[CR] (ภาค 3) รีวิว นิยายฝรั่ง อ่านฝึกภาษา อ่านง่าย อ่านยาก อ่านสนุก อ่านกันให้ฟินจิกหมอน

สวัสดีค่ะ
กลับมาอีกล่ะ กับภาค 3 ของกระทู้รีวิวชวนอ่านหนังสือ
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ อยากให้คนไทยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษกันเยอะๆ
และอยากให้ชาวพันทิปมาแชร์หนังสือที่ชอบกันอีก

สำหรับกระทู้ก่อนๆ:
กระทู้ภาค 1: http://ppantip.com/topic/35082238
กระทู้ภาค 2: http://ppantip.com/topic/35548291

ส่วนภาค3นี้ เอานิยายมารีวิวเพียบ  (9 เล่ม) จขกท. ได้อ่านหลังจากจบการรีวิวภาค 2 ไปเมื่อราวสิ้นเดือนสิงหา
ถือว่าสปีดการอ่านของตัวเองนั้นเร็วขึ้นมากอย่างน่าตกใจเหมือนกัน
(ยกความดีความชอบให้กับความพยายามฝึกอ่านอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนพัฒนาขึ้นนั่นเอง)


เอ้า อย่าพูดมากไป เริ่มกันเลย!


ป.ล.: ความยากง่ายของภาษา จขกท. วัดจากตัวเองค่ะ
โดยจขกท.ผ่านช่วงการฝึกภาษาอังกฤษมาหลายปี ตั้งแต่อยู่มัธยม
เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เรียนมหาวิทยาลัย เตรียมตัวสอบโทเฟล
จนมาถึงได้เรียนอยู่ต่างประเทศ และตอนนี้ก็เรียนจบ
จึงพอระบุได้ว่าช่วงภาษาอังกฤษในหนังสือเล่มไหนอยู่ในช่วงระดับไหน
(แต่หากท่านใดมีความรู้สึกว่าเล่มไหน ยากง่ายกว่าที่จขกท.บอก
ก็ช่วยกันแนะนำคอมเมนท์กันได้เลยค่ะ เป็นข้อมูลแก่ผู้อ่านท่านอื่นๆ)

ป.ล.2: จขกท.ชอปปิ้งหนังสือและอ่านผ่าน Kindle นะคะ
ใครสนใจอยากสอบถามว่าไอ้เครื่องนี่ใช้ยังไง ก็หลังไมค์มาถามกันได้เลย




1. "The Girl On The Train"

เริ่มกันที่เล่มแรก หนังสือหลายๆคนคงรู้จัก หรือ เคยได้ยินชื่อของเรื่องนี้กันมาแล้ว
เพิ่งมีภาพยนตร์ออกมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งหนังก็มีที่มาจากหนังสือขายดีเล่มนี้นี่เอง
ความโด่งดังของหนังสือก็น่าจะมาจากพล็อตเรื่องน่าสนใจอีกเช่นกัน
ซึ่งเกี่ยวกับตัวละครนำที่ดันไปเห็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเข้า
แต่ว่าตัวเองก็ดันติดเหล้าเมาจำความไม่ได้อยู่บ่อยๆ จนบางทีก็สงสัยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นฆาตกร…
ซึ่งสนุกดีค่ะ อาจไม่โดดเด่นเท่า Gone Girl แต่ก็พอถูไถ

ระดับภาษา: ถือว่าไม่ยากเลยค่ะ ปกติ จขกท.​ไม่ค่อยได้อ่านแนวสืบสวนสอบสวน
เพราะคิดว่าภาษาน่าจะอ่านยาก แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ยากแฮะ
ใครอยากลองอ่านแนวนี้ หรือชอบนิยายแนวสืบสวน ระทึกขวัญ แบบอ่านแล้ววางไม่ลง ก็ต้องเล่มนี้เลย




2. "November 9"

หนังสือรักโรแมนติกสุดดราม่า ที่เกี่ยวกับชนชาวอเมริกันที่ตื่นมารู้ผลการเลือกตั้งว่า
โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป…. เห้ยๆ ไม่ใช่ละ …. 

