(เป็นความเห็นส่วนตัว และข้อมูล ณ ปัจจุบัน ของสถานที่ที่ไปมาค่ะ)
จขกท น่าจะเหมือนอีกหลายๆ ท่านที่เคยได้ยินถึงชื่อเสียงของท่านโกเอ็นก้ามาบ้างแล้ว ว่าท่าน เป็นชาวอินเดีย ที่ไปเกิดและเติบโตที่ประเทศพม่า สร้างตัวจนมีฐานะร่ำรวยมาก แต่ท่านเป็นโรคไมเกรน ที่ไม่มีหมอ หรือยา ที่สามารถรักษาท่านให้หายจากโรคได้ แต่เมื่อท่านได้มาฝึกปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวนี้ ท่านก็หายจากอาการของโรค (ฟังประวัติของท่านได้ที่ ลิ้งค์ การบรรยายธรรมวันที่ 10 นะคะ
https://goo.gl/e9QQp1)
และก็อีกค่ะ ที่เคยได้ยินมาว่า คอร์สปฏิบัติ จะใช้เวลายาวนานถึง 10 วัน รวมเดินทางก็เป็น 12 วัน และจะค่อนข้างเข้มนิดนึง ที่ต้องมี การนั่งวิปัสสนานิ่งๆ เป็นเวลาติดกันถึง 1 ชั่วโมง (แต่จริงๆ เมื่อไปสัมผัสมาแล้วก็รู้ว่า กฎที่มีทุกอย่าง มีหลักการและเหตุผลในตัวของมันเองค่ะ) จขกท เลยรู้สึกกลัวว่าน่าจะไปไม่ไหวแน่ๆ ลังเลมาหลายปีเลยค่ะ และพอรู้ว่าน้องสาวได้ไปปฎิบัติมา ก็เลยลองที่จะเรียนรู้ดูสักครั้งหนึ่งค่ะ
พอสมัครไป หลายเดือนเหมือนกันค่ะ ก็ได้เป็นตัวสำรอง แต่พอพักเดียว ทางศูนย์แจ้งมาว่า เราได้เป็นตัวจริงแล้ว ก็เลยเตรียมตัวค่ะ หาข้อมูลของท่านโกเอ็นก้าเพิ่มเติม บังเอิญได้เจอเทปธรรมบรรยายทาง youtube ซึ่งพอได้ลองฟังดู ก็ประทับใจค่ะ กับที่ท่านบอกว่า ความทุกข์ เป็นสากล ดังนั้นธรรม ก็ต้องเป็นสากลด้วย ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนา หรือ ความเชื่อใดๆ ก็สามารถฝึกปฎิบัติตามแนวทางนี้ได้ทั้งนั้นนะคะ ทุกอย่างฟังดูมีหลักการและเหตุผลค่ะ ลองฟังกันดูนะคะ ตามลิ้งค์ค่ะ
https://goo.gl/e9QQp1
แนวทางการปฎิบัติที่นี่ จะเริ่มจากการรับ “ศีล” ก่อน [ซึ่งจะมีการรับ ศีล 5 สำหรับศิษย์ใหม่ และ ศีล 8 สำหรับศิษย์เก่า ในวันแรกที่เข้าไป และด้วยเหตุนี้ การปิดวาจาจึงเกิดขึ้นก่อนการรับศีลเลย เนื่องจากถ้าเราปิดวาจาและการสื่อสารรูปแบบต่างๆ แล้ว การกระทำผิดศีล ย่อมเป็นไปได้ยาก]
และ 3 วันแรกของการปฎิบัติ จะเป็นการฝึก “สมาธิ” (อานาปานสติ – การดูลมหายใจของที่นี่ จะไม่มีการบริกรรมใดๆ มีเหตุผลอีกนั่นแหล่ะค่ะ ลองฟังที่ลิ้งค์ธรรมบรรยายดูนะคะ)
และอีก 7 วันที่เหลือ จะเป็นการฝึก วิปัสสนา เพื่อให้เกิด “ปัญญา” โดยการมองดูสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง และช่วงของการฝึกวิปัสสนานี่หล่ะค่ะ ที่ จขกท ใจระทึกมากเลย แล้วเราจะนั่งติดต่อกันโดยไม่เปลี่ยนท่า เป็นเวลา 1 ชั่วโมงได้หรือไม่
