กลับมาแล้ว รีวิวภาค 2 ต่อจากกระทู้เดิม เที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัดด้วยงบ 20,000 บาท
ภาค 1
http://ppantip.com/topic/35880904
จากรีวิวครั้งก่อนเราไปเที่ยวคาวากูชิ และฮาโกเน่ โดยใช้ Fuji-Hakone Pass 3 days กระทู้นี้เราจะกลับมาเที่ยวในโตเกียวกันต่ออีก 3 วัน
แผนการเที่ยวคร่าวๆ ตามรูปด้านบนเลยนะคะ เราจะแบ่งการเที่ยวเป็นโซน ทำให้สามารถประหยัดค่ารถและสะดวกต่อการเดินทางค่ะ
การไปเที่ยวครั้งนี้กับ Pizzajourney เรามีเพื่อนร่วมทางอีก 2 คน เพื่อให้ทุกคนได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองชอบ เราเลยแบ่งเวลาเที่ยวช่วงเช้าไปสำหรับการถ่ายรูปและช่วงบ่ายสำหรับการชอปปิ้ง ทริปนี้จะเป็นยังไง ตามมาดูกันเลยดีกว่า
เที่ยวโตเกียววันที่ 1 ย่าน Asakusa และย่าน Ueno
วันแรกในโตเกียวของเรา หลังจากเหนื่อยอ่อนกับการเที่ยวนอกเมืองมา 3 วันเต็มๆ เราเลยเลือกเที่ยวแบบเบาๆ กันในย่าน Asakusa และ Ueno ซึ่งใกล้กับที่พัก (เราพักโรงแรม Mystays Hotel Ueno Iriyaguchi) สามารถเดินทางโดยใช้ Metro สายสีส้ม Ginza Line เดินทางได้จากปากซอยโรงแรม สะดวกมาก และเนื่องจากเราใช้ PASMO จึงได้ส่วนลดค่าโดยสารเมโทรอีกเที่ยวละ 5 เยน (สำหรับเรื่องส่วนลดค่าโดยสาร เราไม่แน่ใจว่า IC อื่นๆ จะได้ส่วนลดด้วยรึป่าว ลองไปศึกษากันก่อนนะ เพราะที่ญี่ปุ่นมี IC หลายแบบมาก)
ช่วงเช้าเราเดินทางไปวัดเซนโซจิ(Sensoji temple) โดยนั่งเมโทรลงที่สถานี Asakusa เลย ขึ้นมาจากสถานีก็จะเจอวัดเซนโซจิ มีโคมแดงใหญ่ๆ อยู่ที่หน้าวัด เราแนะนำให้ตื่นเช้าๆ ไปวัดนะ เพราะถ้าสายแค่นิดเดียวนักท่องเที่ยวจะเยอะ แล้วจะหามุมถ่ายรูปยากมาก
ตำนานของวัดนี้เล่ากันมาว่า มีพี่น้องสองคนออกหาปลาที่แม่น้ำซูมิดะ(Sumida river) แล้วอธิษฐานขอพรให้สามารถหาปลาได้เยอะๆ หลังจากเหวี่ยงแหออกไป สิ่งที่ได้มาคือรูปสลักเจ้าแม่กวนอิม จึงเอาไว้ที่บ้านของผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพในหมู่บ้าน เมื่อมีชาวบ้านมาเคารพบูชามากขึ้น จึงได้ขยายบ้านและสร้างเป็นวัดขึ้นมา
เอกลักษณ์ของวัดเซนโซจิเมื่อเรามาถึงคือโคมสีแดงหน้าวัด ประตูแรกที่ทางเข้าวัด ชื่อว่าประตูคามินาริ(Kaminarimon Gate) หรือประตูสายฟ้า เมื่อเราเดินผ่านประตูนี้ต้องเอื้อมมือแตะที่รูปสลักมังกรใต้โคมเพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากเดินผ่านประตูนี้ไปเราก็จะเจอถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) ร้านค้าบนถนนเส้นนี้ส่วนมากจะขายของฝาก ของที่ระลึก และมีอาหารขายอยู่บ้าง เดินผ่านถนนเส้นนี้ไปก็จะเจอประตูที่สอง ชื่อว่าประตูโฮโซ(Hozomon Gate) หรือประตูคลังสมบัติ ข้างหลังประตูนี้ก็เป็นส่วนของวัดแล้ว มาดูรูปกันนิดนึง