November 9 เป็นนิยายเล่มแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่ารีวิว 5 ดาวของ Amazon เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป 5555+
เพราะอ่านจบแล้วไม่ปลื้มเท่าไร แม้พล็อตเรื่องที่เกี่ยวกับ การได้พบกันโดยบังเอิญของชายหญิงที่คุยกันถูกคอ
แล้วสัญญากันว่าจะแยกย้ายกันไปตามล่าความฝัน แต่ให้มาอัพเดทชีวิตของกันและกันทุกๆวันที่ 9 พฤศจิกายน….
อาจจะฟังดูแปลกใหม่อยู่บ้าง แต่เราว่ามันเป็นหนังสือที่พล็อตเหนือจริงเกินไปหน่อย
ถ้าเทียบผลงานของนักเขียนเดียวกันนี้แล้ว It Ends With Us ที่รีวิวไปในกระทู้ภาค2 ดีกว่ามากค่ะ 

ระดับภาษา: ระดับง่าย-กลาง คนเริ่มต้นอ่านได้ คนอ่านถนัดแล้วอ่านดี




3. "The Absolutely True Diary of a Part-Time Indian"

เห็นรีวิวดี และบอกต่อกันมาว่าเป็นหนังสือที่ตล๊ก ตลก โหลดสิค่ะ ตอนนั้นอยาก อ่านเรื่องเกี่ยวกับคนอินเดียอยู่พอดี
เพราะชอบน้องในเพจ ตามติดชีวิตอินเดีย… คิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นแนวๆนั้น
อ่านจบไปสองบท…. เฮ้ย… นี่มันไม่ใช่เรื่องของคนอินเดีย แต่เป็นอินเดียนแดง o_O” 55555

เด็กชายชาวอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่ในเขตสงวน แต่เข้ามาเรียนในโรงเรียนมัธยมนอกเขตสงวนร่วมกับคนขาวทั่วๆไป
จึงเป็นที่มาของไดอารี่พาร์ทไทม์อินเดียน

ความชอบ: เป็นหนังสือที่ตลกจัง ถ้าเรามีเพื่อนที่พูดจาและคิดอะไรตลกๆ
แม้ในยามชีวิตไม่ตลกด้วยแบบตัวละครหลักของเรื่องนี่ชีวิตคงเพลินดีไม่น้อย… 

ระดับภาษา: ด้วยความที่หนังสือดำเนินเรื่องแบบการเขียนไดอารี่ เวลาเราเขียนไดอารี่ก็เหมือนเราเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง
นั่นแหละ คือสไตล์การเขียนของหนังสือเล่มนี้ ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษาพูดเล่าเรื่องแบบง่ายๆทั้งเล่ม
จำไปใช้คุยเล่นกับเพื่อนต่างชาติได้ และแม้สำนวนการเขียนจะไม่ยาก ซับซ้อน
เพราะเป็นภาษาพูด แต่ก็มีศัพท์เจ๋งๆให้จดเพียบ! เตรียมสมุดโน๊ตด่วนๆ



4. "The Five People You Meet in Heaven"

หนังสือดีอีกเล่มที่แนะนำให้คุณควรอ่าน ระดับภาษาที่เรียบง่าย ไม่หนามาก เล่มเล็กๆบางๆ
พกใส่กระเป๋าคูลๆอ่านบนรถไฟฟ้า รถเมล์แทนเล่นมือถือได้ 
เนื้อเรื่องแปลกใหม่ เล่าถึงเรื่องราวหลังความตายของผู้เฒ่าคนหนึ่ง
ที่ไปพบเจอกับบุคคลที่มีส่วนสำคัญในชีวิตของเขา โดยบางคนที่เขาไปพบก็ไม่ใช่คนที่
เคยพบเจอแต่อย่างใด แต่กลับเป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญในชีวิต ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมาคลายปมปริศนาในใจ
และไขความลับหลายๆอย่าง

สิ่งที่ชอบ: พล็อตแปลกใหม่ สอดแทรกปรัชญา และคำสอนเกี่ยวกับการใช้ชีวิต
น่าประทับใจ อ่านจบแล้วร้องไห้เพราะซึ้งอีกเช่นกัน 

