จากพงไพรหมู่บ้านเล็กเลียบริมโขงเข้าไปนครหลวงแห่งอาณาจักรอินดัส มากด้วยสถาปัตยกรรมอินเดียสูงใหญ่ตระหง่านสลับบ้านหลังเล็กหลังน้อยของชาวบ้าน
ลึกเข้าไปในอาณาจักรอินดัส ผู้คนมากหน้าขวักไขว่บนท้องถนนแต่งตัวต่างกันโดยวรรณะ บ้างเดินไปมา บ้างพูดคุยกัน บ้างฝึกศาสตราอาวุธและมนตรา บ้างโยคะบำเพ็ญตนในเพลาเที่ยงวัน
ณ หน้าประตูวังแห่งกษัตริย์กับกำแพงหินผาสูงใหญ่สลักลายงดงาม กลุ่มชาวบ้านนุ่งห่มน้อย ปกปิดเพียงจุดสำคัญ ผู้ชายโพกหัวไว้หนวด เข้ามาร้องทุกข์กับทหารยามสวมเกราะหนักลวดลายอินเดียมือถือหอกกับโล่ท่าทางแข็งขันสองนาย
“ ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้องค์ชายทรงเสด็จประพาสต่างแดน ส่วนพระเจ้าอยู่หัวทรงติดราชการแผ่นดินอยู่ ” ทหารเฝ้าประตูนายนึงกล่าวเสียงแข็ง
“ ตะ แต่ว่า หลายชั่วยามพวกเราต่างเห็นกลุ่มคนมีพลังมนตรา ท่าทางลับลมคมในมาป้วนเปี้ยนแถวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะเป็นเหตุอาเพศ กรุณาส่งผู้ใดมาตรวจสอบด้วยเถิด ”
ทหารสองนายมองหน้ากันและกันไม่รู้จะทำเช่นใดส่วนชาวบ้านยังคงอ้อนวอนต่อไป ทันใดนั้นเอง
“ ข้าในฐานะเสือหมอบแมวเซา (สายลับ) คนสนิทของเจ้าชายสุธนขออาสาไปสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ” น้ำเสียงทุ้มไม่เสนาะหูดังจากเบื้องหลังกลุ่มชาวบ้าน
ปรากฏชายผิวคล้ำร่างใหญ่หนวดเฟิ้มผมเผ้ารุงรังตามตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ล่าสัตว์แบกคันธนูไว้บนหลังเนื้อตัวคละคลุ้งด้วยกลิ่นพงไพร
“ พรานบุญ ! เช่นนั้นพวกข้าคงต้องรบกวนท่านด้วย ”
หลังจากชาวบ้านเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดแก่พรานต่างแยกย้ายกันกลับไป ส่วนพรานเดินตามถนนพระนครพลางครุ่นคิดในใจ
ในพระนครช่างมากด้วยผู้คนหลายวรรณะ พวกชนชั้นสูง (High born ) ว่ากันว่ามาจากดินแดนไกลโพ้น ครอบครองศาสตราเวทมนต์มีภาษาชั้นสูงเฉพาะ
ตระกูลชนชั้นสูงที่ทรงพลังและแก่กล้าด้วยบารมีจะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้และอาณาจักรแห่งดินแดนไกลโพ้นจากวาจาขององค์ชายผู้เป็นพระราชโอรสแห่งมหาราชาอาทิตยวงศ์ นอกนั้นเป็นนักปราชญ์ ข้าราชการ หรือนักรบชั้นสูงผู้เชี่ยวชาญทั้งมนตราและลมปราณผ่านการบำเพ็ญตนลือลั่นกันว่าตัวเบาจนเดินบนผิวน้ำได้ กายาแข็งดุจเหล็กกล้า
ส่วนชนชั้นล่าง (low born ) ต่างเป็นผู้น้อย ข้าแผ่นดิน อยู่ภายใต้การปกครองของพระราชวงศ์และทหารอันเกรียงไกร
สุดท้ายเฉกเช่นตัวข้า ลูกครึ่ง(half born ) ว่ากันว่าแม้ชนชั้นสูงแม้นทรงพลัง แต่ก็มีบุตรยาก บางคนยอมเลือกชนชั้นล่างมาเป็นคู่ครองเพื่อให้สายเลือดของตนสืบทอดต่อไป
หากฟ้าเป็นใจลูกครึ่งบางคนสามารถใช้มนตราได้ไม่แพ้ชนชั้นสูง ผิดกับตัวข้าไร้วาสนาจะใช้มัน ต้องเป็นพรานดำรงชีพจนได้รับพระเมตตาจากองค์ชาย