แต่คำถามที่สงสัย ก็ได้รับคำตอบ เมื่อตอนที่มีการเรียกศิษย์ใหม่ ไปสอบอารมณ์ รอบละ 6 คน หลังจากการนั่ง อธิษฐานบารมี (การตั้งใจมั่น ว่าจะไม่เปลี่ยนท่านั่งเลย จนครบ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 1 ใน 10 บารมี ที่พระพุทธเจ้าได้ทำในวันที่ตรัสรู้ - จากเทปบรรยายของท่านโกเอ็นก้าค่ะ) ในครั้งแรกโดยท่านอาจารย์ในคอร์สครั้งนี้ เป็นพระค่ะ ท่านได้ถามทุกคนว่า นั่งโดยไม่เปลี่ยนท่านั่งได้หรือไม่ มีคนหนึ่งตอบว่า นั่งได้ แต่ขยับค่ะ ซึ่งท่านบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่แยกมือ แยกเท้า และลืมตา ก็เป็นอันใช้ได้ จขกท ได้ฟังก็ค่อยโล่งใจค่ะ หลังจากนั้น เลย พยายามนั่งในท่าที่สามารถนั่งได้นาน และ เจ็บปวดน้อยที่สุด กว่าจะลงล็อค ก็เข้าวันที่ 6 เลยค่ะ ช่วงเย็น หลังจากนั้น ก็นั่งได้ นานถึง 1 ชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนท่า แต่ขยับร่างกายบ้าง แต่พยายามขยับไม่เยอะ เพื่อไม่เป็นการรบกวนคนข้างๆ ค่ะ (ทางศูนย์จะเตรียมหมอนเล็กๆ เยอะมากค่ะ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติ วันแรกๆ ก็ลองนำมาปรับใช้ดูนะคะ ว่าจะรองตรงจุดไหน ที่ทำให้นั่งได้นาน เพราะถ้าหลายวันไปแล้ว หมอนจะหมดค่ะ)
จากการฝึกปฎิบัติทุกวัน มีคำที่ท่านอาจารย์เน้นอยู่ไม่กี่คำค่ะ ทำให้จำได้ขึ้นใจมาก สรุปประมาณว่า ให้เรา มองดูเวทนา (ความรู้สึก) ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตามที่มันเป็น โดยให้มองว่า เป็น อนิงจัง (ความไม่เที่ยง – เกิดขึ้นและดับไป) และวางใจให้เป็นอุเบกขา (วางใจเป็นกลางๆ) ไม่ยินดี หรือทุกข์ร้อนไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อไม่ก่อให้เกิดสังขาร (การปรุงแต่ง) ใหม่ๆ ขึ้นมาในจิตเพิ่มอีก แต่ทั้งนี้ คำที่ท่านเน้นมากที่สุด และ ได้ยินจากท่านบ่อยที่สุด คือ คำว่า อนิจจา อนิจจา อนิจจา (Anicca หรือ อนิจจัง)
โดยสรุปแล้ว การทำวิปัสสนาตามแนวทางนี้ ก็เพื่อที่จะขจัดกิเลสที่พอกพูนอยู่ ในส่วนของจิตใต้สำนึก ซึ่งการมองดูเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เกี่ยวอะไร ก็เพราะจิตใต้สำนึกจะติดต่อกับร่างกายตลอดเวลา ทำให้เกิดเวทนา รูปแบบต่างๆ ขึ้นมา และ ด้วยเหตุนี้ น่าจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ท่านโกเอ็นก้า หายจากโรคไมเกรนได้เลย เพราะกายกับจิตสัมพันธ์กันตลอดเวลาค่ะ
