บทสรุปครึ่งหลังของประสบการณ์เดินทางที่ไม่เหมือนครั้งไหน และไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
ขอโทษด้วยนะค้าที่หายไปนาน แก้งานอยู่หลายรอบเลยค่ะ อยากให้ออกมาปราณีตที่สุดจริงๆ
ความเดิมครึ่งแรก เผื่อใครยังไม่ได้อ่านนะคะ
http://ppantip.com/topic/35816431
ใครเคยอ่านหรืออ่านจบแล้วก็มาต่อครึ่งหลังกันได้เลยค่า^^
|๐๕ You’ve raised her well. You must be proud of her.
ได้รู้จักกับ Jacqueline...
เย็นวันนั้น เรามาถึง Montreux แบบหมดสภาพขั้นสุด ฝนตกเกือบทั้งวัน ออกจากสถานีรถไฟมา ต้องลากกระเป๋ามาต่อบัสอีก 7 ป้าย เพื่อไปyouth hostel ความเยินมันอยู่ตรงทางลงไปขึ้นรถบัสมีแต่กะไดจ้ะ ตั้งแต่เช้าลากกระเป๋าขึ้นๆลงๆ transfer ไปมาระหว่างรถไฟกับรถบัสอยู่ 5 รอบ เพราะทางรถไฟปิดซ่อมเป็นช่วง ช่วงไหนปิดก็ต้องลากกระเป๋าลงจากรถไฟไปขึ้นบัส แล้วบัสก็ขับมาส่งเราลง ลากกระเป๋าเพื่อขึ้นรถไฟสายเดิมช่วงที่เปิดใช้ต่อ หมดอารมณ์ชมทัศนียภาพ GoldenPass โดยสิ้นเชิง แถมช่วง Zweisimmen มา Montreux ที่เค้าว่าเป็นไฮไลท์ ก็ดันฝนตกมาตลอดทาง หมอกลงแทบไม่เห็นวิวใดๆ
โชคยังมีอยู่บ้าง เจอคนใจดีช่วยเรายกกระเป๋าคนละข้างลงมาที่ป้ายรถ
ลงจากบัส นึกขึ้นได้ว่าลืมขอแผนที่มา เวรละ ไปไงต่อละทีนี้ ถามทางคุณป้าที่อยู่แถวนั้นแล้วก็เดินงงๆหลงวนไปวนมาอยู่อีกเกือบครึ่งชม. เพื่อมาพบว่าต้องลงบันไดอีกจ้ะ น่าจะร่วมๆ 50 ขั้น ถึงจะเข้าที่พักได้เป็น hostel ที่ไม่มีลิฟต์ใดๆทั้งข้างในและข้างนอก ยังดีว่าได้ห้องชั้น 2 คุณป้า reception บอก 20 กว่าขั้นเอง เอิ่มมม ป้าเห็นกระเป๋าลากหนูไหมคะ -.-”
เหนื่อยจนหาห้องไม่เจอ โชคยังพอมีเจอสาวน้อยใจดี ช่วยหาห้องพาเดินและสอนใช้คีย์การ์ดเปิดประตู ซึ้งอะ
ลงมาห้องกินข้าวก็เจอสาวน้อยกับคุณแม่นั่งโต๊ะติดกัน เนื่องจากหมดสภาพมากวันนี้เลยจองเซตอาหารเย็นไว้กับโฮสเทล โชคดีมากเซตสุดท้ายหมดที่เราพอดี ไม่ต้องออกไปหากินข้างนอกซึ่งฝนยังตกอยู่ตลอดไม่ขาดสาย
บอกแม่เค้าว่าลูกสาวยูน่ารักนะ เป็นเด็กดีมีน้ำใจ ช่วยเราหาห้องด้วย แม่เค้าก็ยิ้มๆบอกว่าลูกเล่าให้ฟังแล้ว ระหว่างที่นั่งกินก็สังเกตว่าแม่หนูเป็นเด็กดีจริงๆนะ ลุกไปยกอาหารให้แม่ เก็บจานให้ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องลุกเลย
กินเสร็จ สบตากันอีกรอบเลยชมแม่เค้าด้วย ใช่แล้วค่ะ เราคือคนพูดประโยคนี้เอง “You’ve raised her well. You must be proud of her.” จขกท ชมเธอว่าเลี้ยงลูกดี น่าภูมิใจจังเลย
คอนเซ็ปต์การชมนี่เราได้มาจากอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียนค่ะ อ.สอนว่าเวลาเจอใครทำอะไรดีๆ เราต้องชื่นชมให้เค้ารู้ ให้เค้ามีกำลังใจในการทำความดีต่อไปเรื่อยๆ เป็นการสนับสนุนให้คนดีมีที่อยู่ที่ยืนในสังคมมากขึ้น สังคมเราก็จะน่าอยู่ขึ้น
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาที่ตามมาอีกกว่า 2 ชม.ครึ่งค่ะ พอลุกจากโต๊ะกินข้าว เราถึงเห็นว่าเธอเดินลำบาก ทรงตัวได้ไม่ดี เมื่อคุยกับเธอซักพักก็พบว่าเธอพูดออกเสียงได้ไม่ชัดด้วย ซึ่งไม่ได้เกิดจากความไม่สันทัดภาษาอังกฤษ แต่เป็นจากกล้ามเนื้อการพูดเธอมีปัญหา