ตกเย็น อุทัยลับฟ้ามอบนภาแก่จันทราเพียงชั่วยาม
พรานบุญลัดเลาะตามพุ่มไม้อย่างคล่องแคล่วเงียบเชียบด้วยประสบการณ์ชาวป่าชั่วชีวิตมุ่งไปบ่อน้ำมหัศจรรย์ น้ำใสดุจแก้ว ปรากฏละอองแสงลอยขึ้นมาตลอดเวลา ริมสระมากด้วยบุปผานานาพันธุ์ ล้วนเติบโต งดงาม เปล่งปลั่งกว่าดอกไม้ทั่วไป
ว่ากันว่าหากเอาน้ำไปรดพืชผักชนิดใดจะงอกเงยออกผลงดงามและเลิศรสดุจสวรรค์ประทาน
มิรอให้เวลาผ่านไปโดยสูญเปล่า พรานฉมังตระเตรียมจุดเฝ้ามอง ณ ยอดไม้สูง พร้อมวางกับดักเผื่อทางหนีทีไล่ หากสถานการณ์ไม่เป็นไปดั่งที่คาด
พลบค่ำผ่านพ้นไป ความมืดสงัดเข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงพฤกษาลู่ลมปนเสียงแมลงราตรี
พรานยังคงซ่อนเร้นบนจุดเฝ้ามองอย่างไม่ลดละกระทั่งได้ยินเสียงกลุ่มคนฝ่าพฤกษาเข้ามาบริเวณริมสระ คนนึงห่มผ้าดำเยี่ยงพราหมณ์สักทั่วกาย
ส่วนที่เหลือ 3 คนสวมชุดเกราะหนาสีดำ ลวดลายอินเดียแข็งกร้าวกว่าทหารนคร แต่ที่เด่นสุดคือหน้ากากยักษ์ขขึงขัง เขี้ยวยาว ดวงตาเปล่งแสงอาคม
พราหมณ์ห่มดำถือกระบอกปั้นดิ้นเผาแผ่ควันดำออกมา ก่อนจะนั่งประกอบพิธี ร่ายมนต์คาถาจนฝุ่นรอบกายรวมตัวกันเป็นอักขระลึกลับนับไม่ถ้วนขยับไปมา
แม้นไม่เข้าใจในเนื้อหาพิธี พรานรู้โดยสัญชาตญาณว่ามิอาจปล่อยให้มันดำเนินต่อไปได้ หากจะไปร้องขอความช่วยเหลือคงไม่ทันการ หยิบลูกธนูขึ้นมาง้างคันธนูเล็งใส่จอมขมังเวทย์แล้วยิงออกไป ทว่า..
กลับถูกจับได้โดยกองอารักขานายหนึ่ง มันหักธนูทิ้งด้วยมือเดียวราวกับไม้จิ้มฝันส่งสายตาเปล่งแสงชี้มาทางพรานบุญ ตะโกนบอกพรรคพวกให้ออกไล่ล่าทันที
พรานบุญกระโดดลัดเลาะตามกิ่งไม้อัดคดเคี้ยวด้วยฝีเท้าอันปราดเปรื่อง ว่องไว สลับกับเหลียวมองหลัง แม้นใส่เกราะหนัก แต่พวกมันก็ว่องไวดุจลิงตามมาอย่างกระชั้นชิด
ในที่สุดปรากฏคมดาบลึกลับบินมา เฉี่ยวหลังจนเสียหลักผลัดตกลงมากระแทกพื้นจนนอนแน่นิ่ง
ไม่ช้าผู้ไล่ล่าตามลงมาทำท่าจะแบกร่างพรานขึ้นหลัง ทันใดนั้นเองถูกพรานบุญที่รวบรวมลมปราณไว้ค่อยท่าอยู่แล้วใช้ฝ่ามืออัดกระแทกเข้าหน้าเต็มๆ จนเซไปข้างหลังปล่อยให้พรานถอยไปตั้งหลักได้
แม้นลมปราณจากการบำเพ็ญตนของข้า จะไม่แกร่งกล้าเท่าชนชั้นสูง ทว่าคงพอซื้อเวลาให้ตัวข้าได้ ข้าต้องกลับไปรายงานทางพระนครให้ได้ ระหว่างบอกตัวเองในใจ กำลังจะออกวิ่งมือพลางกุมแผลบนหลังกลับต้องผงะ เมื่อไพรีในชุดเกราะตาเรืองแสงสองนายขวางหน้า นายนึงเสกกงจักรพลังงาน โปร่งใส หมุนรอบนิ้วไปมาอย่างรวดเร็วดุจใบเลื่อย
พลังพิศวงนั่นมันอะไรกัน ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ? ความคิดหวั่นวิตกปนสงสัยวนเวียนในหัว ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม ยืนตั้งรับสองศัตรูตรงหน้า
