ทริปแรกประจำปีนี้ กับภาระกิจพิชิตภูเขารูปหัวใจที่ชื่อว่า
"ภูกระดึง" เป็นการเตรียมตัวก่อนถึงทริปใหญ่ช่วงสิ้นปี แล้วทำไมเราต้องมากันถึง 2 หน กว่าจะจบภาระกิจ มาร่วมติดตาม และเที่ยวไปพร้อมๆ กันครับ...
เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา "Have you ever" ได้ที่
หนแรก
ออกเดินทาง (6 พฤศจิการยน 2559)
นัดเจอกันที่ขนส่งหมอชิต 3 ทุ่ม จองรถกันไว้รอบ 4 ทุ่มครับ เราซื้อตั๋ว VIP ของ บ.ข.ส. โดยจองออนไลท์ครับ แล้วไปชำระเงินที่ Counter Service นำสลิปการชำระเงินไปขึ้นตั๋วที่หมอชิตอีกที เมื่อถึงเวลาก็เริ่มออกเดินทาง ขึ้นรถได้สักพักก็หลับเอาแรงครับตื่นมาตอนรถแวะให้ทานข้าว และหลับยาวตื่นอีกทีก็ผานกเค้าละ มาถึงผานกเค้าน่าจะประมาณ ตี 5:30 ได้
วันแรก (7 พฤศจิกายน 2559)
ลงรถมาก็มานั่งพัก กินข้าว ล้างหน้า ล้างตาชาร์จโทรศัพท์กันที่ร้านเจ๊กิมชิวๆ ตั้งกล้องถ่ายภาพเล่นกับผานกเค้าเพลินเลย มองหันหลังกลับไป คนไปกันหมดเหลือผมกับเพื่อน 2 คน(เนื่องจากวันที่เดินทางเป็นวันจันทร์คนจึงไม่เยอะเท่าไรครับ) จึงรีบเก็บของแล้วไปที่คิวสองแถว พี่คนขับบอกว่า "คงไม่มีใครมาเพิ่มแล้วละ มันวันธรรมดา"เลยได้เหมารถแดงไปอุทยานกัน(300 บาท)
ทริปนี้กะมาแบบชิลๆ ครับ สบายๆ มาหาเอาข้างหน้า มาถึงอุทยานก็ซื้อบัตรผ่าน จองเต๊นท์(เครื่องนอนอื่นๆไปเช่าเอาด้านบนครับ) หลังจากนั้นก็ไปชั่งน้ำหนักสัมภาระระที่จุดชั่งน้ำหนัก ค่าบริการก็กิโลละ 30 บาทครับ บรรยากาศเช้านี้ฟ้าไม่เปิด เมฆค่อนข้างมาครึ้มครับ หลังจากชั่งสัมภาระเรียบร้อยก็เดินช๊อปปิ้งที่ร้านค้าภายในอุทยาน ได้สตั๊ดดอยกับเสื้อกันฝนกันคนละชุด
ฝากของลูกหาบเสร็จแล้วก็ศึกษาเส้นทางกันสักหน่อย
ได้เวลาลุยครับ 9 กิโล สบายๆ ครับ
ได้มีโอกาสคุยกับพี่ลูกหาบ เค้าสามารถแบกได้เที่ยวนึงได้ถึง 70 กิโล
ถึงแล้วซัมแฮก ที่นี่มีบริการทุกอย่างครับ ของกิน ห้องน้ำ สะดวกสบายมาก แวะทานแตงโมให้หายเหนื่อย แล้วเดินทางต่อครับ
หลังจากซัมแฮกธรรมชาติก็ลงโทษครับ ฝนเทลงมาอย่างหนัก เส้นทางที่เคยแห้งเปียกชุ่มไปด้วยฝนและน้ำขัง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ถอยสตั๊ดดอยกับชุดกันฝนมาได้ใช้กันยาวๆ ครับทริปนี้ ฝนก็ตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย กล้องถ่ายรูปที่เตรียมมานอนอยู่ในกระเป๋าครับ ไม่มีโอกาสเอาออกมาเก็บภาพ เดินไปอย่างระมัดระวัง พักทุกซัมที่มี และแล้วก็ถึงหลังแปครับ คิดว่าถึงข้างบนฝนคงซาๆ แต่ที่ไหนได้ฝนเจ้ากำตกหนักเข้าไปอีก