เวลาจุดธูปไหว้แล้ว ต้องปัดควันธูปเข้าหาตัวเองด้วยนะ
ร้านที่เราแวะกินบนถนนนากามิเซะ
ที่ด้านข้างของวัดเซนโซจิ จะมีศาลเจ้าอาซากุซะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่คนส่วนมากมักมาขอพรเรื่องครอบครัว โรคภัยไข้เจ็บ แวะถ่ายรูปกันสักนิดนึง เงียบสงบดี
หลังจากถ่ายรูปภายในวัดแล้ว เราสามารถเดินออกทางประตูข้าง ด้านศาลเจ้าอาซากุสะ เดินข้ามถนนไปนิดเดียวก็จะเจอแม่น้ำซูมิดะ เดินเลียบแม่น้ำซูมิดะมาเรื่อยๆ เพื่อกลับมาขึ้นเมโทรไปสถานี Ueno ระหว่างเดินสามารถถ่ายรูปวิวของ Tokyo sky tree, ตึกฟองเบียร์ และตึก Super Dry Hall ของบริษัทอาซาฮี จริงๆ แล้ว เจ้าก้อนที่เราเห็นบนตึก super dry hall บริษัทอาซาฮีเค้าตั้งใจให้มันเป็นเปลวไฟสีทองนะ แต่หลายคน แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองก็เหอะ เห็นมันเป็นอุนจิ
เมื่อเดินถึงสถานีแล้ว ก็นั่งเมโทรสาย Ginza กลับไปที่สถานี Ueno เพื่อเที่ยวต่อที่สวนอุเอโนะ ภายในสวนอุเอโนะประกอบด้วยหลายส่วน มีทั้งศาลเจ้า สนามกีฬา สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ และลานกิจกรรมให้คนมาเปิดหมวก สามารถเข้ามาเดินเล่น พักผ่อน slow life กันได้ตามสบายทั้งวัน ในส่วนของเราเอง เราไปนั่งดูเบสบอลอยู่พักใหญ่ๆ เลยแหล่ะ
หลังจากมีพลังกันแล้ว เราไปต่อกันที่ตลาด Ameyoko เป็นตลาดที่ขายของถูกมาก แนะนำให้มาที่นี่เลย มีทั้งรองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ และขนม ส่วนตัวเราเองเราซื้อขนมที่ร้าน Takeya หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าตึกม่วง ที่นี่ขายขนมค่อนข้างถูกและสามารถทำ Tax refund ได้
ส่วนร้านอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปใช้จ่าย ได้แก่ Matsumoto kiyoshi(ร้านขายยา) , ABC Mart(ร้านขายรองเท้า) และหากใครที่ไม่ได้ซื้อของจำนวนมากถึงขั้นทำ Tax refund ได้ เราแนะนำให้ลองดูร้านอื่นๆ มีร้านขนาดเล็กหลายร้านที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคืนภาษี แต่ขายของที่มีราคาถูกกว่าเยอะ เราเองก็ไปคุ้ยกระบะหารองเท้ามาแล้ว แหะๆ สำหรับนักชอป นักหิ้ว น่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้หลายชั่วโมง ถ้าถือของไม่ไหว หน้าตลาดมีล็อกเกอร์ให้ฝากของ แล้วไปเดินชอปต่อได้