“ มันผู้นั้นเป็นของข้า !! ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกระหึ่มดั่งสายฟ้าฟาดก้องจากเบื้องหลัง
สิ้นเสียงคอของพรานบุญเหมือนโดนบีบแน่นจนหายใจไม่ออกด้วยมือที่มองไม่เห็น ก่อนจะถูกพลิกตัวมาสบสายตา อริหน้ากากแตกเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
หน้าตาเหมือนมนุษย์ยุคหินคล้ายลิง แต่เขี้ยวยาวดุจเสือโคร่ง ดวงตาเปล่งพลังงานออกมา หายใจเข้าออกเป็นควันร้อน
“ สวะเช่นเจ้า ริอาจมาขวางพิธีกรรม คืนชีพท่านราหูกระนั้นหรือ บังอาจยิ่งนัก !! ” อมนุษย์ตะคอกใส่หน้าพรานบุญที่สติกำลังเลือนหายแล้วสลบไปในที่สุด
“ ........................................................................................... ” ท่ามกลางสติเลือนราง แว่วเสียงร่ายอาคมด้วยภาษาลึกลับพอได้สติคืนมาสัมผัสได้ว่าแขนขาถูกตรึงด้วยพลังบางอย่าง รีบลืมตาโพลงขึ้นมา
แลเห็นตัวเองอยู่กลางวงพิธีโดยมีพราหมณ์ชุดดำประกอบพิธี ส่วนองครักษ์ในชุดเกราะสามคน ยืนคุมเชิงอยู่ เว้นแต่ตนที่หน้ากากแตกยื่นมือส่งพลังลึกลับตรึงแขนขาอยู่
“ ก่อนเจ้าม้วยมรณาข้าจะบอกเอาบุญพลังที่เจ้าประจักษ์อยู่คือพลังจิตที่ท่านราหูผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งอาณาจักรนี้เป็นผู้ค้นพบผ่านการบำเพ็ญตน ขัดเกลาจิตจนทรงพลัง ขณะที่พวกเขลาอย่างพวกเจ้าหยุดอยู่แค่ลมหายใจ !!!
แต่จงภูมิใจเสียเถิดที่เจ้าจะเป็นส่วนหนี่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ การคืนชีพของท่านราหู! ความรู้ที่ถูกลืมเลือน พลังจิตอันไร้ขีดจำกัด จะกลับมาผงาดอีกครา !!
เลือดเนื้อของเจ้าจะเสริมมนตราให้แข็งแกร่งเป็นเท่าทวี !! โอ ท่านราหูผู้เสวยจันทร์ โปรดจงคืนชีพมาอีกครา ขจัดความเขลาบนโลกใบนี้ให้หมดสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ของท่านเถิดดดดดดดดดดดด!!!!!! ”
พรานบุญหัวใจเต้นระลึก หายใจไม่เป็นจังหวะ พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากบ่วงพลังจิตที่กั้นเขาระหว่างความเป็นความตายอย่างสุดชีวิตมิได้ใส่ใจคำสาธยายจากปากอมนุษย์เสียสติ
กระทั่งเห็นดวงจันทร์บนฟากฟ้า ถูกความมืดกลืนกิน ทีละเล็กน้อยจนมืดสนิททั้งดวง กระบอกเครื่องปั้นดินเผาแผ่ควันสีดำเปล่งแสงออกมาแล้วลอยขึ้นไปเป็นภาพซ้อนกับจันทรุปราคาเบื้องหลัง
พราหมณ์ชุดดำกำมีดแน่นด้วยสองมือแล้วยกขึ้นฟ้า ปากเอ่ยคาถาอย่างหนักแน่น เน้นคำต่อคำ บ่งบอกว่าถึงจุดสำคัญแล้ว
ความกลัวกัดกินพรานบุญจนหมดสิ้น ทั้งกายสั่นเทิ้ม เหงื่อกาฬแตกพล่าน ดิ้นสู้พันธนาการจนหมดแรง มองดูมีดอาคมพุ่งลงมาอย่างสิ้นหวัง
ชีวิตของข้าจะจบสิ้นเพียงเท่านี้!? โปรดอภัยข้าด้วยองค์ชายสุธน ข้าล้มเหลวต่อท่าน และ อาณาจักรอินดัส !!!!
