ผมทำงานมาสองที่และต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ทั้งสองที่
ที่แรก ผมทำเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นอยู่โรงงานแห่งหนึ่ง ก็มีเพื่อนที่เข้างานพร้อมกันกับผมอีก 2 คน รวมเป็น 3 คนหนึ่งเป็นเพื่อนตอนมหา'ลัยของผม อีกคนก็เพิ่งมารู้จักที่นี่ และเป็นเพื่อนที่ผมคิดว่าผมสนิทที่สุด เพราะเราหัวอกเดียวกันตรงที่รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับที่ทำงานเหมือนกัน มีปัญหาเรื่องโดนนายญี่ปุ่นว่าเหมือนกัน มีความคิดที่จะลาออกเหมือนกัน (ตอนนั้นยังไม่ผ่านโปรด้วย)
สุดท้าย ด้วยการทำงานของเขา เวลาเข้างาน และการลาหยุดของเขามันก็ส่งผลให้เขาไม่ผ่านโปร ในขณะที่ผมกับเพื่อนที่ว่าจบจากมหา'ลัยเดียวกันสามารถรอดมาได้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เพราะอย่างที่บอกว่าผมสนิทกับเขาที่สุด เวลามีปัญหาเรื่องงานก็มาคอยปรับทุกข์ ระบายกันได้ ทุกเช้าเลยผมจะต้องมานั่งคอยเขาข้างล่าง เพราะจะได้มีเพื่อนคุย ขนาดแค่เขาลาหยุดเฉย ๆ ผมยังเหงาเลยเพราะไม่มีใครให้คุย แล้วนี่เขาจะต้องไปแล้วไปลับไม่กลับมาบริษัทนี้อีกแล้ว ผมจะทำยังไง กับเพื่อนมหา'ลัยไม่ใช่ไม่สนิทนะ แต่คือสำหรับเรื่องงาน ณ ตอนนั้นผมเห็นว่าเขาไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนผมกับเพื่อนคนนั้น เห็นเขาค่อนข้างโอเคกับงาน กับนายญี่ปุ่น ก็เลยไม่ค่อยได้ระบายหรือปรับทุกข์ด้วยเท่าไร
พอลาออกจากที่นั่น ผมก็ได้งานใหม่เป็นล่ามที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก็มีเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่เข้างานพร้อมกัน ก็แน่นอนแหละว่าสนิทกัน เพราะต้องผ่านการอบรมด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนคำศัพท์หรือความรู้กันจากการที่ได้ตามดูล่ามรุ่นพี่ไปแปลตามแผนกต่าง ๆ ผมเห็นเข้าตั้งใจมากนะ ไม่ได้จดแค่ศัพท์ แต่ถึงขั้นจดประโยคที่หมอพูดมาแบบละเอียดพร้อมคำแปลเลย ตลอดเวลาก็เห็นเขานั่งท่องศัพท์ท่องประโยคที่จดมา แต่ขอบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เคยเห็นเขาแปลเลย ไม่ใช่อะไร เพราะเวลาตามรุ่นพี่ มันตามไปพร้อมกันสองคนไม่ได้ ก็ต้องแยกกันไป ผมก็เลยไม่รู้ว่าเขาเก่งแค่ไหน
จนเข้าเดือนที่ 3 ที่จะถึงกำหนดผ่านโปร ผมโดนรุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าเตือนให้พยายามมากกว่านี้ เพราะผมยังแปลไม่ค่อยดี ไม่ค่อยได้เลย แล้วเขาก็พูดให้ผมเสียวหลายครั้งว่าอาจจะไม่ผ่าน ผมก็เครียดนะ เพราะผมค่อนข้างโอเคกับที่นี่มากกว่าที่ทำงานเดิม ถึงได้ลาออกมาไง แล้วยังไม่ได้เตรียมการหางานใหม่เลย จะทำไงดี แต่ช่วงนั้นผมก็พยายามปรับ เวลาแปลให้รุ่นพี่ดูผมก็พยายามตั้งสติมากขึ้น อะไรที่เคยพลาด เคยโดนรุ่นพี่ติผมก็พยายามแก้ไขมันให้ดีขึ้น จนคำพูดของพี่เริ่มเปลี่ยนไปจากที่อาจจะไม่ผ่าน เป็นแบบว่าน่าจะผ่าน สุดท้ายผมก็ผ่านช่วงแห่งความเป็นความตายมาได้
แต่เพื่อนคนนั้นเขาก็ต้องจากไปอย่างน่าเสียดาย ความรู้สึกเดิมมันกลับมาอีกแล้ว คือต่อไปนี้จะคุย จะระบาย จะแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องงานกับใคร คือตอนนั้นผมก็ยังไม่สนิทกับพวกล่ามรุ่นพี่มากนัก คือคุยได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่สนิทถึงขั้นจะคุยสนุกสนานเฮฮา (แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว) ตอนหลังผมก็ทราบว่าเขาได้งานใหม่แล้ว และดูท่าทางเขาจะโอเคกับที่นั่นด้วย ก็ยินดีกับเข้าด้วย
