มีเรื่องจะเล่าให้ฟังค่ะ ซึ่งก็อยากให้หลายๆคนเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ในการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 22 พฤศจิกาที่ผ่านมา ซึ่งเราได้เดินทางจากกระบี่และปลายทางคือดอนเมือง ก่อนไปเราก็แพ็คกระเป๋าตรวจทุกอย่างไว้ตั้งแต่กลางคืน แม้แต่กระเป๋าสตางค์
พอไปถึงที่สนามบินกระบี่ เราก็นำกระเป๋าสัมภาระที่จะโหลดใต้เครื่องไปสแกนก่อนจะไปเช็คอินกับสายการบินสีแดงๆ สัญลักษณ์เป็นรูปเจ้าป่า โดยกระเป๋าที่เราใช้เป็นกระเป๋าเป้ เราก็ยืนรอไปสักพัก กระเป๋าเราก็ออกมาจากเครื่องสแกน พนักงานตรงนั้นก็บอก 'น้องหยิบกระเป๋าได้เลย' เราก็หยิบมาแบบไม่ได้สังเกตอะไร ตอนไปเราไปเช็คอินก็หยิบกระเป๋ามาเตรียมโหลด เขาก็บอกเราว่าเรายังไม่ได้ติดป้าย security check เราก็ไปโหลดใหม่ เขาก็ติดให้ แต่ด้วยความที่โดนไปเช็คกระเป๋าสองรอบก็ทำให้เรามึนๆ เผลอใส่กระเป๋าสตางค์ไปกับกระเป๋าที่โหลด มานึกออกอีกทีก็คือตอนที่กระเป๋าถูกส่งผ่านสายพานไปแล้ว เลยคิดว่า 'ไม่เป็นไร ข้างในคนนอกเข้าไปไม่ได้ ไม่หายหรอก' เลยเดินไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่เกทแทน
พอเครื่องมาถึงดอนเมือง เราก็เดินอย่างเร็ว เร็วมาก เพื่อไปรอรับกระเป๋าจากสายพานเป็นคนแรกๆ ยืนรอกระเป๋าอย่างไม่คลาดสายตา เมื่อกระเป๋ามาเราก็เปิดเช็คกระเป๋าสตางค์ว่ายังอยู่ไหม สรุปคือยังอยู่ เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ได้เปิดดูข้างใน แล้วเดินตรงไปยังร้านกาแฟแถวนั้นเพื่อซื้อเครื่องดื่มระหว่างพี่ชายมารับ แต่พอเราจะหยิบเงินออกมาจ่ายกลายเป็นว่าเราเหลือเงินแค่ 400 จากที่ก่อนโหลดกระเป๋า เรามีเงินสดอยู่ 5900 บาท เงินที่หายไปก็ล้วนเป็นแบงค์ 1000 และ 500 ทั้งนั้น เหลือเพียงแบงค์ 100
ตอนนั้นเราตกใจมาก จ่ายเงินค่าน้ำไปแบบทำอะไรไม่ถูก เดินออกจากร้านมาโทรหาพ่อกับพี่ เราเดินทางคนเดียวตั้งแต่อายุ 12 ตอนนี้ก็ 17 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรก เราเดินไปหาที่นั่งเช็คกระเป๋าอีกครั้ง ค้นพบว่าสบู่เหลวฝาเปิดเลยเลอะกระเป๋า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้พนักงานจะเปิดกระเป๋าเช็ครึเปล่า
เรานั่งรอจนพี่มารับ พี่เราขับรถออกจากสนามบินเพื่อพาเราไปแจ้งความที่สถานีตำรวจดอนเมือง เขาก็ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ท่าอากาศยานให้ เราเข้าไปแจ้งความและลงบันทึกไว้ ทางตำรวจเรียกสายการบินมาเพื่อรับฟังแจ้งความด้วย เราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง ทั้งทางตำรวจและเจ้าหน้าที่ของสายการบินก็รับฟังเป็นอย่างดี พร้อมกับดำเนินเรื่องต่างๆให้ ทางสายการบินบอกกับเราว่าเขาสามารถตรวจเช็ควงจรปิดและหาคนทำให้ได้ แต่ไม่สามารถรับผิดชอบเงินให้เราได้ ซึ่งเราก็เข้าใจ ขอแต่หาตัวคนทำได้ก็พอ