พรานบุญหลับตาทำใจอยู่แสนนานจนรู้ตัวว่ายังไม่โดนแทง ความประหลาดใจปนโล่งใจยิ่งเอ่อล้นข้างใน จึงลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทว่าถูกแสงจ้าแยงเข้าตาจนต้องยกมือมาบังเลยรู้ตัวว่าพันธนาการได้คลายออกแล้ว
แว่วเสียงต่อสู้กับร้องโหยหวนเพียงครู่เดียว ทุกอย่างเงียบสงัดโดนพลัน แม้นงุนงงกับสถานการณ์ปัจจุบันเพียงใดแต่แสงสว่างจ้าเกินกว่าวิสัยทัศน์จะดับความใคร่รู้ได้
เมื่อแสงจ้าอ่อนกำลังลง ภาพหญิงสาวผิวขาว ผมเทายาวดุจนางในวรรณคดี สยายปีกด้ายแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันอันพร่ามัวเพียงครู่เดียวครู่เดียว ก่อนที่นางจะย่อตัวลงมาเอานิ้วจิ้มลงมาเกิดแสงสว่างวาบโดยพลัน
“ ................. มโนราห์ ” แว่วเสียงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ภวังค์
รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเพลาเช้าตรู่แล้ว แสงอาทิตย์อ่อนดับความมืดมิดแห่งค่ำคืน นกน้อยมากมายบินออกจากรัง พรานบุญลุกขึ้นมาอย่างอิดโรย กวาดสายตารอบกายอย่างงุนงง
ไม่ปรากฏศพคนเหล่านั้น แต่บาดแผลจากหลังข้า ยืนยันว่าเหตุการณ์เพลาที่แล้วมิใช่ความฝันเป็นแน่แท้ นางคนนั้นเป็นผู้ใด หาใช่มนุษย์หรือไม่ แต่ก่อนอื่นข้าต้องกลับไปรายงานเหตุการณ์กับทางพระนครก่อน
ก่อนจะออกตัวเดินจากไป กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงในหัว
“ ช้าก่อนเจ้า !!! ” พรานบุญเหลียวหลังไปทางบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
“ เจ้ามิได้หูฝาดแต่เพียงใด ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าใหญ่หลวงนัก หากไม่ตอบแทนสิ่งใดตัวข้าคงเสื่อมเสียไปสิบทิศ มัจฉาเผือกผู้นี้จะเป็นคนนำเจ้ามาหาข้าเอง ” น้ำเสียงน่าเกรงขามทรงพลังยังคงกังวาลในหัวพราน
สิ้นเสียง ปลาเผือกสีขาวนวลโผล่ขึ้นมาจากสระ สบสายตาพรานที่ลังเลพักนึง ก่อนตัดสินใจดำน้ำตามลงไป
ช่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่ดำน้ำลงไปกลับหายใจได้ปกติวิสัยทัศน์ชัดเจนดุจมัจฉา จนดำลึกลงไปจนแสงอาทิตย์มิอาจสาดส่องถึง แลเห็นปากถ้ำใต้น้ำตกแต่งลวดลายวิจิตรงาม
พอเข้ามาในถ้ำกลับต้องประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อมันแห้งสนิท ราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นน้ำจากภายนอก ระหว่างพรานเพลิดเพลินปนทึ่งกับสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่นั้นเอง
“ ยินดีต้อนรับสู่ถ้านาครา ผู้มาเยือน !!!! ” ดวงตาอสรพิษเขียวมรกตปรากฏขึ้นมาจากในถ้ำอันมืดมิด
The red artifact part 1 : Prince Suthon The beginning of legend ตอนที่ 2 บ่อน้ำศักสิทธิ์