ถามเธอว่าโอเคมั้ย เดินไหวรึป่าว ให้เราช่วยมั้ย เธอบอกไม่เป็นไรเธอเดินได้ เราขออนุญาตถามได้มั้ยว่าเธอเป็นอะไร ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร เธอบอกถามได้ เธอเป็น MS (Multiple Sclerosis)
[Multiple Sclerosis หรือเรียกย่อว่า MS เป็นโรคทางระบบประสาทส่วนกลางที่เกิด Autoimmune antibody คล้ายกับโรค SLE ที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อโรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (โรคพุ่มพวงนี่ จขกท ขยายความเพิ่มให้เองนะคะ) โดยโรค MS เจ้าภูมิคุ้มกันหรือ Autoimmune antibody จะไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาท (myelin sheath) ทำให้การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางเสียไป ส่งผลให้เกิดอาการได้หลายแบบขึ้นกับความรุนแรงของโรค อาการที่เจอได้ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเกร็ง พูดไม่ชัด เดินเซ ทรงตัวลำบาก เป็นต้น พบในคนขาวแถบยุโรปมากกว่าเอเชีย โรคนี้จึงพบไม่บ่อยในคนไทยปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด เป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาด] References
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภาษาอังกฤษ
http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/multiple-sclerosis/home/ovc-20131882
http://www.nationalmssociety.org/What-is-MS
ภาษาไทย
http://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-system/brain/2448-multiple-sclerosis.html
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=1232
เราตกใจ บอกเธอว่า โอ! เสียใจด้วยจริงๆนะคะ เธอบอกไม่เป็นไร เธอเข้มแข็งมากค่ะ การป่วยเป็นโรคนี้ทำให้เธอต้องออกจากงานที่เธอรัก คือ การเป็นพยาบาลวอร์ดเด็ก แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอเปลี่ยนมาเป็นครูสอนศาสนา แต่ช่วงที่ผ่านมาอาการของโรคแย่ลง เดินลำบากมากขึ้น เคลื่อนไหวไม่ถนัด จำเป็นต้องออกจากงานอีกครั้ง ตอนนี้เธอเรียนออนไลน์เพื่อสอบ license ของนักจิตวิทยา (psychologist) อยู่ค่ะ เธออยากใช้ประสบการณ์ที่มีช่วยเหลือคนในแบบที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากเท่าแต่ก่อน นักจิตวิทยาก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีเพราะเป็นงานนั่งโต๊ะเป็นส่วนใหญ่
การป่วยด้วยโรคนี้มายาวนานถึง 13 ปี (เท่าอายุลูกสาวเธอค่ะ เธอทราบวินิจฉัยโรคนี้ตอนตั้งครรภ์ เราบอกเธอว่าลูกสาวคนนี้คงเป็นของขวัญที่ฟ้าส่งมา เธอยิ้มกว้างบอกใช่เลย) ไม่ได้ทำให้เธอยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วย เธอใช้ชีวิตคุ้มค่าจริงๆค่ะ ทั้งเพื่อตัวเธอเอง ลูกสาว และคนอื่นๆ เราดีใจที่ได้ชมเธอกับลูกสาวตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าเธอป่วย ยังจำสีหน้าเธอตอนที่เราชมได้ หน้าเธอสดใส ดวงตามีประกายยิ้มรับคำชม
เธอแสดงความเสียใจเรื่องในหลวงกับเรา แต่เธอก็ยอมรับว่าเธอไม่เข้าใจอารมณ์ความเศร้าโศกเสียใจของคนไทยที่เห็นในข่าวหรือจากเรา เธอไม่มีความรู้สึกรักผูกพันกับผู้นำของเธอขนาดนั้น เราเสิร์ชรูปพระราชกรณียกิจต่างๆจากอากู๋ให้เธอดูว่าเพราะอะไรคนไทยถึงจงรักต่อท่านขนาดนี้ เธอสรุปว่า “Oh! Just like he was the father who took care of everything in your country.”
