>>กระทู้นี้จะพาเพื่อนๆไปกอดธรรมชาติกัน<<

เข้าช่วงปลายฝนรู้มั้ยมันทำให้เหงายกกำลัง2 แล้วจะรออะไรเมื่อเพื่อนกริ้งสายเข้ามาชวน เราก็ “say yes” ไปใหนไปด้วยเดี๋ยวช่วย 2 บาท (อุ๊ย!!! ล้อเล่น5555) หลังจากตกลงปลงใจกับเพื่อนๆแล้ว ก็เริ่มปฎิบัติการหาข้อมูลรีวิวจากพันทิปนี่แหละคร้า ตอนแรกคิดว่า เอ๊ะ! หน้าฝนไปได้มั้ย? พอหาข้อมูลก็ถึงร้องอ๋อ เขาไปกันหน้านี้แหละ จากนั้นเริ่มหาข้อมูลเรื่องการเดินทางจะไปรถไฟหรือจะไปเครื่องบินดี ดูโปรดูราคา โอเคใหนๆจะไปกอดธรรมชาติแหละ เอาให้สุดๆ เลยตกลงจะไปทางรถไฟกัน เราตกลงกันว่าจะไปคืนวันพฤ.ไปถึงเช้าวันศ. นอนเขื่อนวันศุกร์แล้ววันเสาร์ค่อยออกมาแวะเที่ยวแล้วก็กลับคืนวันเสาร์ก็หน้าจะมาถึงกรุงเทพเช้าวันอาทิตย์ ได้มีเวลาพักผ่อนก่อนทำงานในวันจันทร์ ถึงวันจองตั๋วให้เพื่อนไปจองเสร็จเพื่อก็เก็บตั๋วไว้ไม่ได้ดูแต่อย่างใด
เมื่อถึงวันไปจริงนัดกัน 6 โมงเย็นเจอกันที่หัวลำโพง เฉลยได้นั่งรถไฟพัดลมจ้า!! เพื่อนจองผิด เยี่ยมจัดไปเข้าถึงธรรมชาติ

พร้อมออกเดินทางคร้า รถไฟออกตอน1ทุ่ม  ทั้งคืนหลับๆตื่นๆขายของกันตลอดทาง 7 โมงกว่าก็ถึงสุราญธานี
แอบเก็บบรรยากาศตอนเช้ามาฝาก>>>

พอลงจากรถได้เกิดอาการหิวคร้า ทีนี้คือเดินหาอะไรกินกันก่อนเลย หิวค่ะท้องร้องโวยวาย เลยเดินจากสถานณีรถไฟข้ามสะพานเหล็กไปฝั่งตลาดมุ่งหน้าหาของกินก่อนเลย5555++

เพราะจะต้องเดินทางต่อไปรับเพื่อนที่สนามบิน เพราะแยกกันมา2กรุ๊ป #ทีมรถไฟ กับ #ทีมเครื่องบิน
เราก็หารถเช่าแถวหน้าสถาณีรถไฟ เราไปกันทั้งหมด4คนและไปรับเพื่อนที่กลุ่มที่สนามบินอีก4คนเลยเช่ารถตู้
จากสถาณีเดินทางไปเขื่อนประมาณ70กิโล ประมาณชั่วโมงกว่าๆ

พอถึงเขื่อนก็โทรหาที่พักเพื่อมารับที่ท่าเรือเพื่อนั่งเรือเข้าไปที่พัก ค่าเช่าเรืออยู่ประมาณ2000-2500บาท เหมาไปกลับ

พอเริ่มออกเรือไม่ถึง5นาที บ้ายบายสัญญาณโทรศัพท์กันได้เลยจร้า เพราะคุยๆอยู่ตัดไปเลยจ้า เอาละไงลืมไปว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณยังไม่ได้โทรบอกที่บ้านว่าถึงแล้ว 5555+ แค่นี้โทรศัพท์ก็หมดความหมายไปเลยเอาไว้ถ่ายรูปอย่างเดียว 5555

แต่ระหว่าง2ข้างทางขอบอกว่าฟินมากค่ะ ท้องฟ้า พื้นน้ำ สายลม แสงแดด โอ้ยหลงรักตั้งแต่แรกเจอ งานนี้แดดแอบแรงนิสนุงนะ ดังนั้นโบกครีมกันแดดไปให้ดีนะคะ ส่วนตัวไม่ได้โบกค่ะลืม 555555

