คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ปุจฉา - เจ้าของกระทู้บอกว่า ไม่เก่งไวยากรณ์เลยไปซื้อหนังสือมา แล้วอ่าน ๆ คิดว่าการอ่านมันช้าไม่ทันใจ และไม่เข้าใจ 100 %
วิสัชนา - หนังสือไวยากรณ์อาจต่างหนังสือความรู้ทั่ว ๆ ไป ถ้าอ่านอย่างเดียวแล้วไม่ทบทวน ไม่ลงมือทำแบบฝึกหัดท้ายเล่ม (ถ้ามี) ไม่ฝึกเขียน รวมทั้งฝึกสร้างประโยคจากเรื่องราวที่ได้เรียนมา มันแทบไม่ได้ประโยชน์จากหนังสือ Grammar book มันเหมือนกับหนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งเช่นเดียวกับ Dictionary คือถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามเกิดความสงสัยต้องการหาคำตอบ เมื่อนั้นมันคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุด จงอย่าพัฒนาทักษะ Reading เพียงอย่างเดียว แต่ต้องฝึกทักษะที่เหลือคือ Speaking Listening และ Writing ควบคู่กันไปด้วย
ปุจฉา - การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อสอบ TOEIC ควรเริ่มเรียนเรื่องไหนก่อน
วิสัชนา - ก็ต้องเรียนรู้ให้ครบทุกเรื่องและพัฒนาให้ครบทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน ลองฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษ หรือเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ เช่นนิทานอีสป ถ้าคิดว่ามันง่ายเกินไปก็หันไปอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ นิยาย ให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของเราเอง ขณะทีอ่านหากเกิดไม่เข้าใจตรงไหน ก็ต้องพึ่ง Dictionary หรือ Grammar book ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น เรื่องคำศัพท์ไม่ต้องกังวล ถ้าได้อ่านบ่อย ๆ มันจะเข้าหัวเองโดยอัตโนมัติ ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา มันไม่มีทางลัดหรอก เชื่อผมสิ เพราะฉะนั้นถ้าไปคาดหวังว่าจะต้องเก่งภายใน 3 เดือน นี่แหละที่จะเป็นนิวรณ์ ทำให้เจ้าของกระทู้เดินไปไม่ถึงฝั่ง เมื่อทำไม่ได้ ก็เกิดความท้อแท้และจะเลิกไปในที่สุด
จะสอบอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องถามว่าเรียนเรื่องไหนก่อน ถ้าเราพร้อมทุกด้าน ต่อให้ข้อสอบยากแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหา บรรดาหนังสือที่วางขายกันอยู่ทั่วไปแค่ช่วยให้เรารู้แนวข้อสอบจากปีก่อน ๆ ว่าเขาจะออกในรูปแบบไหน ถ้าเราเก่งจริงแทบจะไม่ต้องอ่านหนังสือพวกนี้สักเล่มเดียว ทุกอย่างมันง่ายหมดถ้าสดชื่น
ส่วนทักษะอื่น ๆ เช่นการฟัง สามารถฝึกได้จากอินเทอร์เน็ต แต่จงทำเหมือนกับการขึ้นบันได โดยเริ่มไต่จากขั้นแรกไปตามลำดับ อย่าคิดฉีกขาก้าวไปขั้นบนสุดโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดและตกลงมาบาดเจ็บขาหัก
การพูด จะได้ควบคู่ไปกับการฟัง ขณะดูคลิปจงฝึกพูดตามออกเสียงให้ดัง ๆ แม้ขณะนั่งอยู่คนเดียวที่บ้านก็สามารถฝึกทักษะนี้ได้ โดยให้คิดทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แล้วพูดออกไปจากความรู้สึกและสิ่งแวดล้อมขณะนั้น เช่น I am so hungry now. It is raining now. I will take a bath. I feel so sleepy. I will go to bed now. และถ้าจะให้ได้ผลดีก็หากลุ่มเพื่อนที่มีความสนใจในภาษาด้วยกัน แล้วหัดสนทนาด้วยภาษาอักกฤษ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักไวยากรณ์ให้มากนัก