กับป้ายผู้พิชิตภูกระดึง ท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็เดินฝ่ากระแสฝนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากหลังแปไปเป็นทางราบระยะทาง 3 กิโล ก่อนจะถึงจุดกางเต็นท์ครับ
เดินต่อจนมาถึงบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางฝนก็ซาลง ก็ติดต่อเช่าถุงนอน แผ่นรองนอน หมอน มีพร้อมครับ เช่าไว้ก่อนยังไม่ได้ไปรับของนะครับคงต้องรอฝนหยุดกันอีกสักพัก เลยไปหาอะไรร้อนๆ ทานกันก่อน ทางร้านที่ไปทานมีเตาผิงไฟให้หายหนาวกันด้วย นั่งพักรอฝนหยุดไม่นานลูกหาบก็ขนสัมภาระมาถึงพอดีก็ชำระค่าบริการกันไป เดินหาเต๊นท์ที่จะเข้าพักก็เกือบทุกหลังเปียกหมด มีน้ำขังข้างใน แต่เจ้าหน้าที่ได้กาง fly sheet เพิ่มไว้ให้ส่วนหนึ่งบริเวณนั้นจะเปียกน้อยหน่อย ก็ขอยืมผ้าจากเจ้าหน้าที่มาเช็ดเต๊นท์ให้แห้งขนเครื่องนอนและสัมภาระเข้าที่พัก หมอกลงหนามากมีฝนปอยๆ ลงมาวันแรกก็ได้แต่นอน กิน แล้วก็นอน ปรอบใจตัวเองวันพรุ้งนี้คงดีขึ้น....
วันที่สอง (8 พฤศจิกายน 2559)
แผนวันนี้คือ นั่งจิปกาแฟดูพระอาทิตย์ขึ้น สายๆ ออกเดินทางชมน้ำตก รอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก นอนชมหมู่ดาว
แต่...
ฝนตกมาต่อเนื่องตั่งแต่ประมาณเที่ยงคืน เช้าก็ยังไม่หยุด มีทั้งฝนทั้งหมอก เสียงประกาศดังก้อง
"วันนี้งดออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ฟ้าฝนไม่เป็นใจ" วันนี้เลยไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แต่ไม่เป็นไร ฝนตกยังงี้มีน้ำตกให้เราดูแน่ๆ
ประมาณ 10 โมง เสียงประกาศดังอีกระลอก
"ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปเส้นทางดูน้ำตกทั้งหมดเด็ดขาด เนื่องจากน้ำป่าไหลหลาก" โถ่...มีน้ำแต่ดันเยอะเกิน เหลือแค่เดินเรียบหน้าผาไปผาหล่มสักเท่านั้น ประมาณ 11 โมงนั่งทานอาหารที่ร้านเดิม ป้าเจ้าของร้านให้ยืมเต้นไปกางในศาลาเพราะกลัวว่าถ้าฝนตกอีกจะนอนไม่ได้ ต้องขอบคุณป้าเจ้าของร้านข้าวมากครับ หลังจากจัดแจงยกเต๊นท์และย้ายของไปเสร็จก็ออกเดินทางไปผาหล่มสัก
ระหว่างทางไปผาหมากดูกบรรยากาศมีแต่หมอก ฝน ทางเดินลื่นและชุ้มไปด้วยน้ำ บางจุดมีน้ำขัง แต่ สตั๊ดดอย เอาอยู่
บรรยากาศสองข้างทาง มีแต่หมอกหนา ทำให้คิดถึงหนังเรื่องนึง "The Mist - มฤตยูหมอกกินมนุษย์" มันจะมีสัตว์ประหลาดมากินเราไหมเนี้ย...
ระหว่างทางไปผาหล่มสักยังคงมีหมอกหนา และฝนตกอยู่ตลอด ค่อนข้างระวังครับ เพราะทางเรียบหน้าผาเป็นเหวลึก
จุดนี้คือจุดชมวิว
"ผาเหยียบเมฆ" ครับ ปกติแล้ว จุดนี้เป็นจุดชมวิวด้านล่างที่สวยมากๆ แต่วันนี้หมอกหนา มีลมแรง ครับ ไหนๆ ก็มาแล้วเก๊กท่าถ่ายรูปสักหน่อย...
