15 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนดู A Monster Calls!

“เรื่องเล่าคือสัตว์ร้ายที่อันตรายที่สุด” – อสูรกาย

A Monster Calls คือเรื่องราวในวันที่อารมณ์และจิตใจของเด็กชายวัย 12 อย่างคอนเนอร์เปราะบางสุดขีด เมื่อแม่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและเขาต้องถูกส่งไปอยู่กับคุณยายผู้เย็นชา-เรื่องภายในครอบครัวว่าหนักหนาแล้ว แต่ที่โรงเรียนกลับหนักยิ่งกว่า เมื่อเขาถูกเพื่อนๆ มองว่าเป็นตัวประหลาดจนตกเป็นเป้าให้รังแกบ่อยครั้ง

ในค่ำคืนอันเปลี่ยวเหงา คอนเนอร์แว่วเสียงเรียกของสิ่งลี้ลับที่โผล่มาจากรากต้นยิว-ทั้งที่ความจริงมันอยู่ตรงนั้นมานานเกินกว่าใครจะทันสังเกตหรือจำมันได้เสียด้วยซ้ำไป-นั่นคืออสูรกายต้นไม้ขนาดยักษ์สูง 40 ฟุต ที่พกนิทานที่ใช้จินตนาการนึกภาพตามมาเล่าให้คอนเนอร์ฟังทุกคืน ทั้งหมดนี้ เจ้ายักษ์ใหญ่ขอแลกกับเรื่องเล่าของคอนเนอร์ในทุกคืนไปเช่นกัน และโดยทีละเล็กทีละน้อย-ก่อนที่คอนเนอร์จะได้รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำว่าทุกค่ำคืนนั้นเหน็บหนาวน้อยลง ไปกระทั่งภาพการเดินทางเพื่อค้นหาความศรัทธาในชีวิตจากเรื่องเล่าของอสูรกายนั้นก็เปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล

โดยภาพรวมแล้วนี่คือการเล่าเรื่องการก้าวผ่านวัยของเด็กชายที่กำลังเติบโตไปสู่เด็กหนุ่ม ผ่านเรื่องราวร้ายๆ ที่ประดังประเดเข้ามาในวันที่เขาซวนเซและไม่มีที่พึ่งใดให้ยึดจับ นำมาสู่เรื่องราวที่ทั้งอบอุ่นและสั่นสะเทือนหัวใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในฐานะคนดู

เข้าฉาย 1 ธันวาคมนี้แล้วนะ ยิ้ม

และต่อจากนี้ คือ 14 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนดู A Monster Calls!




1. กำกับโดยเจ.เอ. บาโยน่า ที่เคยกำกับ The Impossible (บุกมาถ่ายทำที่ไทยนี่เอง) และ The Orphanage มาแล้ว และ A Monster Calls เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเกี่ยวกับเยาวชนเรื่องแรกที่เขาลองทำ (ก่อนหน้านี้เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่กำกับได้หลากหลายแนวอย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะดราม่า ชีวิตหรือทริลเลอร์)


.

2. ต้นฉบับเรื่องนี้เขียนโดย แพทริค เนสส์ ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนคิดต้นเรื่องเอง แต่สานต่อเนื้อเรื่องจากงานเขียนชิ้นเดิมของนักเขียนอย่างชิโบห์น ดาวด์-ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งก่อนที่ต้นฉบับจะถูกเรียงร้อยจนเสร็จ


.

3. และแม้จะถูกออกแบบให้เป็นหนังสือสำหรับเด็ก แต่ผู้อ่านวัยผู้ใหญ่จำนวนมากก็รักหนังสือเล่มนี้หมดหัวใจ และยืนยันว่ามันเป็นหนังสือเด็กที่เรียกน้ำตาได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง



“เพราะผู้ใหญ่ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมามากกว่านักอ่านวัยเด็กครับ ผู้ใหญ่เต็มไปด้วยประสบการณ์แห่งการสูญเสียและเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวที่จะสูญเสียด้วยเช่นกัน” นักเขียนและมือเขียนบทประจำเรื่องอย่างเนสส์กล่าวไว้
.

4. ถ้าใครยังฝังใจกับ Pale Man หรือมนุษย์หน้าฝ่ามือใน Pan’s Labyrinth (2006) ได้ เตรียมพบสัตว์ประหลาดอีกตัวใน A Monster Calls ได้!

เพราะทั้งสองตัวนั้นถูกรังสรรค์ผ่านนักออกแบบงานสร้างอย่าง ยูจินิโอ กาบาเยโร่-ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์จากเรื่อง Pan’s Labyrinth มาแล้ว


.

5. ด้วยความมุ่งมั่นของนักออกแบบอย่างกาบาเยโร่ เขาตั้งใจออกแบบอสูรกายมากว่า 200 แบบ เพื่อจะพบว่าผู้กำกับอย่างบาโยน่าบอกว่า “ยิ่งหลุดโลกมากเท่าไหร่มันยิ่งดูน่าสนใจน้อยลงอ้ะ เพราะงั้นเอาแบบที่เหมือนต้นฉบับจากหนังสือที่วาดไว้ก็ละกัน” /โถ…


.

6. บทภาพยนตร์เรื่องนี้ติดอยู่ในแบล็กลิสท์ปี 2013 ของฮอลลีวูด ว่าด้วยบทภาพยนตร์ที่เป็นที่ชื่นชอบ “มากที่สุด” แต่ยังไม่ได้ถูกสร้าง


.