เราก็บอกว่า “Exactly!!”
เธอเล่าเรื่องประวัติศาสตร์การรวมชาติสวิส ซึ่งเป็นที่มาของภาษาราชการที่ใช้ในสวิสเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งจริงๆแล้วมี 4 ภาษาด้วยกัน คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และเรโทโรมานิช (Rätoromanisch) ซึ่งเป็นภาษาของชนเผ่าที่อาศัยอยู่แถบ Graubünden Canton เป็นหลัก เธออธิบายว่าเป็น Italian Dialect เนื่องจาก Graubünden อยู่ทางตอนใต้ของสวิสที่ติดกับอิตาลี
นอกจากนี้เธอยังเล่าเรื่องระบบโรงเรียนของสวิส เพราะเห็นเราสับสนที่เด็กแต่ละคนปิดเปิดเทอมไม่พร้อมกัน อย่างบ้านแม่ลูกที่เจอบนเรือเมื่อตอนที่แล้วก็ดูจะเปิดเทอมก่อนบ้านนี้ ไปจนถึงระบบประกันสุขภาพของบ้านเค้าที่เป็นระบบ Copayment แถมยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์น่าสนใจใน Montreux อีกด้วย
รับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณความเป็นครูในตัวเธอ เธอพูดออกเสียงลำบาก แต่ก็ยังพยายามปลอบใจเราเรื่องในหลวง อธิบายเรื่องราวต่างๆให้เราฟัง เรื่องราวของเธอทำให้เรานึกถึงหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” ขึ้นมาเลย ตัวอย่างความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในชีวิตไม่ว่าจะจากการที่เรืออับปาง หรือจากความเจ็บป่วย
ก่อนแยกย้ายกันเข้านอน เราบอกยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย เธอบอกเธอชื่อ Jacqueline
เช้าวันที่เราเช็คเอาท์ Naomi ลูกสาว Jacqueline มาหาที่ห้องเพื่อเอากุ๊กไก่แม่ลูกที่เธอกับแม่ช่วยกันประดิษฐ์มาให้เป็นที่ระลึกแทนตัวเธอกับแม่ ตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เราพกติดตัวไว้ตลอดจนกระทั่ง...
หลายวันต่อมา เราเอากุ๊กไก่แม่ลูกออกมาเล่นและทำตัวลูกเจี๊ยบร่วงตกขอบหน้าต่างรถไฟค่า โคตรกลุ้มใจกับความรั่วของตัวเอง -.-”
เป็นที่มาของชื่อภาพนี้ ถึงลูกเจี๊ยบจะไม่อยู่แล้ว (ขอบหน้าต่างแคบมาก พยายามเอากระดาษเขี่ยก็ไม่ถึง นิ้วก็ใหญ่เกินช่อง เลยต้องตัดใจ ขอโทษน้าหนูนาโอมิ T^T) แต่ทั้งหนูและแม่เป็นหนึ่งความทรงจำงดงามของการเดินทางครั้งนี้ที่จะอยู่ในใจ จขกท เสมอ
---สิ่งสำคัญอาจมองไม่เห็นด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยใจ---
เหมือนที่พระองค์ท่านไม่ได้จากเราไปไหนเลยเช่นกัน...
