คนที่ติดตามเรื่องหุ้นอยู่ คงพอรู้ว่ากำลังมีหุ้น IPO น้องใหม่เข้าเทรด 29 พ.ย. นี้
หุ้นตัวนี้เป็นสีสันแห่งปีเลยก็ว่าได้ เพราะทำธุรกิจ ‘ถุงยางอนามัย’ ภายใต้ชื่อ TNR หรือ บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ มีวางขายตามร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยาทั่วไป ฯลฯ
พูดอย่างงี้หลายคนอาจจะถามว่า หุ้นอะไรหว่า ชื่อไม่ค่อยคุ้น …. แต่ถ้าบอกว่าเป็นผู้ผลิตถุงยางยี่ห้อ Onetouch ละก็ คงพอร้องอ๋อออออ ขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะคุณหนุ่มๆ กลัดมันทั้งหลาย
ส่วนตัวผมสนใจหุ้นตัวนี้ เพราะรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่แตกต่างจากหุ้นตัวอื่น เนื่องจากยังไม่เคยมีบริษัทฯ ที่ทำธุรกิจแบบนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาก่อน (และยังเป็นโปรดักต์ที่ใกล้ตัวด้วย 5555+) … ไหนๆ อ่านไฟลิ่งมาละ เลยทำสรุปข้อมูลสำคัญ 7 ข้อสั้นๆ มาแชร์ในนี้กัน เผื่อไว้เป็นข้อมูลให้กับคนที่สนใจ ……
1. TNR ทำธุรกิจเกี่ยวกับถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น แบ่งเป็น 3 แบบ คือ
- ผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ตัวเองคือ Onetouch
- รับจ้างผลิตให้บริษัทอื่น ที่ดังๆ คือยี่ห้อ Playboy ที่มีขายในเมืองไทยด้วย
- เข้าร่วมประมูลงานผลิตถุงยางอนามัยให้บริษัทฯ ต่างๆ
2. ตลาดถุงยางอนามัยทั่วโลกโตขึ้นทุกปีๆ ละประมาณ 9.3% … ที่สำคัญคือ ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก โดย TNR เป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในไทย
3. รายได้ TNR เกิน 90% มาจากตลาด ตปท. โดยมีฐานลูกค้า 100 กว่าประเทศ และส่วนใหญ่ซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ และยิ่งช่วงนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่อ่อนค่าลง ย่อมจะเป็นผลดีกับบริษัทฯ ที่ส่งออกเยอะอย่าง TNR
4. ถุงยางอนามัยเป็นธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ มีมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด กว่าจะได้ใบอนุญาตนี่ใช้เวลาตรวจสอบคุณภาพอยู่หลายปี และยังต้องขอมาตรฐานจากแต่ละประเทศก่อนที่ผลิตและวางขายอีกด้วย จึงเป็นธุรกิจที่มี Barrier Entry สูงมาก!
5. เงินที่ได้จากการขาย IPO ส่วนหนึ่ง TNR จะถูกนำไปชำระหนี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยลดลง มีผลต้นทุนทางการเงินต่ำ และลดอัตราส่วน D/E หลัง IPO จะเหลือประมาณ 0.64 เท่า และสร้างโอกาสจากการทำกำไรจากธุรกิจให้มากขึ้น
6. TNR มีนโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
7. เป็นธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับการ ‘ยิ้ม’ (เรื่องอย่างว่า) เพราะฉะนั้น มั่นใจได้เลยว่า ยังไง๊ยังไง!!! ก็ไม่มีธุรกิจนี้ก็ไม่มีวันตาย (อันนี้ คหสต. นะฮะ 55555+)
แต่ถึงจะเป็นธุรกิจที่น่าสนใจขนาดไหน ความเสี่ยงก็ใช่ว่าไม่มีเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นธุรกิจที่มีมาตรฐานสูงมาก ดังนั้น การควบคุมคุณภาพของสินค้าที่ออกมาแต่ละชิ้น จึงเป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด
ยังไงใครมีข้อมูลอื่นที่น่าสนใจ มาแชร์เพิ่มเติมได้เลยนะครับ
(หรือจะแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าก็ได้
)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=76465