ระดับภาษา: อ่านง่าย ศัพท์ไม่ยาก ภาษาสวยมากกกกกก แนะนำค่ะ




5. "Everything We Keep"

นิยายเล่มใหม่ที่เพิ่งวางแผนได้ไม่นานในฝั่งอเมริกา ราคาถูก แล้วได้รีวิวค่อนข้างสูง
ตอนนั้นไม่รู้จะอ่านอะไรเลยซื้อมาอ่านเล่นๆ…. แล้วเรื่องนี้ก็ทำให้จขกท. รู้อีกแล้วว่า
รีวิวสูงๆใน Amazon เชื่อไม่ได้จริงๆแฮะ! (หรือว่าเราเทสต่างกับคนอื่นเขาจริงๆ) 555 

สิ่งที่ชอบ: แม้พล็อตของเรื่องพอจะเอามาทำหนังได้บ้าง (หญิงสาวที่ต้องจัดงานศพให้ว่าที่สามี
ในวันแต่งงานของตัวเอง เพราะเจ้าบ่าวดันหายตัวไปในเม็กซิโก) แต่จขกท.กลับรู้สึกว่า ด้านมิติ
ของตัวละครค่อนข้างเรียบง่ายไปหน่อย และเดาตอนจบได้แต่แรกเลย…

ระดับภาษา: อ่านไม่ยากค่ะ แต่โทนเล่าเรื่องค่อนข้างเรียบๆ ไม่ค่อยมีสีสันชวนอ่านเท่าไร
แต่ถ้าใครอยากหาหนังสือง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เล่มนี้ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ




6. "The Couple Next Door"

นิยายสืบสวน สอบสวน ระทึกขวัญอีกเรื่องที่กำลังดังอยู่ใน Amazon และ Goodreads
โดยเป็นนิยายที่ไม่พูดร่ำทำเพลงมากนัก เปิดฉากมาก็เล่าถึงพ่อแม่ ทิ้งลูกทารกไว้ในเปลคนเดียว
แล้วตัวเองดันไปนั่งแฮงค์เอ้ากับคนข้างบ้าน กลับมาอีกที เอ้า ลูกหายไปล่ะ! 

สิ่งที่ชอบ: เป็นนิยายแนวสืบสวนที่ดำเนินเรื่องค่อนข้างไว และมีฉากพลิกล็อก หักมุก อยู่ตลอดเรื่อง
แต่จขกท. ไม่ปลื้มเท่าไร เพราะตัวละครหลัก ไม่ค่อยฉลาด เลยแอบอารมณ์เสียเวลาอ่าน 5555

ระดับภาษา: ระดับง่าย สำนวนการเขียนค่อนข้างเรียบๆ ง่ายๆ ใครชอบแนวนี้
และอยากฝึกอ่านนิยายภาษาอังกฤษ ลองดูได้นะจ๊ะ



7. "The Art of Racing in the Rain"

ขึ้นหิ้งเป็นอีกหนึ่งเล่มโปรดของจขกท. อ่านจบร้องไห้เพราะประทับใจ(อีกแล้ว)…
พออ่านหนังสือมากขึ้นก็ยิ่งเจอหนังสือถูกใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 

The Art of Racing in the Rain เป็นหนังสือที่มีสุนัขเป็นตัวเล่าเรื่อง เล่าเกี่ยวกับ
ครอบครัว อาชีพ รถแข่ง การจากลา และพรมลิขิต เป็นนิยายฟีลกู๊ดที่ให้อารมณ์เหมือนดู Marley&Me
แต่ไม่ได้รู้สึกว่าพล็อตซ้ำซากจำเจ ใครชอบแนวนี้ รีบคว้าด่วนค่ะ 

ด้านระดับภาษา: เล่มนี้จัดอยู่ในระดับกลาง มีคำศัพท์ที่น่าสนใจเยอะมาก
สำนวนการเขียนค่อนข้างจัดจ้าน ให้แง่คิดแนวเสียดสีสังคมและมุมมองดีๆเกี่ยวการใช้ชีวิต



8. "City of Thieves"

หลังจากอ่านแต่นิยายรักโรแมนติกมาหลายเล่ม จขกท.ก็เริ่มรู้สึกว่าควรอ่านอะไรที่ได้ความรู้บ้าง 555
เลยมองหานิยายอิงประวัติศาสตร์มาสักเล่ม จะอ่านเรื่องสงครามโลกในอังกฤษ ในฝรั่งเศสต่อก็เบื่อแล้ว
ลองดูชีวิตช่วงสงครามโลกในรัสเซียดูบ้างซิ จะเป็นไง….