จากการไปปฎิบัติเป็นครั้งแรก เต็มที่บ้าง ไม่เต็มที่บ้าง ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เนื่องจากการไปเข้าคอร์สปฎิบัติ จะทำให้เราได้รับแนวทางมาปฎิบัติต่อในชีวิตประจำวัน โดยส่วนตัว จขกท จะตั้งใจในทุกช่วงของการปฎิบัติร่วมกัน และตั้งใจฟังมาก กับเทปธรรมบรรยายที่มีขึ้นทุกคืนหลังจบจากการปฎิบัติค่ะ การฟังธรรมบรรยาย ทำให้ได้รับคำตอบ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน และ ยังได้รับความรู้ ความเข้าใจหลายๆ อย่าง เพิ่มมากขึ้นด้วย ดีค่ะ แนะนำให้ลองฟังกันดูนะคะ
จขกท อ่านหนังสือธรรมมาบ้าง ไปปฎิบัติมาบ้าง ได้รับประโยชน์ทุกครั้งที่ทำ แต่การไป ครั้งนี้เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน ทำให้รู้สึกว่าได้รับประโยชน์ค่อนข้างเต็มที่ และมองเห็นแนวทางชัดเจนมากขึ้นในการนำสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการไปครั้งนี้ มาปรับสมดุลการใช้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ค่ะ ผู้ร่วมปฏิบัติในครั้งนี้ มีคนรุ่นหนุ่มสาว เยอะมากค่ะ ผู้สูงอายุ ก็มีพอสมควร (สามารถนั่งเก้าอี้ได้) และนอกนั้น ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่มาจากยุโรป (มีท่านหนึ่งมาจากสวีเดน ทำงานอยู่สิงคโปร์ รู้จักคอร์สนี้จากการแนะนำของเพื่อน และดูแล้วปฎิบัติได้ตั้งใจมากๆ เลยค่ะ) และ 2 คนมาจากลาว, 1 คนมาจากญี่ปุ่น
@ ศูนย์ธรรมอาภา พิษณุโลก สถานที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ร่มรื่นค่ะ ทางด้านที่พักของฝั่งผู้หญิง มีเรือนแถว B ที่เป็นห้องน้ำรวม เรือนแถว C เป็นห้องส่วนตัว มีห้องน้ำในตัว เรือนแถว D ก็เช่นกัน ส่วน E เป็นบ้านหลังเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว ด้านหน้าของศูนย์จะเป็นอาคารอเนกประสงค์ สำหรับลงทะเบียน และทานข้าว และด้านหลัง ของเรือนแถวที่พัก จะมีลานให้เดินออกกำลังกาย กว้างพอสมควรเลยค่ะ การมาปฎิบัติที่นี่ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้น ค่ารถจาก กรุงเทพ ไป-กลับ 1,000 บาท และ มีค่าซักรีด และซื้อของ โดยการซักรีด ส่งผ้าซักวันนี้ วันรุ่งขึ้นจะได้ผ้ากลับมา การสั่งซื้อของก็เช่นเดียวกัน สั่งวันนี้ พรุ่งนี้กลางวันของก็มาแล้วค่ะ ค่อนข้างสะดวกสบายมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเอื้อต่อนักปฎิบัติมากๆ ขอเพียงแต่ตั้งใจค่ะ / ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการดำเนินการของศูนย์ เกิดจากเงินบริจาคทั้งหมด บางท่านได้บริจาคที่ดิน เพื่อก่อนสร้างศูนย์ ซึ่งขณะนี้ มีศูนย์ที่ดำเนินการแบบเดียวกันทั้งหมดนี้ 9 ศูนย์ครอบคลุมทุกภาค ส่วนผู้ที่อำนวยความสะดวกและบริการผู้ปฎิบัติ (ธรรมบริกร) ก็มาด้วยความเต็มใจที่จะรับใช้ผู้ปฎิบัติ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