ต่อมาอีกวันเจ้าหน้าที่ก็โทรมาหาเราตอนดึกๆ เขาบอกว่าไม่พบความน่าสงสัยอะไรตอนลำเลียงกระเป๋าแม้แต่น้อย แต่พอพี่ชายเราถามว่าขอดูวิดีโอได้ไหม เขาก็ไม่ให้ดู บอกว่าเป็นกฏของกรมการท่าอากาศยานที่ไม่สามารถให้เราดูได้ เราก็ได้แต่ตอบรับไป เพราะไม่อยากจะวุ่นวายต่ออีกแล้ว
เหตุการณ์ทั้งหมดความผิดส่วนนึงมาจากเราเองที่เผลอใส่ของมีค่าไว้ในกระเป๋าที่จะโหลดใต้เครื่อง ส่วนในส่วนอื่นเราก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากระเป๋าเราไม่มีความผิดปกติจริงๆรึเปล่า ท่าอากาศยานกระบี่ มีกล้องตลอดทางส่งกระเป๋ารึเปล่า เพราะเท่าที่เราเห็นเขาใช้รถลำเลียงกระเป๋าขึ้นเครื่อง ไม่สามารถทราบได้ว่ากล้องไปถึงส่วนไหน
นี่คงเป็นประสบการณ์บินที่เลวร้ายที่สุดของเรา เราขึ้นเครื่องบ่อย บางเดือน 3-4 ครั้ง แถมเราเดินทางคนเดียว ถ้าวันนั้นจุดหมายปลายทางที่เราจะไปไม่มีคนคอยดูแลล่ะ? ถ้าในบัตร ATM ของเราไม่มีเงินล่ะ เราจะทำยังไง เด็กอายุ 17 คงทำอะไรไม่ถูกใช่ไหม?
ทั้งนี้เราไม่ได้อยากได้เงินคืน แต่เราต้องการแค่การป้องกันที่แน่นหนามากพอระดับหนึ่ง เพื่อเหตุการณ์แบบนี้จะได้ไม่ไปเกิดกับท่านอื่น
ขอบอกตามตรงว่าเสียความรู้สึกมากกว่าเสียดายเงินอีกค่ะ สังคมสมัยนี้อยู่ยากจริงๆ
ปล. มีคนรู้จักเราโดนเป็นของราคาประมาณ 60000 เหตุการณ์ประมาณเดียวกัน
มีท่านไหนเคยโดนเหมือนเรามาแชร์กันค่ะ
เงินหายขณะเดินทางกับสายการบินหนึ่ง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 22 พฤศจิกาที่ผ่านมา ซึ่งเราได้เดินทางจากกระบี่และปลายทางคือดอนเมือง ก่อนไปเราก็แพ็คกระเป๋าตรวจทุกอย่างไว้ตั้งแต่กลางคืน แม้แต่กระเป๋าสตางค์
พอไปถึงที่สนามบินกระบี่ เราก็นำกระเป๋าสัมภาระที่จะโหลดใต้เครื่องไปสแกนก่อนจะไปเช็คอินกับสายการบินสีแดงๆ สัญลักษณ์เป็นรูปเจ้าป่า โดยกระเป๋าที่เราใช้เป็นกระเป๋าเป้ เราก็ยืนรอไปสักพัก กระเป๋าเราก็ออกมาจากเครื่องสแกน พนักงานตรงนั้นก็บอก 'น้องหยิบกระเป๋าได้เลย' เราก็หยิบมาแบบไม่ได้สังเกตอะไร ตอนไปเราไปเช็คอินก็หยิบกระเป๋ามาเตรียมโหลด เขาก็บอกเราว่าเรายังไม่ได้ติดป้าย security check เราก็ไปโหลดใหม่ เขาก็ติดให้ แต่ด้วยความที่โดนไปเช็คกระเป๋าสองรอบก็ทำให้เรามึนๆ เผลอใส่กระเป๋าสตางค์ไปกับกระเป๋าที่โหลด มานึกออกอีกทีก็คือตอนที่กระเป๋าถูกส่งผ่านสายพานไปแล้ว เลยคิดว่า 'ไม่เป็นไร ข้างในคนนอกเข้าไปไม่ได้ ไม่หายหรอก' เลยเดินไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่เกทแทน