 City of Thieves คือเรื่องราวชีวิตของสองหนุ่มผู้หิวโหยในเลนินกราด หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ในช่วงสงครามโลกที่คนทั้งเมืองขาดแคลนอาหาร ไม่มีอะไรจะกิน
ถึงขั้นต้องกินกาวสันหนังสือแทนขนม และกินเนื้อคน!

เนื้อหาฮาๆจึงเกิดขึ้นเมื่อสองหนุ่มดันไปทำผิดเล็กๆน้อยๆเข้าจนโดนจับ
และเกือบจะถูกประหาร แต่ดันมีนายพล(ใจดี รึเปล่า?) บอกว่าอย่าเพิ่ง
ข้าจะไม่ประหารพวกเอ็ง ถ้าพวกเอ็งไปหาไข่ไก่มาได้สักโหล!
เพราะนายพลแกกำลังเตรียมจัดงานแต่งงานให้ลูกสาว แต่ไข่ดันหมดเลนินกราด ไม่รู้จะทำเค้กแต่งงานยังไง 

ว่าแล้วสองหนุ่มจึงต้องออกเดินทางเสาะหาสิ่งที่หายากยิ่งกว่าทองมาให้ได้ โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน 

ผู้แต่งสุดหล่อ David Benioff ดีกรีเป็นอดีตการ์ดในไนท์คลับ ผู้เขียนบท และทีมผลิตซีรีส์ Games of Thrones
เกริ่นไว้ในบทนำแต่แรกว่าเรื่องราวทั้งหมดคือเรื่องของ คุณปู่เชื้อสายยิวชาวรัสเซียของตัวเองซะด้วย 

ความชอบ: ชอบเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของชาวรัสเซีย ยุคสงคราม มันโหดดีแท้,
ชอบความฮาของตัวละคร มุขตลกบ้าๆที่แฝงอยู่ทั้งเรื่อง เป็นหนังสืออีกเล่มที่ดำเนินเรื่องเร็ว
อ่านไปเหมือนกำลังดูหนังแอ็กชั่นมันส์ๆ

ระดับภาษา: ระดับกลาง แต่คำศัพท์ไม่ยากเกินค่ะ



9. "The Hating Game"

ปิดท้ายด้วยนิยายโรแมนติกร่วมสมัย ฟินจิกหมอนเล่มนี้กันค่ะ
The Hating Game น่าจะเหมาะกับสาวๆ หนุ่มๆ ออฟฟิสที่แอบชอบเพื่อนร่วมงานสุดฮอต
ที่ต่อหน้าทำเป็นเกลียดกัน แต่จริงๆแล้วแอบหื่นใส่กันแบบสุดๆ 55555
เนื้อเรื่องเบาสมอง ตัวละครหลักปากจัดชอบจิกกัดกันให้เจ็บแสบกันทั้งคู่ 

สิ่งที่ชอบ: มีมุขจีบผู้ชายเต็มไปหมดเลย แอบจำไปใช้กันได้ (เอ๊ะ!) 
ระดับภาษา: ค่อนข้างเป็นภาษาวัยรุ่นค่ะ อาจทำให้อ่านยากอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ใครอยากฝึกภาษาและอยากฟิน ก็เลือกเล่มนี้เลย


เอ้า จบแล้วจ้า คราวนี้มายาวเหยียด
สงสัยอะไร คอมเม้น ไม่ก็หลังไมค์มากันได้เลย ยิ้ม
ชื่อสินค้า:   หนังสือ Kindle
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่