
หนังจากค่าย #GDH ที่นำเอาบทเพลงพระราชนิพนธ์ 3 เพลง มาสร้างเป็นเรื่องราว โดยแบ่งเรื่องออกเป็น 3 เรื่องซึ่งแต่ละเรื่องก็มีอารมณ์ของหนังแตกต่างกันไป ในหนังไม่ได้มีการพูดถึงพระองค์ท่านแม้แต่คำเดียว แต่ผมเชื่อว่าคนที่เข้าไปดูจะต้องคิดถึงพระองค์ท่านทุกครั้งที่ฟังเพลงในหนัง

เรื่องแรก "ยามเย็น" เป็นเรื่องราวก่อนที่งานเลี้ยงอำลาและมอบทุนการศึกษาต่อต่างประเทศจะเริ่มขึ้น บีม (นาย ณภัทร) และแป้ง (วี วิโอเลต) หนุ่มสาวแปลกหน้าคู่หนึ่งได้ถูกทีมผู้จัดงานขอให้ช่วยมาเป็นตัวแสดงแทน “ท่านทูต” กับ “ภริยาท่านทูต” คู่กัน เพื่อซักซ้อมคิวงาน คิวกล้อง การที่ทั้งคู่ต้องมารับบทบาทสมมติเป็นสามีภรรยากันนั้น เปิดโอกาสให้บีมได้รุกจีบแป้งไปตามสัญชาตญาณความเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ขณะที่แป้งเองก็ต้องมาตั้งการ์ดรับการจีบครั้งนี้อย่างระมัดระวัง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับการจากลาในเวลาเพียงแค่หนึ่ง “ยามเย็น”
เรื่องแรกในสไตล์หนังรักวัยรุ่นทีอบอวลได้วยไออุ่นแบบที่ไม่ค่อยเห็นในหนังรักวัยรุ่นทั่วไป นั่งดูไปก็จะอมยิ้มไปกับความน่ารักกุ๊กกิ๊กของตัวละครทั้งสองไปจนถึงตอนจบ สำหรับเรื่องนี้ฉากเศร้าไม่ได้พีคสักเท่าไหร่ แต่จะเน้นไปทางความกวนและกุ๊กกิ๊กของ บีมและแป้งมากกว่า แต่ความประทับใจจริงอยู่ที่ฉากที่นักแสดงร้องเพลง "ยามเย็น" ในรูปแบบใหม่ ซึ่งทำได้ดีมากๆ นักแสดงในเรื่อง เด่นๆ แค่สองคน คือ นาย และ วี ทั้งสองคนทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ วี ที่ทุกอารมณ์เหมือนออกมาจากอินเนอร์สุดๆ ดูจบเรียกว่ายิ้มไปกับความน่ารักของเด็กสองคนนี้เลยล่ะ

เรื่องที่สอง "Still on My Mind" เรื่องของ ฟา (มิว นิษฐา) อดีตสาวออร์แกไนเซอร์ที่ต้องลาออกมาดูแลพ่อที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ฟาเหนื่อยมากกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่แต่เธอก็ยินดีที่จะทำเต็มที่เพื่อพ่อ จนวันนึงที่ฟากลับไปลองเล่นเปียโนด้วยเพลงโปรดของแม่ เพลง “Still on My Mind” ความทรงจำในอดีตของพ่อก็เหมือนจะฟุ้งกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ฟาพยายามจะหัดเล่นเพลง Still on My Mind ให้ได้เพื่อให้เปนของขวัญวันครบรอบแต่งงานของพ่อและแม่ โดยฟาได้รับความช่วยเหลือจาก เอ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ช่างจูนเปียโนสุดกวนที่เคยช่วยจูนเปียโนให้แม่ฟามาก่อน เอเข้ามาคอยช่วยดูแลพ่อฟาให้ในระหว่างที่เธอซ้อมเปียโน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักของทั้งสองคน
สำหรับเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผมน้ำตาคลอเบ้าเลย เรียกว่าเป็นเรื่องที่เศร้าและสุขที่สุดในสามเรื่องก็ว่าได้ เพราะด้วยอารมณ์หนังที่ปูมาด้วยความรักและความเสียสละ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แล้วหนังก็พาเราไปสู่จุดสิ้นหวัง และดึงกลับขึ้นมาสู่จุดสมหวังอีกครั้ง เรียกว่าครบรส หนังปูทางมาจนถึงช่วงที่พีคที่สุด แค่นี้ก็ทำให้คนดูซึ้งจนแทบจะต่อมน้ำตาแตกแล้ว แค่นั้นไม่พอ หนังเอาเพลง "Still on