จขกท ได้ของแถมที่เกิดจากการมาปฎิบัติในครั้งนี้ด้วย ก็คือ การชาร์ตแบตให้กับร่างกาย โดยไม่มีสิ่งเร้าใดๆ ทั้งมือถือ และโซเชียล ระบบร่างกายดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับประทานอาหารตรงเวลา ทานอาหารมังสวิรัติ (อร่อยมากและไม่มัน) ที่มีประโยชน์ ภายใน 10 วัน ไม่น่าเชื่อว่า ร่างกายจะปรับตัวเองได้ดี เนื่องจากการได้รับสิ่งที่ดีๆ เข้าไปทั้งทางร่างกายและจิตใจ ได้ทราบมาว่า มีหลายๆ ท่านสามารถเลิกบุหรี่ และเหล้าได้ หลังจากจบคอร์สปฎิบัตินี้ด้วย อันนี้คงไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ใดๆ ที่เกิดขึ้น แต่เป็นหลักของเหตุและผลจริงๆ ค่ะ
ท้ายนี้ ขอให้ทุกท่าน มีธรรมเป็นที่พึ่งนะคะ โดยเน้นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้เจออะไร ในหนทางที่จะมุ่งไป แต่การพากเพียรปฏิบัติ เพื่อลดกิเลส และไม่เพิ่มพูนกิเลสใหม่ๆ เข้าไปในจิต ผลที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความเป็นสุขของตัวเอง และคนรอบข้างที่เกิดขึ้น และถ้าปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่อง ถึงตอนนั้น ธรรมะ ก็จะจัดสรรผลต่างๆ ให้เองนะคะ
ดูตารางปฏิบัติ
https://goo.gl/1HeKIa
รูปภาพของศูนย์ธรรมอาภา
https://goo.gl/rPVSO1
–ขอบคุณมากค่ะ-
ร่วมแบ่งปันประสบการณ์เข้าปฏิบัติวิปัสสนา ที่สอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้าค่ะ ไม่ทรมานอย่างที่คิดไว้นะคะ
จขกท น่าจะเหมือนอีกหลายๆ ท่านที่เคยได้ยินถึงชื่อเสียงของท่านโกเอ็นก้ามาบ้างแล้ว ว่าท่าน เป็นชาวอินเดีย ที่ไปเกิดและเติบโตที่ประเทศพม่า สร้างตัวจนมีฐานะร่ำรวยมาก แต่ท่านเป็นโรคไมเกรน ที่ไม่มีหมอ หรือยา ที่สามารถรักษาท่านให้หายจากโรคได้ แต่เมื่อท่านได้มาฝึกปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวนี้ ท่านก็หายจากอาการของโรค (ฟังประวัติของท่านได้ที่ ลิ้งค์ การบรรยายธรรมวันที่ 10 นะคะ https://goo.gl/e9QQp1)
และก็อีกค่ะ ที่เคยได้ยินมาว่า คอร์สปฏิบัติ จะใช้เวลายาวนานถึง 10 วัน รวมเดินทางก็เป็น 12 วัน และจะค่อนข้างเข้มนิดนึง ที่ต้องมี การนั่งวิปัสสนานิ่งๆ เป็นเวลาติดกันถึง 1 ชั่วโมง (แต่จริงๆ เมื่อไปสัมผัสมาแล้วก็รู้ว่า กฎที่มีทุกอย่าง มีหลักการและเหตุผลในตัวของมันเองค่ะ) จขกท เลยรู้สึกกลัวว่าน่าจะไปไม่ไหวแน่ๆ ลังเลมาหลายปีเลยค่ะ และพอรู้ว่าน้องสาวได้ไปปฎิบัติมา ก็เลยลองที่จะเรียนรู้ดูสักครั้งหนึ่งค่ะ