7. เลียม นีสัน กลับมารับบทเป็นตัวละคร CGI เป็นครั้งที่สาม หลังจากเคยรับบทเป็นอัสลานในภาพยนตร์ชุด The Chronicles of Narnia และบทตำรวจใน The Lego Movie (2014) มาแล้ว



“ผมว่าผู้กำกับแค่ชอบที่ผมเดินแล้วดูเก้งก้างแค่นั้นแหละ เลยได้รับบทนี้”
ลุงเลียมกล่าว /โถ
.

8. และนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ที่เขาไม่ได้เล่นบทแท็คชั่น หลังจากรับแต่บทแอ็คชั่นสุดกู่มาอย่างยาวนานโดยตลอด (และจริงๆ เลียมออกตัวว่าเขาแจ้งเกิด/โด่งดังจากบทดราม่านะครับทุกคน) ซึ่งเลียมเผยผ่านการสัมภาษณ์ว่า “ผมคงรับเล่นหนังแอ็คชั่นอีกแค่สักปีสองปีแหละ”


.

9. แม้จะไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่อง แต่ทอม ฮอลแลนด์ หรือสไปเดอร์แมนจากค่ายมาร์เวล ก็มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้อย่างมากทีเดียว เพราะเขาคือนักแสดงที่ช่วยรับส่งบทกับเลียม นีสัน ระหว่างถ่ายทำเพื่อส่งอารมณ์และกำหนดแนวทางสายตาของลุงเลียม


.

10. อย่างไรก็ดี ทอม ฮอลแลนด์มาช่วยบาโยน่าใน A Monster Calls ได้ก็เพราะทั้งคู่รู้จักและสนิทสนมกันมาจากงานเรื่องก่อนของบาโยน่า คือ The Impossible (2012) (บาโยน่าเลยชวนเด็กมาช่วยงานหน่อยซิ)


.

11. ลูอิส แม็คดูกัลล์ ผู้รับบทเด็กชายคอนเนอร์ที่มีเพื่อนเป็นอสูรกายต้นไม้ยักษ์นั้น (และมีวี่แววจะมีแม่ยกอีกเยอะทีเดียวในอนาคต) ชนะการแคสท์บทจากเด็กนับพันมาได้เพราะบาโยน่าชอบอกชอบใจความเปราะบางในแววตาและสีหน้าของเขามากๆ



ทั้งนี้ ระหว่างการถ่ายทำในบาเซโลน่า แม็คดูกัลล์ ซึ่งเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง ถือโอกาสไปดูทีมบาเซโลน่าเตะในสนามคัมป์นูวด้วย (…)
.

12. ความยากเข็นของแม็คดูกัลล์ นอกจากต้องรับบทหลักอย่างคอนเนอร์ที่แบกหนังทั้งเรื่องไว้แล้ว เขายังต้องนั่งทำการบ้านเลขให้เสร็จในเวลาพักกองอีกด้วย (โถ…)



“เราถ่ายกันมาราธอนมากเลย สำหรับผมยิ่งยากเป็นพิเศษกว่านักแสดงผู้ใหญ่ พวกเขายังพอมีเวลาพักเมื่อไม่มีคิวถ่าย แต่ผมต้องนั่งทำการบ้านเลข” /เอ็นดู
.

13. เลียม นีสัน ชอบอกชอบใจในตัวแม็คดูกัลล์มาก เพราะในสายตานักแสดงรุ่นใหญ่อย่างเขานั้นย่อมเคยเจอนักแสดงเด็กที่เสียผู้เสียคนเพราะอุตสาหกรรมบันเทิงมาแล้ว แต่แม็คดูกัลล์ไม่ใช่ (ก็มันยังวิ่งไปดูนักบอลซ้อมบอลกันอยู่เลย)



“ผมเคยร่วมงานกับเด็กๆ ที่โดนธุรกิจนี้เล่นงาน จนเสียความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ไป แต่กับลูอิสนั้นไม่ใช่ เขายังเป็นเด็กไร้เดียงสา แต่ยังเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยมด้วย” เลียมชมเปาะ
.

14. หนังได้วง Keane สุดยอดวงอัลเทอร์เนทีฟร็อคจากเกาะอังกฤษมาทำเพลงประกอบให้ คือ Tear Up This Town ทั้งนี้ วงคีนและบาโยนาเคยทำงานร่วมกันมาก่อนแล้วในมิวสิควิดิโอเพลง Disconnected



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
.

15. เพื่อการถ่ายทอดอารมณ์ที่สมจริงที่สุด บาโยนา-ผู้กำกับเลยตัดสินใจเก็บสคริปต์ฉากสุดท้ายไว้เป็นความลับไม่ให้นักแสดงรู้จนกว่าจะถึงเวลาแสดงจริงๆ-นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหนังถึงเรียกอารมณ์คนดูได้ท่วมท้นสุดๆ



“คุณต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ แบบนี้เข้าซักวันอยู่แล้ว คอนเนอร์แค่ต้องเผชิญก่อนคนอื่นแค่นั้นเอง” ลูอิส แม็คดูกัลล์ กล่าวปิดท้ายถึงตัวละครคอนเนอร์ที่เขารับบท


ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ

Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่