My Mind" มากระแทกอารมณ์ให้เศร้าหนักเข้าไปอีก เท่ากับสองกำลังบวกผมนี่น้ำตาคลอจริงๆ พอหนังดึงความสุขกลับมา กลับกลายเป็นไม่ใช่การกระชากอารมณ์ แต่เป็นการพาเรากลับไปหาความสุขอีกครั้ง ความสุขใจก็เข้ามาแบบเต็มๆ เรื่องนี้คนที่แสดงได้พระเอกที่สุดคือ คุณลุงป้อม พ่อของนางเอกที่เป็นอัลไซเมอร์ ลุงแกเล่นได้น่ารัก น่าโมโห และน่าสงสารที่สุด ถ้าลุงทำไม่ได้ขนาดนี้ คนดูไม่มีทางอินในตอนท้ายเรื่องแน่ๆ มิว กับ ซันนี่ ถือว่ามาตรฐานไม่ตก แต่ผมมองว่ายังสู้คุณลุงไม่ได้จริงๆ

เรื่องที่สาม "พรปีใหม่" หลง (เต๋อ ฉันทวิชช์) ร็อคเกอร์หนุ่ม ตัดสินใจลาออกจากวงที่เล่นมาเป็น 10 ปีแต่ไม่ดัง มาเป็นพนักงานออฟฟิศด้านวิเคราะห์การเงิน ซึ่งเมื่อ คิม (หนูนา หนึ่งธิดา) พนักงานฝ่ายบุคคลรู้เข้าว่าหลงเป็นอดีตนักดนตรีอาชีพจึงได้ตามตื๊อให้หลงมาเป็นหัวหน้าวงดนตรีสมัครเล่นของเหล่าพนักงาน ทั้งที่อยากจะหนีจากความเจ็บปวดในชีวิตนักดนตรี แต่เมื่อครั้นได้ลองรวมวงกับสมาชิกหลากหลายวัย ซ้ำยังเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีที่ไม่น่าจะเอามารวมวงกันได้วงนี้ หลงก็พบว่าการแอบเจ้านายเล่นดนตรีกันในออฟฟิศหลังเลิกงานอย่างลับๆ กลายเป็นครั้งแรกที่เขามีความสุขในการเล่นดนตรี ท่ามกลางบรรยากาศปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา หลงและสมาชิกเตรียมเพลง “พรปีใหม่” ไว้สำหรับโชว์เป็นของขวัญ ให้กับเพื่อนร่วมงานทุกคน โดยหวังลึกๆ ว่ามันจะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขในปีใหม่นี้
เรื่องสุดท้าย เรื่องนี้ตอนช่วงแรกๆ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะหนังมาแนวตลกแบบมุขสามบาทห้าบาท ที่มาเอาขำอย่างเดียว หนังสอดมุขเข้าไปเยอะมากจนผมมองว่ามันขัดอารมณ์กับทั้งสองเรื่องแรกมากๆ เลยทำให้ผมไม่ค่อยชอบ แต่พอหนังยิ่งเล่าไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าจริงๆ แล้วหนังต้องการสื่ออะไร ความสุขของคนเราถ้าไม่ทำตามสิ่งที่ใจชอบ ก็ไม่ได้เรียกว่าความสุข หนังจะสอนคนดูด้วยการให้ความสุขกับคนดูตลอดทั้งเรื่อง เรื่องนี้เรียกว่าอิ่มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งต่างจากเรื่องแรกที่มีรอยยิ้มแบบอุ่นๆ กรุ่นๆ แต่เรื่องนี้ทำให้ฉีกยิ้มได้เต็มปาก นักแสดง ที่เด่นๆ ก็ เต๋อ กับ หนูนา แหละ แต่สำหรับผม ผมว่าเรื่องนี้องค์ประกอบตัวละครหลายตัว ทำให้หนังมีความหมาย ไม่ได้อยู่ที่แค่ตัวพระเอกนางเอกเท่านั้น ตัวละครแทบจะทุกคน ทำให้คนดูเชื่อได้ว่า สิ่งที่หนังสื่อคือสิ่งที่สร้างความสุขให้พวกเข้าได้จริงๆ

ทั้งสามเรื่องนี่เรียกได้ว่าเป็นหนัง Feel Good สุดๆ และหนังจบท้ายด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสามเรื่อง ซึ่งพอหนังปูอารมณ์มาจนถึงท้ายเรื่อง และตบด้วยเพลง เอาจริงๆ ผมมั่นใจว่าฟังแล้วทุกคนต้องคิดถึงพระองค์ท่าน ซึ่งหนังไม่ได้พูดถึงพระองค์เลยแม้แต่คำเดียว แต่ผมเชื่อว่า บทเพลงทั้งสาม จะให้ความสุขใจ และความอิ่มเอมใจกับคนดูได้อย่างแน่นอน
พูดคุยกันเพิ่มเติมได้ที่เพจนะครับ >>>
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/DooNangGunMai/?