พอสมัครไป หลายเดือนเหมือนกันค่ะ ก็ได้เป็นตัวสำรอง แต่พอพักเดียว ทางศูนย์แจ้งมาว่า เราได้เป็นตัวจริงแล้ว ก็เลยเตรียมตัวค่ะ หาข้อมูลของท่านโกเอ็นก้าเพิ่มเติม บังเอิญได้เจอเทปธรรมบรรยายทาง youtube ซึ่งพอได้ลองฟังดู ก็ประทับใจค่ะ กับที่ท่านบอกว่า ความทุกข์ เป็นสากล ดังนั้นธรรม ก็ต้องเป็นสากลด้วย ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนา หรือ ความเชื่อใดๆ ก็สามารถฝึกปฎิบัติตามแนวทางนี้ได้ทั้งนั้นนะคะ ทุกอย่างฟังดูมีหลักการและเหตุผลค่ะ ลองฟังกันดูนะคะ ตามลิ้งค์ค่ะ https://goo.gl/e9QQp1
แนวทางการปฎิบัติที่นี่ จะเริ่มจากการรับ “ศีล” ก่อน [ซึ่งจะมีการรับ ศีล 5 สำหรับศิษย์ใหม่ และ ศีล 8 สำหรับศิษย์เก่า ในวันแรกที่เข้าไป และด้วยเหตุนี้ การปิดวาจาจึงเกิดขึ้นก่อนการรับศีลเลย เนื่องจากถ้าเราปิดวาจาและการสื่อสารรูปแบบต่างๆ แล้ว การกระทำผิดศีล ย่อมเป็นไปได้ยาก]
และ 3 วันแรกของการปฎิบัติ จะเป็นการฝึก “สมาธิ” (อานาปานสติ – การดูลมหายใจของที่นี่ จะไม่มีการบริกรรมใดๆ มีเหตุผลอีกนั่นแหล่ะค่ะ ลองฟังที่ลิ้งค์ธรรมบรรยายดูนะคะ)
และอีก 7 วันที่เหลือ จะเป็นการฝึก วิปัสสนา เพื่อให้เกิด “ปัญญา” โดยการมองดูสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง และช่วงของการฝึกวิปัสสนานี่หล่ะค่ะ ที่ จขกท ใจระทึกมากเลย แล้วเราจะนั่งติดต่อกันโดยไม่เปลี่ยนท่า เป็นเวลา 1 ชั่วโมงได้หรือไม่
แต่คำถามที่สงสัย ก็ได้รับคำตอบ เมื่อตอนที่มีการเรียกศิษย์ใหม่ ไปสอบอารมณ์ รอบละ 6 คน หลังจากการนั่ง อธิษฐานบารมี (การตั้งใจมั่น ว่าจะไม่เปลี่ยนท่านั่งเลย จนครบ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 1 ใน 10 บารมี ที่พระพุทธเจ้าได้ทำในวันที่ตรัสรู้ - จากเทปบรรยายของท่านโกเอ็นก้าค่ะ) ในครั้งแรกโดยท่านอาจารย์ในคอร์สครั้งนี้ เป็นพระค่ะ ท่านได้ถามทุกคนว่า นั่งโดยไม่เปลี่ยนท่านั่งได้หรือไม่ มีคนหนึ่งตอบว่า นั่งได้ แต่ขยับค่ะ ซึ่งท่านบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่แยกมือ แยกเท้า และลืมตา ก็เป็นอันใช้ได้ จขกท ได้ฟังก็ค่อยโล่งใจค่ะ หลังจากนั้น เลย พยายามนั่งในท่าที่สามารถนั่งได้นาน และ เจ็บปวดน้อยที่สุด กว่าจะลงล็อค ก็เข้าวันที่ 6 เลยค่ะ ช่วงเย็น หลังจากนั้น ก็นั่งได้ นานถึง 1 ชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนท่า แต่ขยับร่างกายบ้าง แต่พยายามขยับไม่เยอะ เพื่อไม่เป็นการรบกวนคนข้างๆ ค่ะ (ทางศูนย์จะเตรียมหมอนเล็กๆ เยอะมากค่ะ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติ วันแรกๆ ก็ลองนำมาปรับใช้ดูนะคะ ว่าจะรองตรงจุดไหน ที่ทำให้นั่งได้นาน เพราะถ้าหลายวันไปแล้ว หมอนจะหมดค่ะ)