การมาภูกระดึงครั้งนี้ เราใช้วิธีการเดินทั้งสิ้นครับ บนภูกระดึงมีบริการเช่าจักรยานนะครับ คิดเป็นรายวัน แต่ครั้งนี้เราเลือกที่จะไม่เช่า เพราะเส้นทาง และทัศนวิสัยไม่ค่อยเป็นใจครับ เราอาจจะติดหล่มที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ปั่นตกหนาผาก็เป็นได้
พวกเราก้มหน้าก้มตาเดินฝ่าหมอกหนาเหมือนเคย โดยแทบจะไม่ได้แวะจุดชมวิวเลย เพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ถึงสักที
"ผาหล่มสัก" ก็ยังมืดมิดไปด้วยหมอก แต่ก็พอมีโชคครับฟ้าเปิดมาให้เราเห็นแสงอาทิตย์ และเก็บภาพวิวสวยๆ เป็นระยะๆ
เมื่อได้รับโอกาส พวกเราจึงรีบรัวชัตเตอร์เก็บภาพ เลนส์ที่แบกมาด้วยก็มีโอกาสได้หยิบเอามาใช้งาน เราเก็บภาพกันอยากเร่งรีบก่อนที่แสงจะหายไปให้ม่านหมอก
ถ่ายภาพกำลังเพลินก็ได้เวลาเดินกลับ ใจจริงเราอยากอยู่กันต่อครับ ฟ้ากำลังสวยเลย แต่ไฟฉายที่เราเตรียมกันมาพลังความสว่างมันชั่งน้อยเหลือเกิน คงสู้กับหมอกไม่ไหว เรียกได้ว่า
"ไฟฉายหิ่งห้อย"
ถึงวังกวางก็ทานอาหารร้านป้าเหมือนเดิม โชคดีมากครับที่เราเชื่อป้าเจ้าของร้านเรื่องเต็นท์ ตกดึกฝนกระหน่ำตกลงมาและตกไม่หยุดจนถึงเช้า...
วันที่สาม (9 พฤศจิกายน 2559)
วันนี้พวกเราต้องลงแล้วตามแผน วันนี้ไม่มีการไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อีกยังมีหมอกลงหนา และฝนตกปอยๆอยู่ตลอด การมาภูกระดึงรอบนี้ของเรามีแต่หมอกและฝน ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างจริงจัง เพราะ นอน กับ กิน แล้วก็ นอน ห้าๆๆ
บริเวณร้านอาหารที่จุดกางเต๊นท์วังกวาง จะมีน้องกวางเดินไปมา และไม่ตื่นคนครับ
บรรยากาศลานกลางเต็นท์ภูกระดึงในม่านหมอก ถ้าวันฟ้าใส อากาศดี คงเต็มไปด้วยเต็นท์นักท่องเที่ยว
แล้วก็ได้เวลากลับครับ ระหว่างทางกลับไปหลังแป จะมีต้นสนเดียวดายต้นนี้เด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ถ่ายด้วยคงไม่ได้ครับ ถือว่ามาไม่ถึง
พี่ๆลูกหาบ จะมีรถลากสัมภาระครับ พี่เค้ากำลังเตรียมแพ็คของใส่ไม้แบกลงภูครับ
ระหว่างทางลงครับค่อนข้างลื่นมากๆ โดยเฉพาะบริเวณหินครับ
แวะเติมพลังครับ
ปิดท้ายภาระกิจด้วยภาพผานกเค้าครับ มารอบนี้เราไปต่อกันที่เชียงคาน แต่รีวิวนี้ของรีวิวเฉพาะภูกระดึงครับก็ถือว่าจบแล้วสำหรับหนแรกนี้
การมา
ภูกระดึง รอบนี้มีทั้งอุปสรรค ความประทับใจในเวลาเดียวกัน และทำให้เราเห็นจุดบกพร่องของเรา พวกเราต้องวางแผนให้ดีกว่านี้เพราะ ธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ และที่สำคัญ
เราจะไม่ลืมเช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง...
