“หนาวแล้วนี่หน่า จะไม่พาไปสัมผัสอากาสเย็น เอาหน้าไปแนบหมอกหน่อยหรอ จะว่าไปเขาค้อก็น่าไปเนอะ” ><
และนี่ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าที่พูดขึ้นลอยๆแน่นอน แต่เป็นประโยคขอร้อง วิงวอน หรือเอาง่ายๆก้อ้อนคนข้างๆพาไปเที่ยวเนี่ยละ  
และมันก็สำเร็จทุกครั้งไป เยส!



ระหว่างทางเราเลือกเส้นทางมาทางแคมป์สน ทำให้ผ่านวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วที่เห็นเจดีย์สูงงดงามมาแต่ตั้งแต่โค้งขึ้นเขา เราจึงเลี้ยวรถเข้าไปไหว้พระชมความงามที่เล่าลือกันมาสักหน่อย จริงๆเราเคยมาเมื่อหลายปีก่อนที่ยังสร้างไม่เสร็จดี พอได้มาวันนี้ได้มาเห็นความงามเต็มตา และยังได้ชมอุโบสถพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่สูงสง่าอีกด้วย ความพิเศษของที่นี่คือมีการตกแต่งมาจากถ้วยกระเบื้อง หินสีต่างๆ หรือแม้แต่ชามเบญจรงค์ก็มี









หลังจากเดินชมทั่วรอบวัดแล้วก็ถึงเวลาเชคอินเข้าที่พักเราพอดีค่ะ ขับรถจากแคมป์สนไปประมาณ 20 กิโล ผ่านพระตำหนักเขาค้อไปทางทุ่งแสลงหลวง ไม่นานก็ถึง ทางเข้าก็เห็นชัดเจนด้วยป้ายขนาดใหญ่เลี้ยวขวาเข้าไปเลย  หลังจากเชคอินเรียบร้อยก็เดินถ่ายรูปรอบๆ มีมุมน่ารักฟรุ้งฟริ้งให้เราถ่ายภาพได้ไม่เบื่อเลย บรรยากาศเงียบสงบมีความเป็นส่วนตัว เหมาะกับการมาพักผ่อนอย่างยิ่ง









บ้านพักที่นี่แบ่งออกเป็น 3 แบบ ทั้งโมเดิร์น วินเทจและแบบน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อต้นเดือน แบบโมเดิร์นดีลักซ์ แน่นอนว่าสาวไสตล์วินเทจอ่อนโยนแบบเราก็ต้องเลือกห้องวินเทจแน่นอน เค้าว่ากันว่าห้องนี้ตอนเช้าสามารถนอนดูทะเลหมอกจากบนเตียงได้เลยนะ เก๋ปะละ555 เก็บของที่ห้องเสร็จก็แอบแว๊บไปชมห้องโมเดิร์นบ้าง ห้องโมเดิร์นนี้เป็นห้องพัดลมนะคะ แต่มาฤดูนี้พัดลมก็แทบไม่เปิดใช้งานเลย มุดตัวในผ้าห่มแน่คืนนี้








พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า มีอีกกิจกรรมที่พิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่เข้าพักที่นี่ คือ การปิ้งย่างบาร์บีคิวยามเย็นพร้อมเมาส์มอยหอยสังข์กับเพื่อน หรือใครมาเป็นคู่ ช่วงนี้แหละโรแมนติคสุดเลย





เราจองเซตปิ้งย่างแบบชุดรวมที่มีทั้ง พอร์ชอพ 1 ชิ้น,เซอลอย 1 ชิ้น,ทะเลรวม 1 บัคเก็ต,บาบีคิว 2 ไม้,ผักรวม แถมขนมปังไม่อั้นไว้ (บาร์บีคิวต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันนะคะ ) และที่เราชอบสุดๆก็คงเป็นบรรยากาศยามเย็น มีทั้งเต้นท์น่ารักๆไว้ถ่ายรูปชิคๆอีก
แต่ก็มีเรื่องแปลกอยู่ว่า ยิ่งพระอาทิตย์ใกล้ตกแค่ไหน ท้องก็ร้องดังแค่นั้น 555 ช่วงนี้ก็เลยเน้นกินและนะคะ เออ แล้วตอนแรกนะก็คิดนะว่าเที่ยวเขาๆเนี่ย อาหารทะเลจะสดไหม แต่ขอบอกเลยว่า สดไม่แพ้กินริมทะเลเลยจ้า กุ้งหอยหมึกจัดเต็มมาก ฟินเลย ก่อนกินก็อย่าลืมถ่ายรูปไว้อัพลงโซเชียลอวดเพื่อนด้วยละ จะบอกว่าที่นี่ดึกๆนี่ดาวเต็มท้องฟ้านะ ปิ้งมันเผาสักชิ้นไปนอนดูดาวได้เลย












