ถึงน้องๆ หรือทุกท่านที่อยู่ในวัยเรียน ที่ชอบถามว่าเราเรียนวิชานั้น วิชานี้ไปเพื่ออะไร จบไปไม่เห็นได้ใช้
โดยเฉพาะคำถามหรือคำบ่นยอดฮิต "เรียนแคลคูลัสจบมาไม่เคยได้ใช้ ไม่รู้จะเรียนไปทำไม" ผมได้ยินมาบ่อยมาก
ผมอยากจะบอกน้องๆ ทุกคนว่า ด้วยระบบการศึกษา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศาสตร์สาขาต่างๆ ที่เจริญก้าวหน้าและแตกออกเป็นสาขาย่อยมากมาย ทำให้การเรียนในสาขาต่างๆ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางที่มากขึ้น ดังนั้นความถนัดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และเนื่องจากเมื่อเราเป็นเด็กเราก็ไม่มีทางรู้เลยว่า เรามีความสามารถหรือความถนัดด้านไหน การวัดความถนัดด้วยเครื่องมือใดๆ ก็คงไม่ดีและแม่นยำเท่ากับการได้ทดลองเรียนด้วยตัวของเราเอง และนอกจากความถนัดแล้วยังมีเรื่องความรักและความชอบในสาขาวิชามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้น เมื่อเราอายุยังน้อยจึงควรเรียนวิชาให้หลากหลายเพื่อหาคำตอบให้ตัวเราเองว่า เราถนัดอะไร เราชอบอะไร เพื่อที่เราจะได้เลือกเรียนให้ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเราได้มากที่สุด นอกจากการคัดกรองแล้ว การได้เรียนรู้วิชาที่หลากหลายแต่ไม่ได้ลงลึกอะไรมากมาย ทำให้เรามองเห็นภาพกว้างและสามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ รอบตัวเราได้ดีขึ้น ดังนั้นวิชาที่เราเรียนเบื้องต้นหลากหลายวิชาจะเป็นประโยชน์กับเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น้องๆ ทุกคนควรจำให้ขึ้นใจคือ "เราต้องค้นหาจุดแข็งหรือจุดเด่นของเราให้เจอ แล้วพัฒนาสิ่งนั้นให้เต็มที่" ผมรับรองว่าความสำเร็จจะไม่หนีไปไหน
ผมหวังว่า คำตอบของผมคงเป็นสิ่งชี้นำให้กับน้องที่ยังสับสนและค้นหาตัวเองไม่เจอนะครับ
ผมเชื่อว่า เราทุกคนมีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่เกิด เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราเรียนหลายหลายอย่างเพื่อค้นหาตัวตนของเรา
ผมชอบประโยคเปรียบเทียบอยู่ประโยคนึงมาก
"ดินดี แต่หากไม่เหมาะกับการปลูกข้าวบาร์เลย์ ก็ลองปลูกถั่ว หากไม่เหมาะกับการปลูกถั่ว ก็ลองปลูกแตง หากไม่เหมาะกับการปลูกแตง ก็ลองปลูกดอกไม้ฯ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่งที่เหมาะกับดินชนิดนี้ เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับมัน ก็ย่อมเจริญงอกงามได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มที่" และ "โลกใบนี้ ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่มันผิดที่ผิดทางก็เท่านั้น"
ผมก็ยังหวังต่อไปว่า ความคิดเห็นผมจะเป็นประโยชน์แก่เด็กรุ่นหลังบ้างไม่มากก็น้อยครับ ขอให้ทุกคนโชคดี
จากคำถามยอดฮิต เรียนวิชานี้ไปเพื่ออะไร จบไปได้ใช้หรือ?
โดยเฉพาะคำถามหรือคำบ่นยอดฮิต "เรียนแคลคูลัสจบมาไม่เคยได้ใช้ ไม่รู้จะเรียนไปทำไม" ผมได้ยินมาบ่อยมาก
ผมอยากจะบอกน้องๆ ทุกคนว่า ด้วยระบบการศึกษา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศาสตร์สาขาต่างๆ ที่เจริญก้าวหน้าและแตกออกเป็นสาขาย่อยมากมาย ทำให้การเรียนในสาขาต่างๆ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางที่มากขึ้น ดังนั้นความถนัดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และเนื่องจากเมื่อเราเป็นเด็กเราก็ไม่มีทางรู้เลยว่า เรามีความสามารถหรือความถนัดด้านไหน การวัดความถนัดด้วยเครื่องมือใดๆ ก็คงไม่ดีและแม่นยำเท่ากับการได้ทดลองเรียนด้วยตัวของเราเอง และนอกจากความถนัดแล้วยังมีเรื่องความรักและความชอบในสาขาวิชามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้น เมื่อเราอายุยังน้อยจึงควรเรียนวิชาให้หลากหลายเพื่อหาคำตอบให้ตัวเราเองว่า เราถนัดอะไร เราชอบอะไร เพื่อที่เราจะได้เลือกเรียนให้ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเราได้มากที่สุด นอกจากการคัดกรองแล้ว การได้เรียนรู้วิชาที่หลากหลายแต่ไม่ได้ลงลึกอะไรมากมาย ทำให้เรามองเห็นภาพกว้างและสามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ รอบตัวเราได้ดีขึ้น ดังนั้นวิชาที่เราเรียนเบื้องต้นหลากหลายวิชาจะเป็นประโยชน์กับเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น้องๆ ทุกคนควรจำให้ขึ้นใจคือ "เราต้องค้นหาจุดแข็งหรือจุดเด่นของเราให้เจอ แล้วพัฒนาสิ่งนั้นให้เต็มที่" ผมรับรองว่าความสำเร็จจะไม่หนีไปไหน
ผมหวังว่า คำตอบของผมคงเป็นสิ่งชี้นำให้กับน้องที่ยังสับสนและค้นหาตัวเองไม่เจอนะครับ
ผมเชื่อว่า เราทุกคนมีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่เกิด เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราเรียนหลายหลายอย่างเพื่อค้นหาตัวตนของเรา
ผมชอบประโยคเปรียบเทียบอยู่ประโยคนึงมาก
"ดินดี แต่หากไม่เหมาะกับการปลูกข้าวบาร์เลย์ ก็ลองปลูกถั่ว หากไม่เหมาะกับการปลูกถั่ว ก็ลองปลูกแตง หากไม่เหมาะกับการปลูกแตง ก็ลองปลูกดอกไม้ฯ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่งที่เหมาะกับดินชนิดนี้ เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับมัน ก็ย่อมเจริญงอกงามได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มที่" และ "โลกใบนี้ ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่มันผิดที่ผิดทางก็เท่านั้น"
ผมก็ยังหวังต่อไปว่า ความคิดเห็นผมจะเป็นประโยชน์แก่เด็กรุ่นหลังบ้างไม่มากก็น้อยครับ ขอให้ทุกคนโชคดี