พอเครื่องมาถึงดอนเมือง เราก็เดินอย่างเร็ว เร็วมาก เพื่อไปรอรับกระเป๋าจากสายพานเป็นคนแรกๆ ยืนรอกระเป๋าอย่างไม่คลาดสายตา เมื่อกระเป๋ามาเราก็เปิดเช็คกระเป๋าสตางค์ว่ายังอยู่ไหม สรุปคือยังอยู่ เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ได้เปิดดูข้างใน แล้วเดินตรงไปยังร้านกาแฟแถวนั้นเพื่อซื้อเครื่องดื่มระหว่างพี่ชายมารับ แต่พอเราจะหยิบเงินออกมาจ่ายกลายเป็นว่าเราเหลือเงินแค่ 400 จากที่ก่อนโหลดกระเป๋า เรามีเงินสดอยู่ 5900 บาท เงินที่หายไปก็ล้วนเป็นแบงค์ 1000 และ 500 ทั้งนั้น เหลือเพียงแบงค์ 100
ตอนนั้นเราตกใจมาก จ่ายเงินค่าน้ำไปแบบทำอะไรไม่ถูก เดินออกจากร้านมาโทรหาพ่อกับพี่ เราเดินทางคนเดียวตั้งแต่อายุ 12 ตอนนี้ก็ 17 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรก เราเดินไปหาที่นั่งเช็คกระเป๋าอีกครั้ง ค้นพบว่าสบู่เหลวฝาเปิดเลยเลอะกระเป๋า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้พนักงานจะเปิดกระเป๋าเช็ครึเปล่า
เรานั่งรอจนพี่มารับ พี่เราขับรถออกจากสนามบินเพื่อพาเราไปแจ้งความที่สถานีตำรวจดอนเมือง เขาก็ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ท่าอากาศยานให้ เราเข้าไปแจ้งความและลงบันทึกไว้ ทางตำรวจเรียกสายการบินมาเพื่อรับฟังแจ้งความด้วย เราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง ทั้งทางตำรวจและเจ้าหน้าที่ของสายการบินก็รับฟังเป็นอย่างดี พร้อมกับดำเนินเรื่องต่างๆให้ ทางสายการบินบอกกับเราว่าเขาสามารถตรวจเช็ควงจรปิดและหาคนทำให้ได้ แต่ไม่สามารถรับผิดชอบเงินให้เราได้ ซึ่งเราก็เข้าใจ ขอแต่หาตัวคนทำได้ก็พอ
ต่อมาอีกวันเจ้าหน้าที่ก็โทรมาหาเราตอนดึกๆ เขาบอกว่าไม่พบความน่าสงสัยอะไรตอนลำเลียงกระเป๋าแม้แต่น้อย แต่พอพี่ชายเราถามว่าขอดูวิดีโอได้ไหม เขาก็ไม่ให้ดู บอกว่าเป็นกฏของกรมการท่าอากาศยานที่ไม่สามารถให้เราดูได้ เราก็ได้แต่ตอบรับไป เพราะไม่อยากจะวุ่นวายต่ออีกแล้ว
เหตุการณ์ทั้งหมดความผิดส่วนนึงมาจากเราเองที่เผลอใส่ของมีค่าไว้ในกระเป๋าที่จะโหลดใต้เครื่อง ส่วนในส่วนอื่นเราก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากระเป๋าเราไม่มีความผิดปกติจริงๆรึเปล่า ท่าอากาศยานกระบี่ มีกล้องตลอดทางส่งกระเป๋ารึเปล่า เพราะเท่าที่เราเห็นเขาใช้รถลำเลียงกระเป๋าขึ้นเครื่อง ไม่สามารถทราบได้ว่ากล้องไปถึงส่วนไหน
นี่คงเป็นประสบการณ์บินที่เลวร้ายที่สุดของเรา เราขึ้นเครื่องบ่อย บางเดือน 3-4 ครั้ง แถมเราเดินทางคนเดียว ถ้าวันนั้นจุดหมายปลายทางที่เราจะไปไม่มีคนคอยดูแลล่ะ? ถ้าในบัตร ATM ของเราไม่มีเงินล่ะ เราจะทำยังไง เด็กอายุ 17 คงทำอะไรไม่ถูกใช่ไหม?
ทั้งนี้เราไม่ได้อยากได้เงินคืน แต่เราต้องการแค่การป้องกันที่แน่นหนามากพอระดับหนึ่ง เพื่อเหตุการณ์แบบนี้จะได้ไม่ไปเกิดกับท่านอื่น
ขอบอกตามตรงว่าเสียความรู้สึกมากกว่าเสียดายเงินอีกค่ะ สังคมสมัยนี้อยู่ยากจริงๆ
ปล. มีคนรู้จักเราโดนเป็นของราคาประมาณ 60000 เหตุการณ์ประมาณเดียวกัน
มีท่านไหนเคยโดนเหมือนเรามาแชร์กันค่ะ