[CR] [#Review] #พรจากฟ้า - บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นหนังที่ดูแล้วอิ่มเอมและสุขใจเหลือเกิน
หนังจากค่าย #GDH ที่นำเอาบทเพลงพระราชนิพนธ์ 3 เพลง มาสร้างเป็นเรื่องราว โดยแบ่งเรื่องออกเป็น 3 เรื่องซึ่งแต่ละเรื่องก็มีอารมณ์ของหนังแตกต่างกันไป ในหนังไม่ได้มีการพูดถึงพระองค์ท่านแม้แต่คำเดียว แต่ผมเชื่อว่าคนที่เข้าไปดูจะต้องคิดถึงพระองค์ท่านทุกครั้งที่ฟังเพลงในหนัง
เรื่องแรก "ยามเย็น" เป็นเรื่องราวก่อนที่งานเลี้ยงอำลาและมอบทุนการศึกษาต่อต่างประเทศจะเริ่มขึ้น บีม (นาย ณภัทร) และแป้ง (วี วิโอเลต) หนุ่มสาวแปลกหน้าคู่หนึ่งได้ถูกทีมผู้จัดงานขอให้ช่วยมาเป็นตัวแสดงแทน “ท่านทูต” กับ “ภริยาท่านทูต” คู่กัน เพื่อซักซ้อมคิวงาน คิวกล้อง การที่ทั้งคู่ต้องมารับบทบาทสมมติเป็นสามีภรรยากันนั้น เปิดโอกาสให้บีมได้รุกจีบแป้งไปตามสัญชาตญาณความเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ขณะที่แป้งเองก็ต้องมาตั้งการ์ดรับการจีบครั้งนี้อย่างระมัดระวัง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับการจากลาในเวลาเพียงแค่หนึ่ง “ยามเย็น”
เรื่องแรกในสไตล์หนังรักวัยรุ่นทีอบอวลได้วยไออุ่นแบบที่ไม่ค่อยเห็นในหนังรักวัยรุ่นทั่วไป นั่งดูไปก็จะอมยิ้มไปกับความน่ารักกุ๊กกิ๊กของตัวละครทั้งสองไปจนถึงตอนจบ สำหรับเรื่องนี้ฉากเศร้าไม่ได้พีคสักเท่าไหร่ แต่จะเน้นไปทางความกวนและกุ๊กกิ๊กของ บีมและแป้งมากกว่า แต่ความประทับใจจริงอยู่ที่ฉากที่นักแสดงร้องเพลง "ยามเย็น" ในรูปแบบใหม่ ซึ่งทำได้ดีมากๆ นักแสดงในเรื่อง เด่นๆ แค่สองคน คือ นาย และ วี ทั้งสองคนทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ วี ที่ทุกอารมณ์เหมือนออกมาจากอินเนอร์สุดๆ ดูจบเรียกว่ายิ้มไปกับความน่ารักของเด็กสองคนนี้เลยล่ะ
เรื่องที่สอง "Still on My Mind" เรื่องของ ฟา (มิว นิษฐา) อดีตสาวออร์แกไนเซอร์ที่ต้องลาออกมาดูแลพ่อที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ฟาเหนื่อยมากกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่แต่เธอก็ยินดีที่จะทำเต็มที่เพื่อพ่อ จนวันนึงที่ฟากลับไปลองเล่นเปียโนด้วยเพลงโปรดของแม่ เพลง “Still on My Mind” ความทรงจำในอดีตของพ่อก็เหมือนจะฟุ้งกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ฟาพยายามจะหัดเล่นเพลง Still on My Mind ให้ได้เพื่อให้เปนของขวัญวันครบรอบแต่งงานของพ่อและแม่ โดยฟาได้รับความช่วยเหลือจาก เอ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ช่างจูนเปียโนสุดกวนที่เคยช่วยจูนเปียโนให้แม่ฟามาก่อน เอเข้ามาคอยช่วยดูแลพ่อฟาให้ในระหว่างที่เธอซ้อมเปียโน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักของทั้งสองคน
สำหรับเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผมน้ำตาคลอเบ้าเลย เรียกว่าเป็นเรื่องที่เศร้าและสุขที่สุดในสามเรื่องก็ว่าได้ เพราะด้วยอารมณ์หนังที่ปูมาด้วยความรักและความเสียสละ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แล้วหนังก็พาเราไปสู่จุดสิ้นหวัง และดึงกลับขึ้นมาสู่จุดสมหวังอีกครั้ง เรียกว่าครบรส หนังปูทางมาจนถึงช่วงที่พีคที่สุด แค่นี้ก็ทำให้คนดูซึ้งจนแทบจะต่อมน้ำตาแตกแล้ว แค่นั้นไม่พอ หนังเอาเพลง "Still on My Mind" มากระแทกอารมณ์ให้เศร้าหนักเข้าไปอีก เท่ากับสองกำลังบวกผมนี่น้ำตาคลอจริงๆ พอหนังดึงความสุขกลับมา กลับกลายเป็นไม่ใช่การกระชากอารมณ์ แต่เป็นการพาเรากลับไปหาความสุขอีกครั้ง ความสุขใจก็เข้ามาแบบเต็มๆ เรื่องนี้คนที่แสดงได้พระเอกที่สุดคือ คุณลุงป้อม พ่อของนางเอกที่เป็นอัลไซเมอร์ ลุงแกเล่นได้น่ารัก น่าโมโห และน่าสงสารที่สุด ถ้าลุงทำไม่ได้ขนาดนี้ คนดูไม่มีทางอินในตอนท้ายเรื่องแน่ๆ มิว กับ ซันนี่ ถือว่ามาตรฐานไม่ตก แต่ผมมองว่ายังสู้คุณลุงไม่ได้จริงๆ
เรื่องที่สาม "พรปีใหม่" หลง (เต๋อ ฉันทวิชช์) ร็อคเกอร์หนุ่ม ตัดสินใจลาออกจากวงที่เล่นมาเป็น 10 ปีแต่ไม่ดัง มาเป็นพนักงานออฟฟิศด้านวิเคราะห์การเงิน ซึ่งเมื่อ คิม (หนูนา หนึ่งธิดา) พนักงานฝ่ายบุคคลรู้เข้าว่าหลงเป็นอดีตนักดนตรีอาชีพจึงได้ตามตื๊อให้หลงมาเป็นหัวหน้าวงดนตรีสมัครเล่นของเหล่าพนักงาน ทั้งที่อยากจะหนีจากความเจ็บปวดในชีวิตนักดนตรี แต่เมื่อครั้นได้ลองรวมวงกับสมาชิกหลากหลายวัย ซ้ำยังเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีที่ไม่น่าจะเอามารวมวงกันได้วงนี้ หลงก็พบว่าการแอบเจ้านายเล่นดนตรีกันในออฟฟิศหลังเลิกงานอย่างลับๆ กลายเป็นครั้งแรกที่เขามีความสุขในการเล่นดนตรี ท่ามกลางบรรยากาศปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา หลงและสมาชิกเตรียมเพลง “พรปีใหม่” ไว้สำหรับโชว์เป็นของขวัญ ให้กับเพื่อนร่วมงานทุกคน โดยหวังลึกๆ ว่ามันจะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขในปีใหม่นี้
เรื่องสุดท้าย เรื่องนี้ตอนช่วงแรกๆ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะหนังมาแนวตลกแบบมุขสามบาทห้าบาท ที่มาเอาขำอย่างเดียว หนังสอดมุขเข้าไปเยอะมากจนผมมองว่ามันขัดอารมณ์กับทั้งสองเรื่องแรกมากๆ เลยทำให้ผมไม่ค่อยชอบ แต่พอหนังยิ่งเล่าไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าจริงๆ แล้วหนังต้องการสื่ออะไร ความสุขของคนเราถ้าไม่ทำตามสิ่งที่ใจชอบ ก็ไม่ได้เรียกว่าความสุข หนังจะสอนคนดูด้วยการให้ความสุขกับคนดูตลอดทั้งเรื่อง เรื่องนี้เรียกว่าอิ่มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งต่างจากเรื่องแรกที่มีรอยยิ้มแบบอุ่นๆ กรุ่นๆ แต่เรื่องนี้ทำให้ฉีกยิ้มได้เต็มปาก นักแสดง ที่เด่นๆ ก็ เต๋อ กับ หนูนา แหละ แต่สำหรับผม ผมว่าเรื่องนี้องค์ประกอบตัวละครหลายตัว ทำให้หนังมีความหมาย ไม่ได้อยู่ที่แค่ตัวพระเอกนางเอกเท่านั้น ตัวละครแทบจะทุกคน ทำให้คนดูเชื่อได้ว่า สิ่งที่หนังสื่อคือสิ่งที่สร้างความสุขให้พวกเข้าได้จริงๆ
ทั้งสามเรื่องนี่เรียกได้ว่าเป็นหนัง Feel Good สุดๆ และหนังจบท้ายด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสามเรื่อง ซึ่งพอหนังปูอารมณ์มาจนถึงท้ายเรื่อง และตบด้วยเพลง เอาจริงๆ ผมมั่นใจว่าฟังแล้วทุกคนต้องคิดถึงพระองค์ท่าน ซึ่งหนังไม่ได้พูดถึงพระองค์เลยแม้แต่คำเดียว แต่ผมเชื่อว่า บทเพลงทั้งสาม จะให้ความสุขใจ และความอิ่มเอมใจกับคนดูได้อย่างแน่นอน
พูดคุยกันเพิ่มเติมได้ที่เพจนะครับ >>> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้