...เมื่อฉันอยู่ Switzerland ในวันที่แผ่นดินสิ้นรัชกาลที่ ๙: การเดินทางเปื้อนน้ำตากับบทสนทนาที่ดีต่อใจ...(ภาคจบ)
ขอโทษด้วยนะค้าที่หายไปนาน แก้งานอยู่หลายรอบเลยค่ะ อยากให้ออกมาปราณีตที่สุดจริงๆ
ความเดิมครึ่งแรก เผื่อใครยังไม่ได้อ่านนะคะ
http://ppantip.com/topic/35816431
ใครเคยอ่านหรืออ่านจบแล้วก็มาต่อครึ่งหลังกันได้เลยค่า^^
|๐๕ You’ve raised her well. You must be proud of her.
ได้รู้จักกับ Jacqueline...
เย็นวันนั้น เรามาถึง Montreux แบบหมดสภาพขั้นสุด ฝนตกเกือบทั้งวัน ออกจากสถานีรถไฟมา ต้องลากกระเป๋ามาต่อบัสอีก 7 ป้าย เพื่อไปyouth hostel ความเยินมันอยู่ตรงทางลงไปขึ้นรถบัสมีแต่กะไดจ้ะ ตั้งแต่เช้าลากกระเป๋าขึ้นๆลงๆ transfer ไปมาระหว่างรถไฟกับรถบัสอยู่ 5 รอบ เพราะทางรถไฟปิดซ่อมเป็นช่วง ช่วงไหนปิดก็ต้องลากกระเป๋าลงจากรถไฟไปขึ้นบัส แล้วบัสก็ขับมาส่งเราลง ลากกระเป๋าเพื่อขึ้นรถไฟสายเดิมช่วงที่เปิดใช้ต่อ หมดอารมณ์ชมทัศนียภาพ GoldenPass โดยสิ้นเชิง แถมช่วง Zweisimmen มา Montreux ที่เค้าว่าเป็นไฮไลท์ ก็ดันฝนตกมาตลอดทาง หมอกลงแทบไม่เห็นวิวใดๆ
โชคยังมีอยู่บ้าง เจอคนใจดีช่วยเรายกกระเป๋าคนละข้างลงมาที่ป้ายรถ
ลงจากบัส นึกขึ้นได้ว่าลืมขอแผนที่มา เวรละ ไปไงต่อละทีนี้ ถามทางคุณป้าที่อยู่แถวนั้นแล้วก็เดินงงๆหลงวนไปวนมาอยู่อีกเกือบครึ่งชม. เพื่อมาพบว่าต้องลงบันไดอีกจ้ะ น่าจะร่วมๆ 50 ขั้น ถึงจะเข้าที่พักได้เป็น hostel ที่ไม่มีลิฟต์ใดๆทั้งข้างในและข้างนอก ยังดีว่าได้ห้องชั้น 2 คุณป้า reception บอก 20 กว่าขั้นเอง เอิ่มมม ป้าเห็นกระเป๋าลากหนูไหมคะ -.-”
เหนื่อยจนหาห้องไม่เจอ โชคยังพอมีเจอสาวน้อยใจดี ช่วยหาห้องพาเดินและสอนใช้คีย์การ์ดเปิดประตู ซึ้งอะ
ลงมาห้องกินข้าวก็เจอสาวน้อยกับคุณแม่นั่งโต๊ะติดกัน เนื่องจากหมดสภาพมากวันนี้เลยจองเซตอาหารเย็นไว้กับโฮสเทล โชคดีมากเซตสุดท้ายหมดที่เราพอดี ไม่ต้องออกไปหากินข้างนอกซึ่งฝนยังตกอยู่ตลอดไม่ขาดสาย
บอกแม่เค้าว่าลูกสาวยูน่ารักนะ เป็นเด็กดีมีน้ำใจ ช่วยเราหาห้องด้วย แม่เค้าก็ยิ้มๆบอกว่าลูกเล่าให้ฟังแล้ว ระหว่างที่นั่งกินก็สังเกตว่าแม่หนูเป็นเด็กดีจริงๆนะ ลุกไปยกอาหารให้แม่ เก็บจานให้ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องลุกเลย
กินเสร็จ สบตากันอีกรอบเลยชมแม่เค้าด้วย ใช่แล้วค่ะ เราคือคนพูดประโยคนี้เอง “You’ve raised her well. You must be proud of her.” จขกท ชมเธอว่าเลี้ยงลูกดี น่าภูมิใจจังเลย
คอนเซ็ปต์การชมนี่เราได้มาจากอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียนค่ะ อ.สอนว่าเวลาเจอใครทำอะไรดีๆ เราต้องชื่นชมให้เค้ารู้ ให้เค้ามีกำลังใจในการทำความดีต่อไปเรื่อยๆ เป็นการสนับสนุนให้คนดีมีที่อยู่ที่ยืนในสังคมมากขึ้น สังคมเราก็จะน่าอยู่ขึ้น
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาที่ตามมาอีกกว่า 2 ชม.ครึ่งค่ะ พอลุกจากโต๊ะกินข้าว เราถึงเห็นว่าเธอเดินลำบาก ทรงตัวได้ไม่ดี เมื่อคุยกับเธอซักพักก็พบว่าเธอพูดออกเสียงได้ไม่ชัดด้วย ซึ่งไม่ได้เกิดจากความไม่สันทัดภาษาอังกฤษ แต่เป็นจากกล้ามเนื้อการพูดเธอมีปัญหา