ลึกเข้าไปในอาณาจักรอินดัส ผู้คนมากหน้าขวักไขว่บนท้องถนนแต่งตัวต่างกันโดยวรรณะ บ้างเดินไปมา บ้างพูดคุยกัน บ้างฝึกศาสตราอาวุธและมนตรา บ้างโยคะบำเพ็ญตนในเพลาเที่ยงวัน
ณ หน้าประตูวังแห่งกษัตริย์กับกำแพงหินผาสูงใหญ่สลักลายงดงาม กลุ่มชาวบ้านนุ่งห่มน้อย ปกปิดเพียงจุดสำคัญ ผู้ชายโพกหัวไว้หนวด เข้ามาร้องทุกข์กับทหารยามสวมเกราะหนักลวดลายอินเดียมือถือหอกกับโล่ท่าทางแข็งขันสองนาย
“ ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้องค์ชายทรงเสด็จประพาสต่างแดน ส่วนพระเจ้าอยู่หัวทรงติดราชการแผ่นดินอยู่ ” ทหารเฝ้าประตูนายนึงกล่าวเสียงแข็ง
“ ตะ แต่ว่า หลายชั่วยามพวกเราต่างเห็นกลุ่มคนมีพลังมนตรา ท่าทางลับลมคมในมาป้วนเปี้ยนแถวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะเป็นเหตุอาเพศ กรุณาส่งผู้ใดมาตรวจสอบด้วยเถิด ”
ทหารสองนายมองหน้ากันและกันไม่รู้จะทำเช่นใดส่วนชาวบ้านยังคงอ้อนวอนต่อไป ทันใดนั้นเอง
“ ข้าในฐานะเสือหมอบแมวเซา (สายลับ) คนสนิทของเจ้าชายสุธนขออาสาไปสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ” น้ำเสียงทุ้มไม่เสนาะหูดังจากเบื้องหลังกลุ่มชาวบ้าน
ปรากฏชายผิวคล้ำร่างใหญ่หนวดเฟิ้มผมเผ้ารุงรังตามตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ล่าสัตว์แบกคันธนูไว้บนหลังเนื้อตัวคละคลุ้งด้วยกลิ่นพงไพร
“ พรานบุญ ! เช่นนั้นพวกข้าคงต้องรบกวนท่านด้วย ”
หลังจากชาวบ้านเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดแก่พรานต่างแยกย้ายกันกลับไป ส่วนพรานเดินตามถนนพระนครพลางครุ่นคิดในใจ
ในพระนครช่างมากด้วยผู้คนหลายวรรณะ พวกชนชั้นสูง (High born ) ว่ากันว่ามาจากดินแดนไกลโพ้น ครอบครองศาสตราเวทมนต์มีภาษาชั้นสูงเฉพาะ
ตระกูลชนชั้นสูงที่ทรงพลังและแก่กล้าด้วยบารมีจะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้และอาณาจักรแห่งดินแดนไกลโพ้นจากวาจาขององค์ชายผู้เป็นพระราชโอรสแห่งมหาราชาอาทิตยวงศ์ นอกนั้นเป็นนักปราชญ์ ข้าราชการ หรือนักรบชั้นสูงผู้เชี่ยวชาญทั้งมนตราและลมปราณผ่านการบำเพ็ญตนลือลั่นกันว่าตัวเบาจนเดินบนผิวน้ำได้ กายาแข็งดุจเหล็กกล้า
ส่วนชนชั้นล่าง (low born ) ต่างเป็นผู้น้อย ข้าแผ่นดิน อยู่ภายใต้การปกครองของพระราชวงศ์และทหารอันเกรียงไกร
สุดท้ายเฉกเช่นตัวข้า ลูกครึ่ง(half born ) ว่ากันว่าแม้ชนชั้นสูงแม้นทรงพลัง แต่ก็มีบุตรยาก บางคนยอมเลือกชนชั้นล่างมาเป็นคู่ครองเพื่อให้สายเลือดของตนสืบทอดต่อไป
หากฟ้าเป็นใจลูกครึ่งบางคนสามารถใช้มนตราได้ไม่แพ้ชนชั้นสูง ผิดกับตัวข้าไร้วาสนาจะใช้มัน ต้องเป็นพรานดำรงชีพจนได้รับพระเมตตาจากองค์ชาย
ตกเย็น อุทัยลับฟ้ามอบนภาแก่จันทราเพียงชั่วยาม