แล้วเราจะกลับมาแก้แค้นใหม่ "ภูกระดึง"
เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา "Have you ever" ได้ที่
[CR] 10 วัน 2 หน บน "ภูกระดึง"
ทริปแรกประจำปีนี้ กับภาระกิจพิชิตภูเขารูปหัวใจที่ชื่อว่า "ภูกระดึง" เป็นการเตรียมตัวก่อนถึงทริปใหญ่ช่วงสิ้นปี แล้วทำไมเราต้องมากันถึง 2 หน กว่าจะจบภาระกิจ มาร่วมติดตาม และเที่ยวไปพร้อมๆ กันครับ...
ออกเดินทาง (6 พฤศจิการยน 2559)
นัดเจอกันที่ขนส่งหมอชิต 3 ทุ่ม จองรถกันไว้รอบ 4 ทุ่มครับ เราซื้อตั๋ว VIP ของ บ.ข.ส. โดยจองออนไลท์ครับ แล้วไปชำระเงินที่ Counter Service นำสลิปการชำระเงินไปขึ้นตั๋วที่หมอชิตอีกที เมื่อถึงเวลาก็เริ่มออกเดินทาง ขึ้นรถได้สักพักก็หลับเอาแรงครับตื่นมาตอนรถแวะให้ทานข้าว และหลับยาวตื่นอีกทีก็ผานกเค้าละ มาถึงผานกเค้าน่าจะประมาณ ตี 5:30 ได้
วันแรก (7 พฤศจิกายน 2559)
ลงรถมาก็มานั่งพัก กินข้าว ล้างหน้า ล้างตาชาร์จโทรศัพท์กันที่ร้านเจ๊กิมชิวๆ ตั้งกล้องถ่ายภาพเล่นกับผานกเค้าเพลินเลย มองหันหลังกลับไป คนไปกันหมดเหลือผมกับเพื่อน 2 คน(เนื่องจากวันที่เดินทางเป็นวันจันทร์คนจึงไม่เยอะเท่าไรครับ) จึงรีบเก็บของแล้วไปที่คิวสองแถว พี่คนขับบอกว่า "คงไม่มีใครมาเพิ่มแล้วละ มันวันธรรมดา"เลยได้เหมารถแดงไปอุทยานกัน(300 บาท)
ทริปนี้กะมาแบบชิลๆ ครับ สบายๆ มาหาเอาข้างหน้า มาถึงอุทยานก็ซื้อบัตรผ่าน จองเต๊นท์(เครื่องนอนอื่นๆไปเช่าเอาด้านบนครับ) หลังจากนั้นก็ไปชั่งน้ำหนักสัมภาระระที่จุดชั่งน้ำหนัก ค่าบริการก็กิโลละ 30 บาทครับ บรรยากาศเช้านี้ฟ้าไม่เปิด เมฆค่อนข้างมาครึ้มครับ หลังจากชั่งสัมภาระเรียบร้อยก็เดินช๊อปปิ้งที่ร้านค้าภายในอุทยาน ได้สตั๊ดดอยกับเสื้อกันฝนกันคนละชุด
ฝากของลูกหาบเสร็จแล้วก็ศึกษาเส้นทางกันสักหน่อย
ได้เวลาลุยครับ 9 กิโล สบายๆ ครับ
ได้มีโอกาสคุยกับพี่ลูกหาบ เค้าสามารถแบกได้เที่ยวนึงได้ถึง 70 กิโล
ถึงแล้วซัมแฮก ที่นี่มีบริการทุกอย่างครับ ของกิน ห้องน้ำ สะดวกสบายมาก แวะทานแตงโมให้หายเหนื่อย แล้วเดินทางต่อครับ
หลังจากซัมแฮกธรรมชาติก็ลงโทษครับ ฝนเทลงมาอย่างหนัก เส้นทางที่เคยแห้งเปียกชุ่มไปด้วยฝนและน้ำขัง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ถอยสตั๊ดดอยกับชุดกันฝนมาได้ใช้กันยาวๆ ครับทริปนี้ ฝนก็ตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย กล้องถ่ายรูปที่เตรียมมานอนอยู่ในกระเป๋าครับ ไม่มีโอกาสเอาออกมาเก็บภาพ เดินไปอย่างระมัดระวัง พักทุกซัมที่มี และแล้วก็ถึงหลังแปครับ คิดว่าถึงข้างบนฝนคงซาๆ แต่ที่ไหนได้ฝนเจ้ากำตกหนักเข้าไปอีก
