอกเล่ากัน เพราะอยากให้มองถึงความคิดของคนหลายๆ ส่วน รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน
ผมเซ็งตรรกะรังแกคนหาเช้ากินค่ำ เซ็งตรรกะที่บอกว่าทำไมไม่จับคนอื่น และเซ็งอย่างยิ่งหากมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐรายใดที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่จริงจังและจับกุมเพียงเพื่อประสงค์หนึ่งใดบางประการเท่านั้น (ขออย่าให้เป็นเช่นนั้น)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่