การเขียน จงเขียนแต่งประโยคจากความรู้ที่ร่ำเรียนมา หัดทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าไม่รู้คำศัพท์ก็เปิดเอาจากดิกชันนารีเอาขณะนั้น เขียนไดอารีลงบันทึกประจำวัน ถูกผิดไม่เป็นไรขอให้ได้เขียนไว้ก่อน หรือจะลองแนะนำตัวเองผ่านเว็บพันทิปก็ได้นะ ที่นี่มีกูรูทางภาษาหลายคนที่จะคอยมาแก้คำผิดให้ด้วยความเต็มใจ
เมื่อเจ้าของกระทู้ได้ฝึกทุก ๆ ทักษะไปพร้อม ๆ กัน เชื่อว่าภาษาอังกฤษจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วก็ลงมือปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และห้ามใช้คำว่าไม่มีเวลามาเป็นข้ออ้างโดยเด็ดขาด
ปุจฉา - มีสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ไหนที่พอจะสอนคนแบบผมได้บ้าง
วิสัชนา - ทุกสถาบันก็สอนได้หมด ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญ จริง ๆ หลายคนก็อยากจะเรียนนะถ้าเขาสอนให้ฟรี ๆ ในเมืองใหญ่มีโรงเรียนสอนภาษาเกลื่อนไปหมด ทั้งสไตล์อเมริกันและอังกฤษ ค่าเรียนก็ต่างกันไปตามหลักสูตรและมาตรฐานของแต่ละแห่ง ส่วนเจ้าของกระทู้จะเลือกอันไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการเดินทางจากทีพัก
จะเลือกคอร์สใด ก่อนเรียนเขาให้ทดสอบความรู้เป็นข้อเขียน เพื่อจัดระดับหลักสูตรให้เหมาะสมกับความรู้และทักษะของผู้เรียน บางทีต่อให้เราทำแบบทดสอบได้เต็ม 100 % ก็อย่าคิดว่าจะได้เรียน เพราะถ้าผู้เรียนน้อยเกินไปแค่ 2-3 คน โรงเรียนเขาคงไม่เปิดสอนเพราะมันไม่คุ้มค่าแอร์ แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งค่อนข้างแพงมาก คือการเรียนตัวต่อตัว วิธีนี้จะได้ผลเร็วมาก เพราะได้โต้ตอบกับติวเตอร์ชนิดเมื่อยมือเลยทีเดียว
ส่วนการเรียนร่วมกับผู้อื่นเป็นคลาสเล็ก ๆ ถ้าผู้เรียนไม่ชอบแสดงออก ไม่ชอบสงสัย ไม่กล้าถาม ไม่กล้าพูด บางทีก็ไม่ได้ต่างกับการเรียนในห้องเรียนปกติ เพียงแต่ชื่อว่าได้เรียนกับฝรั่งก็เท่านั้น
ยังมีประเด็นไหนไม่ได้ตอบบ้างเอ่ย มีอะไรถามเข้ามาเพิ่มเติมได้ครับ ก่อนจบขอเป็นติวเตอร์หน่อยนะ ลองฟังคลิปนี้ดู ความยาวทั้งหมด 6 ชั่วโมง ว่าเจ้าของกระทู้มีความรู้เรื่องศัพท์และประโยคเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน
ขอให้สนุกกับการเรียนภาษา และขอให้ได้เป็นสจ๊วตตามที่ใฝ่ฝันไว้นะครับ
วิสัชนา - หนังสือไวยากรณ์อาจต่างหนังสือความรู้ทั่ว ๆ ไป ถ้าอ่านอย่างเดียวแล้วไม่ทบทวน ไม่ลงมือทำแบบฝึกหัดท้ายเล่ม (ถ้ามี) ไม่ฝึกเขียน รวมทั้งฝึกสร้างประโยคจากเรื่องราวที่ได้เรียนมา มันแทบไม่ได้ประโยชน์จากหนังสือ Grammar book มันเหมือนกับหนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งเช่นเดียวกับ Dictionary คือถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามเกิดความสงสัยต้องการหาคำตอบ เมื่อนั้นมันคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุด จงอย่าพัฒนาทักษะ Reading เพียงอย่างเดียว แต่ต้องฝึกทักษะที่เหลือคือ Speaking Listening และ Writing ควบคู่กันไปด้วย
ปุจฉา - การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อสอบ TOEIC ควรเริ่มเรียนเรื่องไหนก่อน