กับป้ายผู้พิชิตภูกระดึง ท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็เดินฝ่ากระแสฝนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากหลังแปไปเป็นทางราบระยะทาง 3 กิโล ก่อนจะถึงจุดกางเต็นท์ครับ
เดินต่อจนมาถึงบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางฝนก็ซาลง ก็ติดต่อเช่าถุงนอน แผ่นรองนอน หมอน มีพร้อมครับ เช่าไว้ก่อนยังไม่ได้ไปรับของนะครับคงต้องรอฝนหยุดกันอีกสักพัก เลยไปหาอะไรร้อนๆ ทานกันก่อน ทางร้านที่ไปทานมีเตาผิงไฟให้หายหนาวกันด้วย นั่งพักรอฝนหยุดไม่นานลูกหาบก็ขนสัมภาระมาถึงพอดีก็ชำระค่าบริการกันไป เดินหาเต๊นท์ที่จะเข้าพักก็เกือบทุกหลังเปียกหมด มีน้ำขังข้างใน แต่เจ้าหน้าที่ได้กาง fly sheet เพิ่มไว้ให้ส่วนหนึ่งบริเวณนั้นจะเปียกน้อยหน่อย ก็ขอยืมผ้าจากเจ้าหน้าที่มาเช็ดเต๊นท์ให้แห้งขนเครื่องนอนและสัมภาระเข้าที่พัก หมอกลงหนามากมีฝนปอยๆ ลงมาวันแรกก็ได้แต่นอน กิน แล้วก็นอน ปรอบใจตัวเองวันพรุ้งนี้คงดีขึ้น....
วันที่สอง (8 พฤศจิกายน 2559)
ฝนตกมาต่อเนื่องตั่งแต่ประมาณเที่ยงคืน เช้าก็ยังไม่หยุด มีทั้งฝนทั้งหมอก เสียงประกาศดังก้อง "วันนี้งดออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ฟ้าฝนไม่เป็นใจ" วันนี้เลยไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แต่ไม่เป็นไร ฝนตกยังงี้มีน้ำตกให้เราดูแน่ๆ
ประมาณ 10 โมง เสียงประกาศดังอีกระลอก "ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปเส้นทางดูน้ำตกทั้งหมดเด็ดขาด เนื่องจากน้ำป่าไหลหลาก" โถ่...มีน้ำแต่ดันเยอะเกิน เหลือแค่เดินเรียบหน้าผาไปผาหล่มสักเท่านั้น ประมาณ 11 โมงนั่งทานอาหารที่ร้านเดิม ป้าเจ้าของร้านให้ยืมเต้นไปกางในศาลาเพราะกลัวว่าถ้าฝนตกอีกจะนอนไม่ได้ ต้องขอบคุณป้าเจ้าของร้านข้าวมากครับ หลังจากจัดแจงยกเต๊นท์และย้ายของไปเสร็จก็ออกเดินทางไปผาหล่มสัก
ระหว่างทางไปผาหมากดูกบรรยากาศมีแต่หมอก ฝน ทางเดินลื่นและชุ้มไปด้วยน้ำ บางจุดมีน้ำขัง แต่ สตั๊ดดอย เอาอยู่
บรรยากาศสองข้างทาง มีแต่หมอกหนา ทำให้คิดถึงหนังเรื่องนึง "The Mist - มฤตยูหมอกกินมนุษย์" มันจะมีสัตว์ประหลาดมากินเราไหมเนี้ย...
ระหว่างทางไปผาหล่มสักยังคงมีหมอกหนา และฝนตกอยู่ตลอด ค่อนข้างระวังครับ เพราะทางเรียบหน้าผาเป็นเหวลึก
จุดนี้คือจุดชมวิว "ผาเหยียบเมฆ" ครับ ปกติแล้ว จุดนี้เป็นจุดชมวิวด้านล่างที่สวยมากๆ แต่วันนี้หมอกหนา มีลมแรง ครับ ไหนๆ ก็มาแล้วเก๊กท่าถ่ายรูปสักหน่อย...