คุณรู้สึกยังไงกับการที่ต้องเห็นเพื่อนที่เข้างานพร้อมกันไม่ผ่านโปร
ที่แรก ผมทำเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นอยู่โรงงานแห่งหนึ่ง ก็มีเพื่อนที่เข้างานพร้อมกันกับผมอีก 2 คน รวมเป็น 3 คนหนึ่งเป็นเพื่อนตอนมหา'ลัยของผม อีกคนก็เพิ่งมารู้จักที่นี่ และเป็นเพื่อนที่ผมคิดว่าผมสนิทที่สุด เพราะเราหัวอกเดียวกันตรงที่รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับที่ทำงานเหมือนกัน มีปัญหาเรื่องโดนนายญี่ปุ่นว่าเหมือนกัน มีความคิดที่จะลาออกเหมือนกัน (ตอนนั้นยังไม่ผ่านโปรด้วย)
สุดท้าย ด้วยการทำงานของเขา เวลาเข้างาน และการลาหยุดของเขามันก็ส่งผลให้เขาไม่ผ่านโปร ในขณะที่ผมกับเพื่อนที่ว่าจบจากมหา'ลัยเดียวกันสามารถรอดมาได้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เพราะอย่างที่บอกว่าผมสนิทกับเขาที่สุด เวลามีปัญหาเรื่องงานก็มาคอยปรับทุกข์ ระบายกันได้ ทุกเช้าเลยผมจะต้องมานั่งคอยเขาข้างล่าง เพราะจะได้มีเพื่อนคุย ขนาดแค่เขาลาหยุดเฉย ๆ ผมยังเหงาเลยเพราะไม่มีใครให้คุย แล้วนี่เขาจะต้องไปแล้วไปลับไม่กลับมาบริษัทนี้อีกแล้ว ผมจะทำยังไง กับเพื่อนมหา'ลัยไม่ใช่ไม่สนิทนะ แต่คือสำหรับเรื่องงาน ณ ตอนนั้นผมเห็นว่าเขาไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนผมกับเพื่อนคนนั้น เห็นเขาค่อนข้างโอเคกับงาน กับนายญี่ปุ่น ก็เลยไม่ค่อยได้ระบายหรือปรับทุกข์ด้วยเท่าไร
พอลาออกจากที่นั่น ผมก็ได้งานใหม่เป็นล่ามที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก็มีเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่เข้างานพร้อมกัน ก็แน่นอนแหละว่าสนิทกัน เพราะต้องผ่านการอบรมด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนคำศัพท์หรือความรู้กันจากการที่ได้ตามดูล่ามรุ่นพี่ไปแปลตามแผนกต่าง ๆ ผมเห็นเข้าตั้งใจมากนะ ไม่ได้จดแค่ศัพท์ แต่ถึงขั้นจดประโยคที่หมอพูดมาแบบละเอียดพร้อมคำแปลเลย ตลอดเวลาก็เห็นเขานั่งท่องศัพท์ท่องประโยคที่จดมา แต่ขอบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เคยเห็นเขาแปลเลย ไม่ใช่อะไร เพราะเวลาตามรุ่นพี่ มันตามไปพร้อมกันสองคนไม่ได้ ก็ต้องแยกกันไป ผมก็เลยไม่รู้ว่าเขาเก่งแค่ไหน
จนเข้าเดือนที่ 3 ที่จะถึงกำหนดผ่านโปร ผมโดนรุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าเตือนให้พยายามมากกว่านี้ เพราะผมยังแปลไม่ค่อยดี ไม่ค่อยได้เลย แล้วเขาก็พูดให้ผมเสียวหลายครั้งว่าอาจจะไม่ผ่าน ผมก็เครียดนะ เพราะผมค่อนข้างโอเคกับที่นี่มากกว่าที่ทำงานเดิม ถึงได้ลาออกมาไง แล้วยังไม่ได้เตรียมการหางานใหม่เลย จะทำไงดี แต่ช่วงนั้นผมก็พยายามปรับ เวลาแปลให้รุ่นพี่ดูผมก็พยายามตั้งสติมากขึ้น อะไรที่เคยพลาด เคยโดนรุ่นพี่ติผมก็พยายามแก้ไขมันให้ดีขึ้น จนคำพูดของพี่เริ่มเปลี่ยนไปจากที่อาจจะไม่ผ่าน เป็นแบบว่าน่าจะผ่าน สุดท้ายผมก็ผ่านช่วงแห่งความเป็นความตายมาได้
แต่เพื่อนคนนั้นเขาก็ต้องจากไปอย่างน่าเสียดาย ความรู้สึกเดิมมันกลับมาอีกแล้ว คือต่อไปนี้จะคุย จะระบาย จะแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องงานกับใคร คือตอนนั้นผมก็ยังไม่สนิทกับพวกล่ามรุ่นพี่มากนัก คือคุยได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่สนิทถึงขั้นจะคุยสนุกสนานเฮฮา (แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว) ตอนหลังผมก็ทราบว่าเขาได้งานใหม่แล้ว และดูท่าทางเขาจะโอเคกับที่นั่นด้วย ก็ยินดีกับเข้าด้วย