ถามเธอว่าโอเคมั้ย เดินไหวรึป่าว ให้เราช่วยมั้ย เธอบอกไม่เป็นไรเธอเดินได้ เราขออนุญาตถามได้มั้ยว่าเธอเป็นอะไร ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร เธอบอกถามได้ เธอเป็น MS (Multiple Sclerosis)
[Multiple Sclerosis หรือเรียกย่อว่า MS เป็นโรคทางระบบประสาทส่วนกลางที่เกิด Autoimmune antibody คล้ายกับโรค SLE ที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อโรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (โรคพุ่มพวงนี่ จขกท ขยายความเพิ่มให้เองนะคะ) โดยโรค MS เจ้าภูมิคุ้มกันหรือ Autoimmune antibody จะไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาท (myelin sheath) ทำให้การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางเสียไป ส่งผลให้เกิดอาการได้หลายแบบขึ้นกับความรุนแรงของโรค อาการที่เจอได้ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเกร็ง พูดไม่ชัด เดินเซ ทรงตัวลำบาก เป็นต้น พบในคนขาวแถบยุโรปมากกว่าเอเชีย โรคนี้จึงพบไม่บ่อยในคนไทยปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด เป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาด] References [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราตกใจ บอกเธอว่า โอ! เสียใจด้วยจริงๆนะคะ เธอบอกไม่เป็นไร เธอเข้มแข็งมากค่ะ การป่วยเป็นโรคนี้ทำให้เธอต้องออกจากงานที่เธอรัก คือ การเป็นพยาบาลวอร์ดเด็ก แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอเปลี่ยนมาเป็นครูสอนศาสนา แต่ช่วงที่ผ่านมาอาการของโรคแย่ลง เดินลำบากมากขึ้น เคลื่อนไหวไม่ถนัด จำเป็นต้องออกจากงานอีกครั้ง ตอนนี้เธอเรียนออนไลน์เพื่อสอบ license ของนักจิตวิทยา (psychologist) อยู่ค่ะ เธออยากใช้ประสบการณ์ที่มีช่วยเหลือคนในแบบที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากเท่าแต่ก่อน นักจิตวิทยาก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีเพราะเป็นงานนั่งโต๊ะเป็นส่วนใหญ่
การป่วยด้วยโรคนี้มายาวนานถึง 13 ปี (เท่าอายุลูกสาวเธอค่ะ เธอทราบวินิจฉัยโรคนี้ตอนตั้งครรภ์ เราบอกเธอว่าลูกสาวคนนี้คงเป็นของขวัญที่ฟ้าส่งมา เธอยิ้มกว้างบอกใช่เลย) ไม่ได้ทำให้เธอยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วย เธอใช้ชีวิตคุ้มค่าจริงๆค่ะ ทั้งเพื่อตัวเธอเอง ลูกสาว และคนอื่นๆ เราดีใจที่ได้ชมเธอกับลูกสาวตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าเธอป่วย ยังจำสีหน้าเธอตอนที่เราชมได้ หน้าเธอสดใส ดวงตามีประกายยิ้มรับคำชม
เธอแสดงความเสียใจเรื่องในหลวงกับเรา แต่เธอก็ยอมรับว่าเธอไม่เข้าใจอารมณ์ความเศร้าโศกเสียใจของคนไทยที่เห็นในข่าวหรือจากเรา เธอไม่มีความรู้สึกรักผูกพันกับผู้นำของเธอขนาดนั้น เราเสิร์ชรูปพระราชกรณียกิจต่างๆจากอากู๋ให้เธอดูว่าเพราะอะไรคนไทยถึงจงรักต่อท่านขนาดนี้ เธอสรุปว่า “Oh! Just like he was the father who took care of everything in your country.”