จากการฝึกปฎิบัติทุกวัน มีคำที่ท่านอาจารย์เน้นอยู่ไม่กี่คำค่ะ ทำให้จำได้ขึ้นใจมาก สรุปประมาณว่า ให้เรา มองดูเวทนา (ความรู้สึก) ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตามที่มันเป็น โดยให้มองว่า เป็น อนิงจัง (ความไม่เที่ยง – เกิดขึ้นและดับไป) และวางใจให้เป็นอุเบกขา (วางใจเป็นกลางๆ) ไม่ยินดี หรือทุกข์ร้อนไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อไม่ก่อให้เกิดสังขาร (การปรุงแต่ง) ใหม่ๆ ขึ้นมาในจิตเพิ่มอีก แต่ทั้งนี้ คำที่ท่านเน้นมากที่สุด และ ได้ยินจากท่านบ่อยที่สุด คือ คำว่า อนิจจา อนิจจา อนิจจา (Anicca หรือ อนิจจัง)
โดยสรุปแล้ว การทำวิปัสสนาตามแนวทางนี้ ก็เพื่อที่จะขจัดกิเลสที่พอกพูนอยู่ ในส่วนของจิตใต้สำนึก ซึ่งการมองดูเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เกี่ยวอะไร ก็เพราะจิตใต้สำนึกจะติดต่อกับร่างกายตลอดเวลา ทำให้เกิดเวทนา รูปแบบต่างๆ ขึ้นมา และ ด้วยเหตุนี้ น่าจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ท่านโกเอ็นก้า หายจากโรคไมเกรนได้เลย เพราะกายกับจิตสัมพันธ์กันตลอดเวลาค่ะ
จากการไปปฎิบัติเป็นครั้งแรก เต็มที่บ้าง ไม่เต็มที่บ้าง ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เนื่องจากการไปเข้าคอร์สปฎิบัติ จะทำให้เราได้รับแนวทางมาปฎิบัติต่อในชีวิตประจำวัน โดยส่วนตัว จขกท จะตั้งใจในทุกช่วงของการปฎิบัติร่วมกัน และตั้งใจฟังมาก กับเทปธรรมบรรยายที่มีขึ้นทุกคืนหลังจบจากการปฎิบัติค่ะ การฟังธรรมบรรยาย ทำให้ได้รับคำตอบ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน และ ยังได้รับความรู้ ความเข้าใจหลายๆ อย่าง เพิ่มมากขึ้นด้วย ดีค่ะ แนะนำให้ลองฟังกันดูนะคะ
จขกท อ่านหนังสือธรรมมาบ้าง ไปปฎิบัติมาบ้าง ได้รับประโยชน์ทุกครั้งที่ทำ แต่การไป ครั้งนี้เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน ทำให้รู้สึกว่าได้รับประโยชน์ค่อนข้างเต็มที่ และมองเห็นแนวทางชัดเจนมากขึ้นในการนำสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการไปครั้งนี้ มาปรับสมดุลการใช้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ค่ะ ผู้ร่วมปฏิบัติในครั้งนี้ มีคนรุ่นหนุ่มสาว เยอะมากค่ะ ผู้สูงอายุ ก็มีพอสมควร (สามารถนั่งเก้าอี้ได้) และนอกนั้น ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่มาจากยุโรป (มีท่านหนึ่งมาจากสวีเดน ทำงานอยู่สิงคโปร์ รู้จักคอร์สนี้จากการแนะนำของเพื่อน และดูแล้วปฎิบัติได้ตั้งใจมากๆ เลยค่ะ) และ 2 คนมาจากลาว, 1 คนมาจากญี่ปุ่น