เที่ยวโตเกียววันที่ 2 ย่าน Shibuya, ย่าน Harajuku และย่าน Akihabara
สำหรับวันนี้ โชคไม่เข้าข้าง ฝนตกตั้งแต่เช้า เราเลยต้องปรับแผนการเที่ยวนิดหน่อย โดยเริ่มต้นวันที่ Shibuya การเดินทางเราก็นั่งเมโทรสาย Ginza เช่นเดิมจากหน้าโรงแรมไปลงปลายทางสถานี Shibuya จุดเด่นๆ ของชิบูย่าที่ต้องไป คือรูปปั้นสุนัขฮาชิโกะ(Hachiko) สุนัขยอดกตัญญูที่มานั่งรอเจ้าของที่สนานีชิบูย่าทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าของได้เสียชีวิตลงขณะทำงานและไม่ได้เดินทางกลับมา เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มานั่งรอที่เดิมทุกวันจนกระทั่งมันตายลง
5 แยก ชิบูย่า ถ่ายจากชั้นสองร้านสตาร์บัค
ส่วนใครที่ชอบซื้อเสื้อผ้า แนะนำให้ไปเดินชอปปิ้งที่ตึก 109 Shibuya มีเสื้อผ้าแฟชั่น กระเป๋าแฟชั่น ขายจำนวนมาก คล้ายๆ กับประตูน้ำบ้านเรา สามารถทำ Tax refund ได้ด้วยนะ
เมื่อฝนหยุดตก ก็ถึงเวลาของเรา อยากถ่ายรูปตั้งแต่เช้าแล้ว เราเดินทางต่อจากสถานีชิบูย่า ไปลงสถานี Meiji Jingumae ด้วยเมโทรสายสีน้ำตาล Fukutoshin Line ขึ้นมาจากสถานีเดินเลี้ยวขวามาจะเจอศาลเจ้าเมจิ(Meiji Jingu) ศาลเจ้าเมจิสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่จักรพรรดิเมจิที่ล่วงลับไปแล้ว คนญี่ปุ่นมักมาทำพิธีแต่งงานกันที่นี่ด้วยแหล่ะ ภายในศาลเจ้าเมจิปลูกต้นไม้ไว้ค่อนข้างเยอะ เดินเข้าไปนี่หนาวเลย ไปดูภาพกัน
หลังจากเดินรอบศาลเจ้าแล้ว จะสามารถวนออกมาทางเดิมได้ สำหรับใครที่สะดวกนั่งเมโทรสายสีเขียว Chiyoda Line แนะนำให้ลงที่สถานี Yoyogi แล้วเริ่มเดินจากทางหลังวัด มาทะลุทางด้านหน้าวัด จะประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินเป็นวงกลม
เมื่อเสร็จภารกิจถ่ายรูปของวันนี้แล้ว ก็จะต่อด้วยภารกิจชอปปิ้ง โดยย่าน Harajuku จะเป็นแหล่งชอปปิ้งสำหรับวัยรุ่นญี่ปุ่น เส้นทางที่เราจะแนะนำหลังออกมาจากศาลเจ้าเมจิ คือเลี้ยวซ้ายออกจากศาลเจ้าเมจิจะเจอสะพานนี้
เดินข้ามสะพานไป แล้วข้ามถนนอีกที เดินเลียบถนนไปทางซ้ายมือเรื่อยๆ จะพบถนน Takeshita เราจะเริ่มเดินจากที่นี่ ต่อด้วยถนน Meiji dori และจบที่ถนน Omotesando ก็ครบรอบแหล่งชอปปิ้งวัยรุ่น แต่ต้องบอกก่อนเลยนะว่า ของที่ฮาราจูกุไม่ได้ราคาถูกกว่าที่อื่น แต่ของหลายอย่างเป็นของลิขสิทธิ์ที่ไม่มีขายที่ไทย ทำให้หลายคนยอมควักกระเป๋าเพื่อซื้อของเหล่านั้น
ร้านแนะนำที่ Takeshita street
- Daiso Harajuku (ร้าน 100 เยน)
- Disney Store Harajuku ห้าง ALTA
- Calbee PLUS Takeshita Dori
ร้านแนะนำที่ Meiji dori