การมาภูกระดึงครั้งนี้ เราใช้วิธีการเดินทั้งสิ้นครับ บนภูกระดึงมีบริการเช่าจักรยานนะครับ คิดเป็นรายวัน แต่ครั้งนี้เราเลือกที่จะไม่เช่า เพราะเส้นทาง และทัศนวิสัยไม่ค่อยเป็นใจครับ เราอาจจะติดหล่มที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ปั่นตกหนาผาก็เป็นได้
พวกเราก้มหน้าก้มตาเดินฝ่าหมอกหนาเหมือนเคย โดยแทบจะไม่ได้แวะจุดชมวิวเลย เพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ถึงสักที "ผาหล่มสัก" ก็ยังมืดมิดไปด้วยหมอก แต่ก็พอมีโชคครับฟ้าเปิดมาให้เราเห็นแสงอาทิตย์ และเก็บภาพวิวสวยๆ เป็นระยะๆ
เมื่อได้รับโอกาส พวกเราจึงรีบรัวชัตเตอร์เก็บภาพ เลนส์ที่แบกมาด้วยก็มีโอกาสได้หยิบเอามาใช้งาน เราเก็บภาพกันอยากเร่งรีบก่อนที่แสงจะหายไปให้ม่านหมอก
ถ่ายภาพกำลังเพลินก็ได้เวลาเดินกลับ ใจจริงเราอยากอยู่กันต่อครับ ฟ้ากำลังสวยเลย แต่ไฟฉายที่เราเตรียมกันมาพลังความสว่างมันชั่งน้อยเหลือเกิน คงสู้กับหมอกไม่ไหว เรียกได้ว่า "ไฟฉายหิ่งห้อย"
ถึงวังกวางก็ทานอาหารร้านป้าเหมือนเดิม โชคดีมากครับที่เราเชื่อป้าเจ้าของร้านเรื่องเต็นท์ ตกดึกฝนกระหน่ำตกลงมาและตกไม่หยุดจนถึงเช้า...
วันที่สาม (9 พฤศจิกายน 2559)
วันนี้พวกเราต้องลงแล้วตามแผน วันนี้ไม่มีการไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อีกยังมีหมอกลงหนา และฝนตกปอยๆอยู่ตลอด การมาภูกระดึงรอบนี้ของเรามีแต่หมอกและฝน ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างจริงจัง เพราะ นอน กับ กิน แล้วก็ นอน ห้าๆๆ
บริเวณร้านอาหารที่จุดกางเต๊นท์วังกวาง จะมีน้องกวางเดินไปมา และไม่ตื่นคนครับ
บรรยากาศลานกลางเต็นท์ภูกระดึงในม่านหมอก ถ้าวันฟ้าใส อากาศดี คงเต็มไปด้วยเต็นท์นักท่องเที่ยว
แล้วก็ได้เวลากลับครับ ระหว่างทางกลับไปหลังแป จะมีต้นสนเดียวดายต้นนี้เด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ถ่ายด้วยคงไม่ได้ครับ ถือว่ามาไม่ถึง
พี่ๆลูกหาบ จะมีรถลากสัมภาระครับ พี่เค้ากำลังเตรียมแพ็คของใส่ไม้แบกลงภูครับ
ระหว่างทางลงครับค่อนข้างลื่นมากๆ โดยเฉพาะบริเวณหินครับ
แวะเติมพลังครับ
ปิดท้ายภาระกิจด้วยภาพผานกเค้าครับ มารอบนี้เราไปต่อกันที่เชียงคาน แต่รีวิวนี้ของรีวิวเฉพาะภูกระดึงครับก็ถือว่าจบแล้วสำหรับหนแรกนี้
การมา ภูกระดึง รอบนี้มีทั้งอุปสรรค ความประทับใจในเวลาเดียวกัน และทำให้เราเห็นจุดบกพร่องของเรา พวกเราต้องวางแผนให้ดีกว่านี้เพราะ ธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ และที่สำคัญ เราจะไม่ลืมเช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง...
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น