นั่งเรือเข้าที่พักถึงประมาณบ่ายโมง >>>เห็นที่พักริบๆ แพที่เราเข้าพักชื่อ “แพนางไพร” ค่ะ

จากนั้นเช็คอินจ่ายค่าที่พักส่วนที่เหลือ ในส่วนของค่าที่พักทั้งหมด4800บาท เราไปกัน8คน ก็ตกคนละ600บาท ได้อาหาร2มื้อ มื้อเย็นและมื้อเช้าพรุ่งนี้ พอเคลียเงินเสร็จ ก็เข้าที่พักพักเหนื่อย นั่งเล่น เดินถ่ายรูปเล็กๆน้อยๆ (ที่พักไม่มีปลั๊กไฟให้นะคะ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้นชาต์แบตเตรียมเพาเวอร์แบค์กันไว้ได้เลย)

บ่าย2ครึ่งเราก็ซื้อทริปนั่งเรือเดินป่าล่องแพเข้าถ้ำ ทริปนี้ประมาณ 2000 บาท จ่ายเพิ่มแยกจากส่วนขอห้องพักนะคะ
เริ่มออกเดินทางนั่งเรือระหว่างทางอาจจะเป็นแพอื่นๆด้วยสวยดีค่ะ

แล้วก็มาจอดบริเวณตีนเขา จากนั้นก็เป็นการเดินค่ะ ย้ำอีกครั้ง เดิน เดิน เดิน แบบไม่ธรรมดานะคะเดินขึ้นเนินแล้วทางค่อนข้างลื่น และด้วยความพลาดทุกคนใส่แตะไปคร้า เรื่องบรรเทิงจึงเกิดขึ้น >< แตะหนีบลื่นบิดไปบิดมาค่ะ เกิดอาการจิกๆจิกเท้าไว้ไม่ให้ลื่น5555 แต่ก็เดินกันไป ระหว่างทางธรรมชาติมากๆค่ะ อากาศจะชื่นๆหน่อยๆ อากาศเย็น แต่ไม่มีลมนะคะ5555 มีเหงื่อตกกันบ้าง

พอขึ้นไปสักพักจะเป็นเหมือนทางลงพอเริ่มเห็นสายน้ำอีกครั้ง สวยคร้า ตาลุกวาวกับความสวยงามของธรรมชาติ สวยจิงๆค่ะ รู้สึกว่าคุ้มค่าความเหนื่อย><

พอถึงจุดพักจุดนี้แล้ว ครึ่งทางนะคะ เราจะนั่งแพไปกันต่อ เพื่อไปชมถ้ำประการังกันค่ะ ความฟินมันก็จุดนั่งแพตรงนี้แหละ แบบธรรมชาติสุดๆ แพจะค่อยๆลอยไปเรื่อยๆ

เราจะล่องแพระยะไม่ไกล ไม่ถึง10นาทีก็ถึงถ้ำ เราจะจอดแพไว้แล้วเราก็เดินเท้าเข้าถ้ำค่ะ

ในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อย แบบรูปทรงต่างๆให้เราได้ชมกันค่ะ แต่มืดมาก เราต้องถือไฟกันไปคนละอัน พี่คนขับแพจะเป็นคนพาเราเข้าชม

พอออกจากถ้ำเราก็กลับมาล่องแพกลับไปจุดพักค่ะ กลับมาถึงจะต้องเดินทางกลับไปทางที่เรือจอดไว้ขากลับ เราเจอค้างเยอะมากค่ะ ตามต้นไม้ น่าจะเป็นช่วงเวลาเจอตลอดทางเลยค่ะ กว่าจะเดินทางถึงเรือก็เกือบ5โมงเย็นค่ะ

พอเดินทางถึงเรือที่จอดไว้ ก็นั่งเรือกลับที่พักค่ะ พอถึงที่พักเราก็เล่นนำกันเลย คืออกจากหน้าห้องพักก็กระโดดลงน้ำได้เลย มันดีตรงนี้><

ทางที่พักยังมีบริการเรือคายักด้วยนะคะ ไม่มีค่าเรือแต่ค่ามัดจำค่าไม้พาย ทางแพบอกว่าส่วนใหญ่ชอบทำไม้พายหายกันจึงมีค่ามัดจำไว้ค่ะ^^