- LINE FRIENDS STORE HARAJUKU
ร้านแนะนำที่ Omotesando
- KIDDY LAND – Harajuku
หลังจากจบการชอปปิ้งย่านฮาราจูกุแล้ว จะไปต่อกันที่ย่าน Akihabara โดยการเดินทางสามารถเดินทางได้ด้วยเมโทร และ JR ซึ่งหากเลือกใช้บริการเมโทร ต้องนั่งจากสายสีน้ำตาล Fukutoshin Line ไปลงสถานีชิบูย่า แล้วต่อเมโทรสายมีส้ม Ginza line ไปลงสถานี Suehirocho แต่ถ้าต้องการเดินทางด้วย JR ก็สามารถทำได้โดยเดินไปขึ้น JR Yamanote Line ที่สถานี Harajuku แล้วนั่งไปลงสถานี Akihabara ได้เลย สำหรับใครที่ต้องการไปเดินห้าง Yodobashi-Akiba แนะนำให้นั่ง JR จะสะดวกและใกล้ห้างมากกว่า
ร้านแนะนำย่าน Akihabara
ร้าน Yodobashi-Akiba ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง โมเดล เครื่องเขียน ของเล่น -> เราได้ G-Shock จากร้านนี้ ถูกมาก
ร้าน Kotobukiya ขายฟิกเกอร์พวกอนิเมะญี่ปุ่น
ร้าน Mandarake ตึก 8 ชั้น รับซื้อ-ขายของมือสองเกือบทุกอย่าง ของเล่น ของสะสม เยอะมาก
จบวันที่ 2 เพียงเท่านี้ ในส่วนของเที่ยวโตเกียววันที่ 3 โปรดติดตามในรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัด งบ 20,000 บาท ภาค 3 จ้า
ภาค 3 :
http://ppantip.com/topic/35899644
[CR] รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัด งบ 20,000 บาท ภาค 2
กลับมาแล้ว รีวิวภาค 2 ต่อจากกระทู้เดิม เที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัดด้วยงบ 20,000 บาท
ภาค 1 http://ppantip.com/topic/35880904
จากรีวิวครั้งก่อนเราไปเที่ยวคาวากูชิ และฮาโกเน่ โดยใช้ Fuji-Hakone Pass 3 days กระทู้นี้เราจะกลับมาเที่ยวในโตเกียวกันต่ออีก 3 วัน
แผนการเที่ยวคร่าวๆ ตามรูปด้านบนเลยนะคะ เราจะแบ่งการเที่ยวเป็นโซน ทำให้สามารถประหยัดค่ารถและสะดวกต่อการเดินทางค่ะ
การไปเที่ยวครั้งนี้กับ Pizzajourney เรามีเพื่อนร่วมทางอีก 2 คน เพื่อให้ทุกคนได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองชอบ เราเลยแบ่งเวลาเที่ยวช่วงเช้าไปสำหรับการถ่ายรูปและช่วงบ่ายสำหรับการชอปปิ้ง ทริปนี้จะเป็นยังไง ตามมาดูกันเลยดีกว่า
เที่ยวโตเกียววันที่ 1 ย่าน Asakusa และย่าน Ueno
วันแรกในโตเกียวของเรา หลังจากเหนื่อยอ่อนกับการเที่ยวนอกเมืองมา 3 วันเต็มๆ เราเลยเลือกเที่ยวแบบเบาๆ กันในย่าน Asakusa และ Ueno ซึ่งใกล้กับที่พัก (เราพักโรงแรม Mystays Hotel Ueno Iriyaguchi) สามารถเดินทางโดยใช้ Metro สายสีส้ม Ginza Line เดินทางได้จากปากซอยโรงแรม สะดวกมาก และเนื่องจากเราใช้ PASMO จึงได้ส่วนลดค่าโดยสารเมโทรอีกเที่ยวละ 5 เยน (สำหรับเรื่องส่วนลดค่าโดยสาร เราไม่แน่ใจว่า IC อื่นๆ จะได้ส่วนลดด้วยรึป่าว ลองไปศึกษากันก่อนนะ เพราะที่ญี่ปุ่นมี IC หลายแบบมาก)