วิสัชนา - ก็ต้องเรียนรู้ให้ครบทุกเรื่องและพัฒนาให้ครบทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน ลองฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษ หรือเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ เช่นนิทานอีสป ถ้าคิดว่ามันง่ายเกินไปก็หันไปอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ นิยาย ให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของเราเอง ขณะทีอ่านหากเกิดไม่เข้าใจตรงไหน ก็ต้องพึ่ง Dictionary หรือ Grammar book ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น เรื่องคำศัพท์ไม่ต้องกังวล ถ้าได้อ่านบ่อย ๆ มันจะเข้าหัวเองโดยอัตโนมัติ ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา มันไม่มีทางลัดหรอก เชื่อผมสิ เพราะฉะนั้นถ้าไปคาดหวังว่าจะต้องเก่งภายใน 3 เดือน นี่แหละที่จะเป็นนิวรณ์ ทำให้เจ้าของกระทู้เดินไปไม่ถึงฝั่ง เมื่อทำไม่ได้ ก็เกิดความท้อแท้และจะเลิกไปในที่สุด
จะสอบอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องถามว่าเรียนเรื่องไหนก่อน ถ้าเราพร้อมทุกด้าน ต่อให้ข้อสอบยากแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหา บรรดาหนังสือที่วางขายกันอยู่ทั่วไปแค่ช่วยให้เรารู้แนวข้อสอบจากปีก่อน ๆ ว่าเขาจะออกในรูปแบบไหน ถ้าเราเก่งจริงแทบจะไม่ต้องอ่านหนังสือพวกนี้สักเล่มเดียว ทุกอย่างมันง่ายหมดถ้าสดชื่น
ส่วนทักษะอื่น ๆ เช่นการฟัง สามารถฝึกได้จากอินเทอร์เน็ต แต่จงทำเหมือนกับการขึ้นบันได โดยเริ่มไต่จากขั้นแรกไปตามลำดับ อย่าคิดฉีกขาก้าวไปขั้นบนสุดโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดและตกลงมาบาดเจ็บขาหัก
การพูด จะได้ควบคู่ไปกับการฟัง ขณะดูคลิปจงฝึกพูดตามออกเสียงให้ดัง ๆ แม้ขณะนั่งอยู่คนเดียวที่บ้านก็สามารถฝึกทักษะนี้ได้ โดยให้คิดทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แล้วพูดออกไปจากความรู้สึกและสิ่งแวดล้อมขณะนั้น เช่น I am so hungry now. It is raining now. I will take a bath. I feel so sleepy. I will go to bed now. และถ้าจะให้ได้ผลดีก็หากลุ่มเพื่อนที่มีความสนใจในภาษาด้วยกัน แล้วหัดสนทนาด้วยภาษาอักกฤษ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักไวยากรณ์ให้มากนัก
การเขียน จงเขียนแต่งประโยคจากความรู้ที่ร่ำเรียนมา หัดทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าไม่รู้คำศัพท์ก็เปิดเอาจากดิกชันนารีเอาขณะนั้น เขียนไดอารีลงบันทึกประจำวัน ถูกผิดไม่เป็นไรขอให้ได้เขียนไว้ก่อน หรือจะลองแนะนำตัวเองผ่านเว็บพันทิปก็ได้นะ ที่นี่มีกูรูทางภาษาหลายคนที่จะคอยมาแก้คำผิดให้ด้วยความเต็มใจ
เมื่อเจ้าของกระทู้ได้ฝึกทุก ๆ ทักษะไปพร้อม ๆ กัน เชื่อว่าภาษาอังกฤษจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วก็ลงมือปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และห้ามใช้คำว่าไม่มีเวลามาเป็นข้ออ้างโดยเด็ดขาด
ปุจฉา - มีสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ไหนที่พอจะสอนคนแบบผมได้บ้าง