พรานบุญลัดเลาะตามพุ่มไม้อย่างคล่องแคล่วเงียบเชียบด้วยประสบการณ์ชาวป่าชั่วชีวิตมุ่งไปบ่อน้ำมหัศจรรย์ น้ำใสดุจแก้ว ปรากฏละอองแสงลอยขึ้นมาตลอดเวลา ริมสระมากด้วยบุปผานานาพันธุ์ ล้วนเติบโต งดงาม เปล่งปลั่งกว่าดอกไม้ทั่วไป
ว่ากันว่าหากเอาน้ำไปรดพืชผักชนิดใดจะงอกเงยออกผลงดงามและเลิศรสดุจสวรรค์ประทาน
มิรอให้เวลาผ่านไปโดยสูญเปล่า พรานฉมังตระเตรียมจุดเฝ้ามอง ณ ยอดไม้สูง พร้อมวางกับดักเผื่อทางหนีทีไล่ หากสถานการณ์ไม่เป็นไปดั่งที่คาด
พลบค่ำผ่านพ้นไป ความมืดสงัดเข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงพฤกษาลู่ลมปนเสียงแมลงราตรี
พรานยังคงซ่อนเร้นบนจุดเฝ้ามองอย่างไม่ลดละกระทั่งได้ยินเสียงกลุ่มคนฝ่าพฤกษาเข้ามาบริเวณริมสระ คนนึงห่มผ้าดำเยี่ยงพราหมณ์สักทั่วกาย
ส่วนที่เหลือ 3 คนสวมชุดเกราะหนาสีดำ ลวดลายอินเดียแข็งกร้าวกว่าทหารนคร แต่ที่เด่นสุดคือหน้ากากยักษ์ขขึงขัง เขี้ยวยาว ดวงตาเปล่งแสงอาคม
พราหมณ์ห่มดำถือกระบอกปั้นดิ้นเผาแผ่ควันดำออกมา ก่อนจะนั่งประกอบพิธี ร่ายมนต์คาถาจนฝุ่นรอบกายรวมตัวกันเป็นอักขระลึกลับนับไม่ถ้วนขยับไปมา
แม้นไม่เข้าใจในเนื้อหาพิธี พรานรู้โดยสัญชาตญาณว่ามิอาจปล่อยให้มันดำเนินต่อไปได้ หากจะไปร้องขอความช่วยเหลือคงไม่ทันการ หยิบลูกธนูขึ้นมาง้างคันธนูเล็งใส่จอมขมังเวทย์แล้วยิงออกไป ทว่า..
กลับถูกจับได้โดยกองอารักขานายหนึ่ง มันหักธนูทิ้งด้วยมือเดียวราวกับไม้จิ้มฝันส่งสายตาเปล่งแสงชี้มาทางพรานบุญ ตะโกนบอกพรรคพวกให้ออกไล่ล่าทันที
พรานบุญกระโดดลัดเลาะตามกิ่งไม้อัดคดเคี้ยวด้วยฝีเท้าอันปราดเปรื่อง ว่องไว สลับกับเหลียวมองหลัง แม้นใส่เกราะหนัก แต่พวกมันก็ว่องไวดุจลิงตามมาอย่างกระชั้นชิด
ในที่สุดปรากฏคมดาบลึกลับบินมา เฉี่ยวหลังจนเสียหลักผลัดตกลงมากระแทกพื้นจนนอนแน่นิ่ง
ไม่ช้าผู้ไล่ล่าตามลงมาทำท่าจะแบกร่างพรานขึ้นหลัง ทันใดนั้นเองถูกพรานบุญที่รวบรวมลมปราณไว้ค่อยท่าอยู่แล้วใช้ฝ่ามืออัดกระแทกเข้าหน้าเต็มๆ จนเซไปข้างหลังปล่อยให้พรานถอยไปตั้งหลักได้
แม้นลมปราณจากการบำเพ็ญตนของข้า จะไม่แกร่งกล้าเท่าชนชั้นสูง ทว่าคงพอซื้อเวลาให้ตัวข้าได้ ข้าต้องกลับไปรายงานทางพระนครให้ได้ ระหว่างบอกตัวเองในใจ กำลังจะออกวิ่งมือพลางกุมแผลบนหลังกลับต้องผงะ เมื่อไพรีในชุดเกราะตาเรืองแสงสองนายขวางหน้า นายนึงเสกกงจักรพลังงาน โปร่งใส หมุนรอบนิ้วไปมาอย่างรวดเร็วดุจใบเลื่อย
พลังพิศวงนั่นมันอะไรกัน ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ? ความคิดหวั่นวิตกปนสงสัยวนเวียนในหัว ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม ยืนตั้งรับสองศัตรูตรงหน้า