ช่วงเช้าเราเดินทางไปวัดเซนโซจิ(Sensoji temple) โดยนั่งเมโทรลงที่สถานี Asakusa เลย ขึ้นมาจากสถานีก็จะเจอวัดเซนโซจิ มีโคมแดงใหญ่ๆ อยู่ที่หน้าวัด เราแนะนำให้ตื่นเช้าๆ ไปวัดนะ เพราะถ้าสายแค่นิดเดียวนักท่องเที่ยวจะเยอะ แล้วจะหามุมถ่ายรูปยากมาก
ตำนานของวัดนี้เล่ากันมาว่า มีพี่น้องสองคนออกหาปลาที่แม่น้ำซูมิดะ(Sumida river) แล้วอธิษฐานขอพรให้สามารถหาปลาได้เยอะๆ หลังจากเหวี่ยงแหออกไป สิ่งที่ได้มาคือรูปสลักเจ้าแม่กวนอิม จึงเอาไว้ที่บ้านของผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพในหมู่บ้าน เมื่อมีชาวบ้านมาเคารพบูชามากขึ้น จึงได้ขยายบ้านและสร้างเป็นวัดขึ้นมา
เอกลักษณ์ของวัดเซนโซจิเมื่อเรามาถึงคือโคมสีแดงหน้าวัด ประตูแรกที่ทางเข้าวัด ชื่อว่าประตูคามินาริ(Kaminarimon Gate) หรือประตูสายฟ้า เมื่อเราเดินผ่านประตูนี้ต้องเอื้อมมือแตะที่รูปสลักมังกรใต้โคมเพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากเดินผ่านประตูนี้ไปเราก็จะเจอถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) ร้านค้าบนถนนเส้นนี้ส่วนมากจะขายของฝาก ของที่ระลึก และมีอาหารขายอยู่บ้าง เดินผ่านถนนเส้นนี้ไปก็จะเจอประตูที่สอง ชื่อว่าประตูโฮโซ(Hozomon Gate) หรือประตูคลังสมบัติ ข้างหลังประตูนี้ก็เป็นส่วนของวัดแล้ว มาดูรูปกันนิดนึง
เวลาจุดธูปไหว้แล้ว ต้องปัดควันธูปเข้าหาตัวเองด้วยนะ
ร้านที่เราแวะกินบนถนนนากามิเซะ
ที่ด้านข้างของวัดเซนโซจิ จะมีศาลเจ้าอาซากุซะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่คนส่วนมากมักมาขอพรเรื่องครอบครัว โรคภัยไข้เจ็บ แวะถ่ายรูปกันสักนิดนึง เงียบสงบดี
หลังจากถ่ายรูปภายในวัดแล้ว เราสามารถเดินออกทางประตูข้าง ด้านศาลเจ้าอาซากุสะ เดินข้ามถนนไปนิดเดียวก็จะเจอแม่น้ำซูมิดะ เดินเลียบแม่น้ำซูมิดะมาเรื่อยๆ เพื่อกลับมาขึ้นเมโทรไปสถานี Ueno ระหว่างเดินสามารถถ่ายรูปวิวของ Tokyo sky tree, ตึกฟองเบียร์ และตึก Super Dry Hall ของบริษัทอาซาฮี จริงๆ แล้ว เจ้าก้อนที่เราเห็นบนตึก super dry hall บริษัทอาซาฮีเค้าตั้งใจให้มันเป็นเปลวไฟสีทองนะ แต่หลายคน แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองก็เหอะ เห็นมันเป็นอุนจิ