>> 7 ความเซ็กซี่ของหุ้นถุงยาง TNR <<
หุ้นตัวนี้เป็นสีสันแห่งปีเลยก็ว่าได้ เพราะทำธุรกิจ ‘ถุงยางอนามัย’ ภายใต้ชื่อ TNR หรือ บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ มีวางขายตามร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยาทั่วไป ฯลฯ
พูดอย่างงี้หลายคนอาจจะถามว่า หุ้นอะไรหว่า ชื่อไม่ค่อยคุ้น …. แต่ถ้าบอกว่าเป็นผู้ผลิตถุงยางยี่ห้อ Onetouch ละก็ คงพอร้องอ๋อออออ ขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะคุณหนุ่มๆ กลัดมันทั้งหลาย
ส่วนตัวผมสนใจหุ้นตัวนี้ เพราะรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่แตกต่างจากหุ้นตัวอื่น เนื่องจากยังไม่เคยมีบริษัทฯ ที่ทำธุรกิจแบบนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาก่อน (และยังเป็นโปรดักต์ที่ใกล้ตัวด้วย 5555+) … ไหนๆ อ่านไฟลิ่งมาละ เลยทำสรุปข้อมูลสำคัญ 7 ข้อสั้นๆ มาแชร์ในนี้กัน เผื่อไว้เป็นข้อมูลให้กับคนที่สนใจ ……
1. TNR ทำธุรกิจเกี่ยวกับถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น แบ่งเป็น 3 แบบ คือ
- ผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ตัวเองคือ Onetouch
- รับจ้างผลิตให้บริษัทอื่น ที่ดังๆ คือยี่ห้อ Playboy ที่มีขายในเมืองไทยด้วย
- เข้าร่วมประมูลงานผลิตถุงยางอนามัยให้บริษัทฯ ต่างๆ
2. ตลาดถุงยางอนามัยทั่วโลกโตขึ้นทุกปีๆ ละประมาณ 9.3% … ที่สำคัญคือ ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก โดย TNR เป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในไทย
3. รายได้ TNR เกิน 90% มาจากตลาด ตปท. โดยมีฐานลูกค้า 100 กว่าประเทศ และส่วนใหญ่ซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ และยิ่งช่วงนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่อ่อนค่าลง ย่อมจะเป็นผลดีกับบริษัทฯ ที่ส่งออกเยอะอย่าง TNR
4. ถุงยางอนามัยเป็นธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ มีมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด กว่าจะได้ใบอนุญาตนี่ใช้เวลาตรวจสอบคุณภาพอยู่หลายปี และยังต้องขอมาตรฐานจากแต่ละประเทศก่อนที่ผลิตและวางขายอีกด้วย จึงเป็นธุรกิจที่มี Barrier Entry สูงมาก!
5. เงินที่ได้จากการขาย IPO ส่วนหนึ่ง TNR จะถูกนำไปชำระหนี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยลดลง มีผลต้นทุนทางการเงินต่ำ และลดอัตราส่วน D/E หลัง IPO จะเหลือประมาณ 0.64 เท่า และสร้างโอกาสจากการทำกำไรจากธุรกิจให้มากขึ้น
6. TNR มีนโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
7. เป็นธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับการ ‘ยิ้ม’ (เรื่องอย่างว่า) เพราะฉะนั้น มั่นใจได้เลยว่า ยังไง๊ยังไง!!! ก็ไม่มีธุรกิจนี้ก็ไม่มีวันตาย (อันนี้ คหสต. นะฮะ 55555+)
แต่ถึงจะเป็นธุรกิจที่น่าสนใจขนาดไหน ความเสี่ยงก็ใช่ว่าไม่มีเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นธุรกิจที่มีมาตรฐานสูงมาก ดังนั้น การควบคุมคุณภาพของสินค้าที่ออกมาแต่ละชิ้น จึงเป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด
ยังไงใครมีข้อมูลอื่นที่น่าสนใจ มาแชร์เพิ่มเติมได้เลยนะครับ
(หรือจะแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าก็ได้ )
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้