เราก็บอกว่า “Exactly!!”
เธอเล่าเรื่องประวัติศาสตร์การรวมชาติสวิส ซึ่งเป็นที่มาของภาษาราชการที่ใช้ในสวิสเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งจริงๆแล้วมี 4 ภาษาด้วยกัน คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และเรโทโรมานิช (Rätoromanisch) ซึ่งเป็นภาษาของชนเผ่าที่อาศัยอยู่แถบ Graubünden Canton เป็นหลัก เธออธิบายว่าเป็น Italian Dialect เนื่องจาก Graubünden อยู่ทางตอนใต้ของสวิสที่ติดกับอิตาลี
นอกจากนี้เธอยังเล่าเรื่องระบบโรงเรียนของสวิส เพราะเห็นเราสับสนที่เด็กแต่ละคนปิดเปิดเทอมไม่พร้อมกัน อย่างบ้านแม่ลูกที่เจอบนเรือเมื่อตอนที่แล้วก็ดูจะเปิดเทอมก่อนบ้านนี้ ไปจนถึงระบบประกันสุขภาพของบ้านเค้าที่เป็นระบบ Copayment แถมยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์น่าสนใจใน Montreux อีกด้วย
รับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณความเป็นครูในตัวเธอ เธอพูดออกเสียงลำบาก แต่ก็ยังพยายามปลอบใจเราเรื่องในหลวง อธิบายเรื่องราวต่างๆให้เราฟัง เรื่องราวของเธอทำให้เรานึกถึงหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” ขึ้นมาเลย ตัวอย่างความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในชีวิตไม่ว่าจะจากการที่เรืออับปาง หรือจากความเจ็บป่วย
ก่อนแยกย้ายกันเข้านอน เราบอกยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย เธอบอกเธอชื่อ Jacqueline
เช้าวันที่เราเช็คเอาท์ Naomi ลูกสาว Jacqueline มาหาที่ห้องเพื่อเอากุ๊กไก่แม่ลูกที่เธอกับแม่ช่วยกันประดิษฐ์มาให้เป็นที่ระลึกแทนตัวเธอกับแม่ ตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เราพกติดตัวไว้ตลอดจนกระทั่ง...
หลายวันต่อมา เราเอากุ๊กไก่แม่ลูกออกมาเล่นและทำตัวลูกเจี๊ยบร่วงตกขอบหน้าต่างรถไฟค่า โคตรกลุ้มใจกับความรั่วของตัวเอง -.-”
เป็นที่มาของชื่อภาพนี้ ถึงลูกเจี๊ยบจะไม่อยู่แล้ว (ขอบหน้าต่างแคบมาก พยายามเอากระดาษเขี่ยก็ไม่ถึง นิ้วก็ใหญ่เกินช่อง เลยต้องตัดใจ ขอโทษน้าหนูนาโอมิ T^T) แต่ทั้งหนูและแม่เป็นหนึ่งความทรงจำงดงามของการเดินทางครั้งนี้ที่จะอยู่ในใจ จขกท เสมอ
---สิ่งสำคัญอาจมองไม่เห็นด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยใจ---
เหมือนที่พระองค์ท่านไม่ได้จากเราไปไหนเลยเช่นกัน...