พอสอบถามกับทางที่พักบอกว่าอาหารเย็นจะมีตอน6โมงเย็นด้วยการเล่นน้ำเพลินของพวกเรา กว่าจะเลิกเล่นก็6โมงเย็นแล้วกว่าจะอาบน้ำเสร็จเตรียมตัวครบทุกคน เวลาก็เลยไปถึง6ครึ่ง

ครบทุกคนแล้วเราก็ไปกินข้าวกันทางแพจะจัดข้าวกับกับข้าวเป็นกลุ่มตามจำนวนคนในกลุ่มนั้นๆค่ะ อาหารก็พื้นบ้านเลย ไข่เจียว ผัดผัก ของเด็ดมันอยู่ที่ปลาทอดตัวโตๆ และแกงส้มปลา จัดได้ว่าเด็ด ด้วยความที่เรามาถึงห้องคลัวกลุ่มสุดท้าย ที่พักบอกว่ากินได้ถึง1ทุ่ม รีบกินกันเลยคร้า รูปจึงไม่มีเพราะความหิว+รีบ ด้วยการที่เป็นกลุ่มสุดท้ายนี้เอง ขอข้าวเพิ่มกับข้าวเพิ่มกันเต็มที่ พี่เจ้าของแพใจดีค่ะ>< พอกินเสร็จก็ได้มีเวลานั่งคุยนั่งเม้ากัน แล้วก็แยกย้ายมานั่งเอาเท้าจุ่มน้ำเปิดเพลงฟังกันหน้าห้องพัก เลยจัดรูปดาวมาฝาก

และด้วยการถ่ายรูปไม่เป็นของเรา ตั้งกล้องมั่วๆ >< พยายามมองว่ามันสวยละกันเนอะ แต่ของจริงอยากบอกว่าฟินมากเพราะดาวเต็มท้องฟ้า สวยมากๆ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เหมือนตัดเราไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลย รู้สึกว่าสงบมาก บรรยากาศฟินมากๆ ไม่อยากจะกลับกทม.เลยจร้า นอนดูดาวฟังเพลงเพลินๆ นั่งเม้ากันสักพักก็เข้านอนกัน

เช้าวันถัดมา ตั้งนาฬิกาปลุกไว้6โมงเพื่อจะให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ปรากฎว่าลืมตามา5.45น.สว่างแล้วจร้า รีบคว้ากล้องมาถ่ายรูป><

ตอนเช้าจะมีกาแฟมีโอวันตินให้นะคะ บริการตัวเองค่ะ จิบกาแฟร้อนๆอากาศดีๆ ฟินสิคะ><

นั่งเล่นได้สักพักก็ ไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็จะมีเวลาถ่ายรูปเล่นก่อนอาหารเช้า^^

แล้วก็เหลือเวลาเดินถ่ายรูปเล่นบริเวณที่พักด้วย

เห็นปลาตัวใหญ่ๆว่ายน้ำมั้ยค่ะ ใช่ตัวที่เรากินเมื่อเย็นมั้ย>< นะ

พอกินมื้อเช้าเสร็จก็เตรียมเก็บของเพื่อที่จะเช็กเอ้าออกจากี่พัก และขากลับออกจากที่พักเขาจะพาเราไปชมกุ้ยหลินเมืองไทยกันค้า พี่คนขับเรือบอกว่า มีคนจีนมาเที่ยวที่นี่และพอมาถึงจุดนี้คนจีนเขาบอกว่าเหมือนกุ้ยหลินของจีน ทำให้ ตรงจุดๆนี้เองที่เราจึงเรียกว่า กุ้ยหลินเมืองไทย

ทางเรือจะแวะจอดให้เราได้ถ่ายรูปกันสักพักหนึ่ง แล้วก็จะพาเราไปส่งที่เขื่อน อยากจะบอกตอนจะออกมาแถบไม่อยากกลับ กำลังหลงไหลธรรมชาติสุดๆ

พอมาถึงที่เขื่อนเราก็โทรนัดรถตู้ ก็ตกลงกับรถตู้กันได้นะคะว่าจะกลับเลยหรือจะเที่ยวต่อที่ใหนบ้างเราก็หาข้อมูลกันมาไว้บ้าง ว่าจะแวะเที่ยวขากลับ จุดแรกที่เราแวะถ่ายรูปกันคือสันเขื่อนค่ะ