@ ศูนย์ธรรมอาภา พิษณุโลก สถานที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ร่มรื่นค่ะ ทางด้านที่พักของฝั่งผู้หญิง มีเรือนแถว B ที่เป็นห้องน้ำรวม เรือนแถว C เป็นห้องส่วนตัว มีห้องน้ำในตัว เรือนแถว D ก็เช่นกัน ส่วน E เป็นบ้านหลังเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว ด้านหน้าของศูนย์จะเป็นอาคารอเนกประสงค์ สำหรับลงทะเบียน และทานข้าว และด้านหลัง ของเรือนแถวที่พัก จะมีลานให้เดินออกกำลังกาย กว้างพอสมควรเลยค่ะ การมาปฎิบัติที่นี่ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้น ค่ารถจาก กรุงเทพ ไป-กลับ 1,000 บาท และ มีค่าซักรีด และซื้อของ โดยการซักรีด ส่งผ้าซักวันนี้ วันรุ่งขึ้นจะได้ผ้ากลับมา การสั่งซื้อของก็เช่นเดียวกัน สั่งวันนี้ พรุ่งนี้กลางวันของก็มาแล้วค่ะ ค่อนข้างสะดวกสบายมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเอื้อต่อนักปฎิบัติมากๆ ขอเพียงแต่ตั้งใจค่ะ / ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการดำเนินการของศูนย์ เกิดจากเงินบริจาคทั้งหมด บางท่านได้บริจาคที่ดิน เพื่อก่อนสร้างศูนย์ ซึ่งขณะนี้ มีศูนย์ที่ดำเนินการแบบเดียวกันทั้งหมดนี้ 9 ศูนย์ครอบคลุมทุกภาค ส่วนผู้ที่อำนวยความสะดวกและบริการผู้ปฎิบัติ (ธรรมบริกร) ก็มาด้วยความเต็มใจที่จะรับใช้ผู้ปฎิบัติ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
จขกท ได้ของแถมที่เกิดจากการมาปฎิบัติในครั้งนี้ด้วย ก็คือ การชาร์ตแบตให้กับร่างกาย โดยไม่มีสิ่งเร้าใดๆ ทั้งมือถือ และโซเชียล ระบบร่างกายดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับประทานอาหารตรงเวลา ทานอาหารมังสวิรัติ (อร่อยมากและไม่มัน) ที่มีประโยชน์ ภายใน 10 วัน ไม่น่าเชื่อว่า ร่างกายจะปรับตัวเองได้ดี เนื่องจากการได้รับสิ่งที่ดีๆ เข้าไปทั้งทางร่างกายและจิตใจ ได้ทราบมาว่า มีหลายๆ ท่านสามารถเลิกบุหรี่ และเหล้าได้ หลังจากจบคอร์สปฎิบัตินี้ด้วย อันนี้คงไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ใดๆ ที่เกิดขึ้น แต่เป็นหลักของเหตุและผลจริงๆ ค่ะ
ท้ายนี้ ขอให้ทุกท่าน มีธรรมเป็นที่พึ่งนะคะ โดยเน้นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้เจออะไร ในหนทางที่จะมุ่งไป แต่การพากเพียรปฏิบัติ เพื่อลดกิเลส และไม่เพิ่มพูนกิเลสใหม่ๆ เข้าไปในจิต ผลที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความเป็นสุขของตัวเอง และคนรอบข้างที่เกิดขึ้น และถ้าปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่อง ถึงตอนนั้น ธรรมะ ก็จะจัดสรรผลต่างๆ ให้เองนะคะ
ดูตารางปฏิบัติ https://goo.gl/1HeKIa
รูปภาพของศูนย์ธรรมอาภา https://goo.gl/rPVSO1
–ขอบคุณมากค่ะ-