เมื่อเดินถึงสถานีแล้ว ก็นั่งเมโทรสาย Ginza กลับไปที่สถานี Ueno เพื่อเที่ยวต่อที่สวนอุเอโนะ ภายในสวนอุเอโนะประกอบด้วยหลายส่วน มีทั้งศาลเจ้า สนามกีฬา สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ และลานกิจกรรมให้คนมาเปิดหมวก สามารถเข้ามาเดินเล่น พักผ่อน slow life กันได้ตามสบายทั้งวัน ในส่วนของเราเอง เราไปนั่งดูเบสบอลอยู่พักใหญ่ๆ เลยแหล่ะ
หลังจากมีพลังกันแล้ว เราไปต่อกันที่ตลาด Ameyoko เป็นตลาดที่ขายของถูกมาก แนะนำให้มาที่นี่เลย มีทั้งรองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ และขนม ส่วนตัวเราเองเราซื้อขนมที่ร้าน Takeya หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าตึกม่วง ที่นี่ขายขนมค่อนข้างถูกและสามารถทำ Tax refund ได้
ส่วนร้านอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปใช้จ่าย ได้แก่ Matsumoto kiyoshi(ร้านขายยา) , ABC Mart(ร้านขายรองเท้า) และหากใครที่ไม่ได้ซื้อของจำนวนมากถึงขั้นทำ Tax refund ได้ เราแนะนำให้ลองดูร้านอื่นๆ มีร้านขนาดเล็กหลายร้านที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคืนภาษี แต่ขายของที่มีราคาถูกกว่าเยอะ เราเองก็ไปคุ้ยกระบะหารองเท้ามาแล้ว แหะๆ สำหรับนักชอป นักหิ้ว น่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้หลายชั่วโมง ถ้าถือของไม่ไหว หน้าตลาดมีล็อกเกอร์ให้ฝากของ แล้วไปเดินชอปต่อได้
เที่ยวโตเกียววันที่ 2 ย่าน Shibuya, ย่าน Harajuku และย่าน Akihabara
สำหรับวันนี้ โชคไม่เข้าข้าง ฝนตกตั้งแต่เช้า เราเลยต้องปรับแผนการเที่ยวนิดหน่อย โดยเริ่มต้นวันที่ Shibuya การเดินทางเราก็นั่งเมโทรสาย Ginza เช่นเดิมจากหน้าโรงแรมไปลงปลายทางสถานี Shibuya จุดเด่นๆ ของชิบูย่าที่ต้องไป คือรูปปั้นสุนัขฮาชิโกะ(Hachiko) สุนัขยอดกตัญญูที่มานั่งรอเจ้าของที่สนานีชิบูย่าทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าของได้เสียชีวิตลงขณะทำงานและไม่ได้เดินทางกลับมา เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มานั่งรอที่เดิมทุกวันจนกระทั่งมันตายลง
5 แยก ชิบูย่า ถ่ายจากชั้นสองร้านสตาร์บัค
ส่วนใครที่ชอบซื้อเสื้อผ้า แนะนำให้ไปเดินชอปปิ้งที่ตึก 109 Shibuya มีเสื้อผ้าแฟชั่น กระเป๋าแฟชั่น ขายจำนวนมาก คล้ายๆ กับประตูน้ำบ้านเรา สามารถทำ Tax refund ได้ด้วยนะ
เมื่อฝนหยุดตก ก็ถึงเวลาของเรา อยากถ่ายรูปตั้งแต่เช้าแล้ว เราเดินทางต่อจากสถานีชิบูย่า ไปลงสถานี Meiji Jingumae ด้วยเมโทรสายสีน้ำตาล Fukutoshin Line ขึ้นมาจากสถานีเดินเลี้ยวขวามาจะเจอศาลเจ้าเมจิ(Meiji Jingu) ศาลเจ้าเมจิสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่จักรพรรดิเมจิที่ล่วงลับไปแล้ว คนญี่ปุ่นมักมาทำพิธีแต่งงานกันที่นี่ด้วยแหล่ะ ภายในศาลเจ้าเมจิปลูกต้นไม้ไว้ค่อนข้างเยอะ เดินเข้าไปนี่หนาวเลย ไปดูภาพกัน