“ มันผู้นั้นเป็นของข้า !! ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกระหึ่มดั่งสายฟ้าฟาดก้องจากเบื้องหลัง
สิ้นเสียงคอของพรานบุญเหมือนโดนบีบแน่นจนหายใจไม่ออกด้วยมือที่มองไม่เห็น ก่อนจะถูกพลิกตัวมาสบสายตา อริหน้ากากแตกเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
หน้าตาเหมือนมนุษย์ยุคหินคล้ายลิง แต่เขี้ยวยาวดุจเสือโคร่ง ดวงตาเปล่งพลังงานออกมา หายใจเข้าออกเป็นควันร้อน
“ สวะเช่นเจ้า ริอาจมาขวางพิธีกรรม คืนชีพท่านราหูกระนั้นหรือ บังอาจยิ่งนัก !! ” อมนุษย์ตะคอกใส่หน้าพรานบุญที่สติกำลังเลือนหายแล้วสลบไปในที่สุด
“ ........................................................................................... ” ท่ามกลางสติเลือนราง แว่วเสียงร่ายอาคมด้วยภาษาลึกลับพอได้สติคืนมาสัมผัสได้ว่าแขนขาถูกตรึงด้วยพลังบางอย่าง รีบลืมตาโพลงขึ้นมา
แลเห็นตัวเองอยู่กลางวงพิธีโดยมีพราหมณ์ชุดดำประกอบพิธี ส่วนองครักษ์ในชุดเกราะสามคน ยืนคุมเชิงอยู่ เว้นแต่ตนที่หน้ากากแตกยื่นมือส่งพลังลึกลับตรึงแขนขาอยู่
“ ก่อนเจ้าม้วยมรณาข้าจะบอกเอาบุญพลังที่เจ้าประจักษ์อยู่คือพลังจิตที่ท่านราหูผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งอาณาจักรนี้เป็นผู้ค้นพบผ่านการบำเพ็ญตน ขัดเกลาจิตจนทรงพลัง ขณะที่พวกเขลาอย่างพวกเจ้าหยุดอยู่แค่ลมหายใจ !!!
แต่จงภูมิใจเสียเถิดที่เจ้าจะเป็นส่วนหนี่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ การคืนชีพของท่านราหู! ความรู้ที่ถูกลืมเลือน พลังจิตอันไร้ขีดจำกัด จะกลับมาผงาดอีกครา !!
เลือดเนื้อของเจ้าจะเสริมมนตราให้แข็งแกร่งเป็นเท่าทวี !! โอ ท่านราหูผู้เสวยจันทร์ โปรดจงคืนชีพมาอีกครา ขจัดความเขลาบนโลกใบนี้ให้หมดสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ของท่านเถิดดดดดดดดดดดด!!!!!! ”
พรานบุญหัวใจเต้นระลึก หายใจไม่เป็นจังหวะ พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากบ่วงพลังจิตที่กั้นเขาระหว่างความเป็นความตายอย่างสุดชีวิตมิได้ใส่ใจคำสาธยายจากปากอมนุษย์เสียสติ
กระทั่งเห็นดวงจันทร์บนฟากฟ้า ถูกความมืดกลืนกิน ทีละเล็กน้อยจนมืดสนิททั้งดวง กระบอกเครื่องปั้นดินเผาแผ่ควันสีดำเปล่งแสงออกมาแล้วลอยขึ้นไปเป็นภาพซ้อนกับจันทรุปราคาเบื้องหลัง
พราหมณ์ชุดดำกำมีดแน่นด้วยสองมือแล้วยกขึ้นฟ้า ปากเอ่ยคาถาอย่างหนักแน่น เน้นคำต่อคำ บ่งบอกว่าถึงจุดสำคัญแล้ว
ความกลัวกัดกินพรานบุญจนหมดสิ้น ทั้งกายสั่นเทิ้ม เหงื่อกาฬแตกพล่าน ดิ้นสู้พันธนาการจนหมดแรง มองดูมีดอาคมพุ่งลงมาอย่างสิ้นหวัง
ชีวิตของข้าจะจบสิ้นเพียงเท่านี้!? โปรดอภัยข้าด้วยองค์ชายสุธน ข้าล้มเหลวต่อท่าน และ อาณาจักรอินดัส !!!!