กู๊ดมอนิ่งงง เช้าแล้วววตั้งนาฬิปลุกตั้งแต่ตี 5 กะว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ เขาตะเคียนโง๊ะก่อนแล้วค่อยกลับมาดูที่รีสอร์ทต่อ จากที่พักอยู่ใกล้เขาตะเคียนโง้ะเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้นค่ะ บอกเลยว่าจุดชมทะเลหมอก 360 องศาที่เค้าว่ากันว่าสวยที่สุดในเขาค้อก็ต้องที่นี่แหละ  แต่ช่วงนี้เข้าฤดูหนาวก็แอบกลัวเฟลบ้างว่าจะเจอหมอกไหม เพราะช่วงที่หมอกเยอะเนี่ยต้องปลายฝนต้นหนาว ยิ่งคืนไหนฝนตกวันรุ่งขึ้นหมอกมาให้บึมเลยค่ะ





พอเริ่มสว่างคนก็เริ่มทยอยมาจนที่จอดรถบนเขาตะเคียนโง๊ะเริ่มเต็ม ส่วนเรามานานแล้วก็เสียสละกลับก่อน จริงๆคือจะกลับไปฟินกับหมอกที่ห้องนอนต่อ พอกลับถึงรีสอร์ทก็ตะลึงกับหมอกที่ลอยตัวมาปกคลุมรอบด้าน ภาพตรงหน้านี่เหมือนฝันไปเลย
(ช่วงนี้ขอเล่าผ่านรูปรัวๆเลยนะคะ)





ว่าด้วยเรื่องของอาหารเช้า ไม่ว่าพักห้องไหนก็ฟรีอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ห์ทั้งนั้น ทั้งข้าวต้ม ขนมปังอมยิ้ม ไข่ไส้กรอกและขนมอีกเพียบรอเราอยู่ ใครอยากกินในห้องก้ได้ บนเตียงก็ดี หรือถ้ายังไม่อิ่มก็ลงมาเติมในห้องกระจกได้ไม่อั้นค่า
ส่วนเราขอทานบนเตียงแบบฟินๆ ดูหมอกปลิวๆแล้วกันเนอะ






ใครสายกาแฟ จะเอากาแฟมาดริฟเองก็ได้ แต่ถ้าใครขี้เกียจขนมาเองที่นี่ก็มีบริการชา กาแฟ โอวัลตินนะคะ
มาจิบหมอกเคล้ากาแฟ เอ้ย! จิบกาแฟเคล้าหมอกด้วยกันรับรองว่าจะไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเลยจริงๆ






เออ อันนี้ลืมบอกว่าที่นี่มีคาเฟ่ด้วยนะ คาเฟ่สีขาวในเรือนกระจกนี่แหละ มีเมนูของหวานให้เลือกเยอะเลย ลองสั่งฮันนี่โทส อร่อยเหมือนกันนะ จะว่าไปที่นี่ครบเครื่องจริงๆอ่ะ คือดีย์  สมแล้วที่เค้าบอกว่า ENJOY YOUR TIME AMONG THE MIST ถ้าใครมีแพลนมาเขาค้อยังหาที่พักไม่ได้ละก็ เราอยากให้ SUNSET RESORT เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเพื่อนๆในวันหยุดนะ







ของแถมมม สุดท้ายก่อนกลับเราแวะเที่ยวทุ่งกังหันลมบ้านเพชรดำ ที่ตอนนี้กำลังฮิตฝุดๆ ใครไม่มาเชคอินถือว่ามาไม่ถึงเขาค้อไปซะแล้ววว คนอื่นว่าไงไม่รู้แต่เราว่าร้อนอ่ะ ขนาดหน้าหนาวยังร้อนขนาดนี้ ถ้าหน้าร้อนนี่คงเกรียม แต่ยังดีมีชิงช้าม้งให้เล่น ก็เล่นจนเพลินลืมความร้อนไปได้บ้าง ถือเป็นจุดแวะหรือสถานที่ท่องเที่ยใกล้เคียงก่อนเดินทางกลับได้อยู่ สำหรับเราการเดินทางจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเรามีความสุขกับการเดินทางในครั้งนี้ เหมือนตอนนี้ที่เรากำลังยิ้มระหว่างเล่าถึงทริปนี้นี่แหละ