หลังจากเดินรอบศาลเจ้าแล้ว จะสามารถวนออกมาทางเดิมได้ สำหรับใครที่สะดวกนั่งเมโทรสายสีเขียว Chiyoda Line แนะนำให้ลงที่สถานี Yoyogi แล้วเริ่มเดินจากทางหลังวัด มาทะลุทางด้านหน้าวัด จะประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินเป็นวงกลม
เมื่อเสร็จภารกิจถ่ายรูปของวันนี้แล้ว ก็จะต่อด้วยภารกิจชอปปิ้ง โดยย่าน Harajuku จะเป็นแหล่งชอปปิ้งสำหรับวัยรุ่นญี่ปุ่น เส้นทางที่เราจะแนะนำหลังออกมาจากศาลเจ้าเมจิ คือเลี้ยวซ้ายออกจากศาลเจ้าเมจิจะเจอสะพานนี้
เดินข้ามสะพานไป แล้วข้ามถนนอีกที เดินเลียบถนนไปทางซ้ายมือเรื่อยๆ จะพบถนน Takeshita เราจะเริ่มเดินจากที่นี่ ต่อด้วยถนน Meiji dori และจบที่ถนน Omotesando ก็ครบรอบแหล่งชอปปิ้งวัยรุ่น แต่ต้องบอกก่อนเลยนะว่า ของที่ฮาราจูกุไม่ได้ราคาถูกกว่าที่อื่น แต่ของหลายอย่างเป็นของลิขสิทธิ์ที่ไม่มีขายที่ไทย ทำให้หลายคนยอมควักกระเป๋าเพื่อซื้อของเหล่านั้น
ร้านแนะนำที่ Takeshita street
- Daiso Harajuku (ร้าน 100 เยน)
- Disney Store Harajuku ห้าง ALTA
- Calbee PLUS Takeshita Dori
ร้านแนะนำที่ Meiji dori
- LINE FRIENDS STORE HARAJUKU
ร้านแนะนำที่ Omotesando
- KIDDY LAND – Harajuku
หลังจากจบการชอปปิ้งย่านฮาราจูกุแล้ว จะไปต่อกันที่ย่าน Akihabara โดยการเดินทางสามารถเดินทางได้ด้วยเมโทร และ JR ซึ่งหากเลือกใช้บริการเมโทร ต้องนั่งจากสายสีน้ำตาล Fukutoshin Line ไปลงสถานีชิบูย่า แล้วต่อเมโทรสายมีส้ม Ginza line ไปลงสถานี Suehirocho แต่ถ้าต้องการเดินทางด้วย JR ก็สามารถทำได้โดยเดินไปขึ้น JR Yamanote Line ที่สถานี Harajuku แล้วนั่งไปลงสถานี Akihabara ได้เลย สำหรับใครที่ต้องการไปเดินห้าง Yodobashi-Akiba แนะนำให้นั่ง JR จะสะดวกและใกล้ห้างมากกว่า
ร้านแนะนำย่าน Akihabara
ร้าน Yodobashi-Akiba ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง โมเดล เครื่องเขียน ของเล่น -> เราได้ G-Shock จากร้านนี้ ถูกมาก
ร้าน Kotobukiya ขายฟิกเกอร์พวกอนิเมะญี่ปุ่น
ร้าน Mandarake ตึก 8 ชั้น รับซื้อ-ขายของมือสองเกือบทุกอย่าง ของเล่น ของสะสม เยอะมาก
จบวันที่ 2 เพียงเท่านี้ ในส่วนของเที่ยวโตเกียววันที่ 3 โปรดติดตามในรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัด งบ 20,000 บาท ภาค 3 จ้า
ภาค 3 : http://ppantip.com/topic/35899644