พรานบุญหลับตาทำใจอยู่แสนนานจนรู้ตัวว่ายังไม่โดนแทง ความประหลาดใจปนโล่งใจยิ่งเอ่อล้นข้างใน จึงลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทว่าถูกแสงจ้าแยงเข้าตาจนต้องยกมือมาบังเลยรู้ตัวว่าพันธนาการได้คลายออกแล้ว
แว่วเสียงต่อสู้กับร้องโหยหวนเพียงครู่เดียว ทุกอย่างเงียบสงัดโดนพลัน แม้นงุนงงกับสถานการณ์ปัจจุบันเพียงใดแต่แสงสว่างจ้าเกินกว่าวิสัยทัศน์จะดับความใคร่รู้ได้
เมื่อแสงจ้าอ่อนกำลังลง ภาพหญิงสาวผิวขาว ผมเทายาวดุจนางในวรรณคดี สยายปีกด้ายแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันอันพร่ามัวเพียงครู่เดียวครู่เดียว ก่อนที่นางจะย่อตัวลงมาเอานิ้วจิ้มลงมาเกิดแสงสว่างวาบโดยพลัน
“ ................. มโนราห์ ” แว่วเสียงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ภวังค์
รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเพลาเช้าตรู่แล้ว แสงอาทิตย์อ่อนดับความมืดมิดแห่งค่ำคืน นกน้อยมากมายบินออกจากรัง พรานบุญลุกขึ้นมาอย่างอิดโรย กวาดสายตารอบกายอย่างงุนงง
ไม่ปรากฏศพคนเหล่านั้น แต่บาดแผลจากหลังข้า ยืนยันว่าเหตุการณ์เพลาที่แล้วมิใช่ความฝันเป็นแน่แท้ นางคนนั้นเป็นผู้ใด หาใช่มนุษย์หรือไม่ แต่ก่อนอื่นข้าต้องกลับไปรายงานเหตุการณ์กับทางพระนครก่อน
ก่อนจะออกตัวเดินจากไป กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงในหัว
“ ช้าก่อนเจ้า !!! ” พรานบุญเหลียวหลังไปทางบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
“ เจ้ามิได้หูฝาดแต่เพียงใด ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าใหญ่หลวงนัก หากไม่ตอบแทนสิ่งใดตัวข้าคงเสื่อมเสียไปสิบทิศ มัจฉาเผือกผู้นี้จะเป็นคนนำเจ้ามาหาข้าเอง ” น้ำเสียงน่าเกรงขามทรงพลังยังคงกังวาลในหัวพราน
สิ้นเสียง ปลาเผือกสีขาวนวลโผล่ขึ้นมาจากสระ สบสายตาพรานที่ลังเลพักนึง ก่อนตัดสินใจดำน้ำตามลงไป
ช่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่ดำน้ำลงไปกลับหายใจได้ปกติวิสัยทัศน์ชัดเจนดุจมัจฉา จนดำลึกลงไปจนแสงอาทิตย์มิอาจสาดส่องถึง แลเห็นปากถ้ำใต้น้ำตกแต่งลวดลายวิจิตรงาม
พอเข้ามาในถ้ำกลับต้องประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อมันแห้งสนิท ราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นน้ำจากภายนอก ระหว่างพรานเพลิดเพลินปนทึ่งกับสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่นั้นเอง
“ ยินดีต้อนรับสู่ถ้านาครา ผู้มาเยือน !!!! ” ดวงตาอสรพิษเขียวมรกตปรากฏขึ้นมาจากในถ้ำอันมืดมิด