ไม่เพียงแต่ผู้คนอเมริกาที่เริ่มเอียนกับสื่อที่เสนอข่าวอย่างไม่ตรงไปตรงมาแล้วนั้น แม้แต่คนที่ต้องโอ๋สื่ออย่างประธานาธิปดีที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นได้หันไปใช้สื่อออนไลน์แทนอย่างเช่น Facebook Tweet Youtube เป็นสื่อหลักในการสื่อสารกับประชาชนแทนการจัดงานแถลงข่าว เช่น
แถลงนโยบายที่จะทำเมื่อเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
แถลงการวันขอบคุณพระเจ้า
ล่าสุดคุณทรัมป์ได้เรียกสื่อเข้าไปเชือดนิ่มๆ
"Trump started with [CNN chief] Jeff Zucker and said I hate your network, everyone at CNN is a liar and you should be ashamed." the report said quoting a source.
"The meeting was a total disaster. The TV executives and anchors went in there thinking they would be discussing the access they would get to the Trump administration, but instead they got a Trump-style dressing down," the source added.
http://indiatoday.intoday.in/story/trump-meets-tv-executives-journos-calls-them-deceitful-liars/1/816570.html
ซึ่งเรื่องที่สื่อกระแสหลักกำลังปั่นกันอยู่อย่าง "ข่าวปลอม" ก็โดนตั้งคำถามและกลายเป็นเรื่องย้อนกลับไปทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อกระแสหลักเสียเอง
แม้แต่ผู้ที่อยู่ในสื่อกระแสหลักบางคนเองก็เริ่มรู้สึกตัวกันแล้วว่าพวกเขานั้นกำลังเจอกับวิกฤติความน่าเชื่อถือ
แม้ว่าเรื่องนี้ไม่พึ่งเกิดขึ้นแต่ว่าผมเห็นเค้าลางมาตั้งแต่สมัย Gamer Gate ซึ่งเป็นเหมือนสงครามข่าวสารย่อยๆ ก่อนจะมาเริ่มของใหญ่อย่าง Brexit และมาสุดๆ กันที่การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา
ถ้าท่านใดได้ตาม 3 เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นและเสพย์ข่าวจากสื่อเล็กสื่อใหญ่ประกอบกันจะพบว่าทั้ง 3 เรื่องนั้นมีรูปแบบเหมือนกันเป๊ะ ทั้งเรื่องที่สื่อรวมหัวกันเสนอข่าวในทางเดียว การโจมตีด้วยเรื่องเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ตลอดไปจนถึงเรื่องเหยียดคนจนคนรวย คนเรียนจบสูงคนเรียนจบต่ำ และการมีกลุ่มคนหนุ่มสาวออกมาเคลื่อนไหว
อย่างในช่วง Brexit เอง BBC ก็เรียกได้ว่าเสียรางวัดไปเยอะจนตอนนี้จากสื่อที่คนเคยเชื่อมั่นกลับเป็นสื่อที่คนอังกฤษจำนวนไม่น้อยนั้นคลางแคลงสงสัยในข้อความข่าวสารที่นำเสนอ แม้แต่ Al Jazeera อังกฤษเองก็ไม่พ้นนักจากทั้ง 2 เรื่องใหญ่ๆ นี้
กลายเป็นว่าตอนนี้ช่องข่าวเล็กที่นำเสนอบน Youtube นั้นกลับได้รับความนิยมขึ้นอย่างมาก แถมการบอกผู้สัมภาษณ์ว่าตนนั้นไม่ได้มาจากสื่อกระแสหลักกลับช่วยทำให้คนกล้าพูดกับนักข่าวมากยิ่งขึ้น
ยิ่งการกีดกันสื่อเหล่านี้จากการทำข่าวยิ่งทำให้พวกเขาได้รับความน่าเชื่อถือจากคนดูมากยิ่งขึ้น
เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับผมว่าสื่อกระแสหลักจะทำยังไงต่อในเมื่อสื่อกระแสหลักนั้นกำลังจะถูกลดบทบาทลงและอาจจะไม่ได้เป็นสื่อกระแสหลักอีกแล้วในอีก 20 ปีในอนาคต
วิกฤติสื่อกระแสหลักในสหรัฐอเมริกา เมื่อแม้แต่ประธานาธิปดีที่ได้รับการเลือกตั้งนั้น เมิน
แถลงนโยบายที่จะทำเมื่อเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
แถลงการวันขอบคุณพระเจ้า
ล่าสุดคุณทรัมป์ได้เรียกสื่อเข้าไปเชือดนิ่มๆ
"The meeting was a total disaster. The TV executives and anchors went in there thinking they would be discussing the access they would get to the Trump administration, but instead they got a Trump-style dressing down," the source added.
ซึ่งเรื่องที่สื่อกระแสหลักกำลังปั่นกันอยู่อย่าง "ข่าวปลอม" ก็โดนตั้งคำถามและกลายเป็นเรื่องย้อนกลับไปทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อกระแสหลักเสียเอง
แม้แต่ผู้ที่อยู่ในสื่อกระแสหลักบางคนเองก็เริ่มรู้สึกตัวกันแล้วว่าพวกเขานั้นกำลังเจอกับวิกฤติความน่าเชื่อถือ
แม้ว่าเรื่องนี้ไม่พึ่งเกิดขึ้นแต่ว่าผมเห็นเค้าลางมาตั้งแต่สมัย Gamer Gate ซึ่งเป็นเหมือนสงครามข่าวสารย่อยๆ ก่อนจะมาเริ่มของใหญ่อย่าง Brexit และมาสุดๆ กันที่การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา
ถ้าท่านใดได้ตาม 3 เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นและเสพย์ข่าวจากสื่อเล็กสื่อใหญ่ประกอบกันจะพบว่าทั้ง 3 เรื่องนั้นมีรูปแบบเหมือนกันเป๊ะ ทั้งเรื่องที่สื่อรวมหัวกันเสนอข่าวในทางเดียว การโจมตีด้วยเรื่องเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ตลอดไปจนถึงเรื่องเหยียดคนจนคนรวย คนเรียนจบสูงคนเรียนจบต่ำ และการมีกลุ่มคนหนุ่มสาวออกมาเคลื่อนไหว
อย่างในช่วง Brexit เอง BBC ก็เรียกได้ว่าเสียรางวัดไปเยอะจนตอนนี้จากสื่อที่คนเคยเชื่อมั่นกลับเป็นสื่อที่คนอังกฤษจำนวนไม่น้อยนั้นคลางแคลงสงสัยในข้อความข่าวสารที่นำเสนอ แม้แต่ Al Jazeera อังกฤษเองก็ไม่พ้นนักจากทั้ง 2 เรื่องใหญ่ๆ นี้
กลายเป็นว่าตอนนี้ช่องข่าวเล็กที่นำเสนอบน Youtube นั้นกลับได้รับความนิยมขึ้นอย่างมาก แถมการบอกผู้สัมภาษณ์ว่าตนนั้นไม่ได้มาจากสื่อกระแสหลักกลับช่วยทำให้คนกล้าพูดกับนักข่าวมากยิ่งขึ้น
ยิ่งการกีดกันสื่อเหล่านี้จากการทำข่าวยิ่งทำให้พวกเขาได้รับความน่าเชื่อถือจากคนดูมากยิ่งขึ้น
เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับผมว่าสื่อกระแสหลักจะทำยังไงต่อในเมื่อสื่อกระแสหลักนั้นกำลังจะถูกลดบทบาทลงและอาจจะไม่ได้เป็นสื่อกระแสหลักอีกแล้วในอีก 20 ปีในอนาคต