วิสัชนา - ทุกสถาบันก็สอนได้หมด ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญ จริง ๆ หลายคนก็อยากจะเรียนนะถ้าเขาสอนให้ฟรี ๆ ในเมืองใหญ่มีโรงเรียนสอนภาษาเกลื่อนไปหมด ทั้งสไตล์อเมริกันและอังกฤษ ค่าเรียนก็ต่างกันไปตามหลักสูตรและมาตรฐานของแต่ละแห่ง ส่วนเจ้าของกระทู้จะเลือกอันไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการเดินทางจากทีพัก
จะเลือกคอร์สใด ก่อนเรียนเขาให้ทดสอบความรู้เป็นข้อเขียน เพื่อจัดระดับหลักสูตรให้เหมาะสมกับความรู้และทักษะของผู้เรียน บางทีต่อให้เราทำแบบทดสอบได้เต็ม 100 % ก็อย่าคิดว่าจะได้เรียน เพราะถ้าผู้เรียนน้อยเกินไปแค่ 2-3 คน โรงเรียนเขาคงไม่เปิดสอนเพราะมันไม่คุ้มค่าแอร์ แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งค่อนข้างแพงมาก คือการเรียนตัวต่อตัว วิธีนี้จะได้ผลเร็วมาก เพราะได้โต้ตอบกับติวเตอร์ชนิดเมื่อยมือเลยทีเดียว
ส่วนการเรียนร่วมกับผู้อื่นเป็นคลาสเล็ก ๆ ถ้าผู้เรียนไม่ชอบแสดงออก ไม่ชอบสงสัย ไม่กล้าถาม ไม่กล้าพูด บางทีก็ไม่ได้ต่างกับการเรียนในห้องเรียนปกติ เพียงแต่ชื่อว่าได้เรียนกับฝรั่งก็เท่านั้น
ยังมีประเด็นไหนไม่ได้ตอบบ้างเอ่ย มีอะไรถามเข้ามาเพิ่มเติมได้ครับ ก่อนจบขอเป็นติวเตอร์หน่อยนะ ลองฟังคลิปนี้ดู ความยาวทั้งหมด 6 ชั่วโมง ว่าเจ้าของกระทู้มีความรู้เรื่องศัพท์และประโยคเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน
ขอให้สนุกกับการเรียนภาษา และขอให้ได้เป็นสจ๊วตตามที่ใฝ่ฝันไว้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
อยากเป็นสจ๊วต แต่ภาษาอังกฤษอ่อนมาก ไม่รู้จะเริ่มยังไง ขอคำแนะนำหน่อยครับ
ผมสนใจอาชีพสจ๊วตมาก แต่ด้วยความที่เป็นเด็กเกเรตั้งแต่เด็กจึงไม่ได้สนใจเรียน จนจบมหาลัยพึ่งเข้าใจว่าภาษาอังกฤษสำคัญมาก
ตอนนี้ผมอายุ24ปี ทำงานได้1ปีกับบริษัทแห่งหนึ่ง ตำแหน่งพนักงานขายและบริการ กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทำให้ผมได้มีโอกาสสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ(แบบงูๆปลาๆ) ซึ่งคำศัพท์และประโยคสนทนาก็รู้แค่เกี่ยวกับงานเท่านั้น วันหนึ่งผมรู้สึกอยากจะพูดให้ถูกหลัก Grammar เลยไปซื้อหนังสือสอน Grammar เบื้องต้นมาอ่านและทำแบบฝึกหัดท้ายบทเองเอง ผ่านไป2เดือนจบไปประมาณครึ่งเล่ม ก็มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ is/am/are was,were การเติม s,es,ed,y และTenseบางTenseเป็นต้น ผมคิดว่าการอ่านเองมันช้ามากบางบทก็ไม่เข้าใจ100% ผมทราบดีว่าภาษาอังกฤษผมแย่มากหากจะซื้อหนังสือมาอ่านเองแบบนี้กลัวอายุเลยเกณฑ์รับสมัครสจ๊วต อยากสมัครเรียนตามสถาบันแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มเรียนคอร์สไหนและวันหยุดก็ไม่ตรงตามตารางเรียน ตอนนี้ผมสับสนมาก ผมคิดว่าจะลาออกจากงานไปตั้งใจเรียนภาษาจริงๆจังๆเลยแต่ยังไม่รู้ว่าสถาบันไหนดี
จุดประสงค์ของกระทู้นี้
ผมอยากขอคำแนะนำเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษว่าควรจะเรียนเรื่องไหนก่อน เพื่อสอบTOEIC
ผมอยากขอคำแนะนำสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ไหนที่พอสอนคนแบบผมได้บ้าง
จุดประสงค์ผมทั้งหมดเพื่อทำงานสจ๊วต
ผมอ่อนขนาดนี้ขอความคิดเห็นว่าผมควรล้มเลิกอาชีพสจ๊วตไหมครับ ?
ขอบคุณมากครับ