[CR] *** Four Days in Taipei ไปไต้หวันกี่ครั้งก็ยังไม่พอ (3) ***

อ่านรีวิวตอนแรกได้ที่ http://ppantip.com/topic/35831187
อ่านรีวิวตอนที่สองได้ที่ http://ppantip.com/topic/35832582


ตอนที่สาม (22 ตุลาคม 2559) : Beitou – Ruifang - Jiufen

         วันนี้โปรแกรมคร่าวๆ ก็คือเช้านี้เดินเที่ยวแถวๆ เป่ยโถว (Beitou)  เที่ยงเช็คเอาท์โรงแรม แล้วบ่ายก็เดินทางไปจิ่วเฟิ่น (Jiufen) โดยตั้งใจว่าจะไปนอนค้างที่จิ่วเฟิ่น

         ที่แรกที่ไปในเป่ยโถว (จริงๆ ต้องพูดว่า Xinbeitou มากกว่า) ก็คือห้องสมุดเป่ยโถว (Beitou Library) เป็นห้องสมุดที่มีการออกแบบได้เรียบง่าย งดงาม และกลมกลืน ที่ว่ากลมกลืนก็คือเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเห็นการใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่เป็นทั้งกระจก ไม้ และเหล็กที่สอดประสานกันอย่างลงตัว


ก่อนจะเข้าไปถ่ายภาพในอาคารจะต้องลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ก่อน


มีระเบียงให้ออกมาเดินเล่น


อาคารสูงที่อยู่ใกล้ๆ ที่ผมถ่ายจากระเบียง


หนังสือสอนเขียนโปรแกรมกับชั้นหนังสือหมวดศาสนา


บรรยากาศภายในห้องสมุด







จุดต่อระหว่างไม้และเหล็ก


มีมุมหนังสือภาษาไทยด้วย


มีการจัดแบ่งพื้นที่ได้น่าสนใจ เช่น บริเวณเล่านิทาน ห้องให้นมลูก etc.


ภาพวาดที่ฝาผนัง


         หลังจากใช้เวลาที่ห้องสมุดนานพอสมควร เดินออกมาภายนอกห้องสมุดแล้วก็ต้องตกใจ ผู้คนมาทำอะไรกันแถวห้องสมุด หยุดดูจึงรู้ว่าเป็นเพราะพวกเขากำลังตามล่าโปเกม้อน


ออกจากห้องสมุดเดินผ่านเดินผ่านน้ำตกเล็กๆ



แล้วมาหยุดที่อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ เอ๊ นี่อะไร อ๋อ Beitou Hot Spring Museum นั่นเอง






         ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่พูดถึงเรื่องบ่อน้ำร้อนในเป่ยโถว ในอดีตอาคารนี้เป็นที่อาบน้ำสาธารณะ (ออนเซ็น) แห่งแรกในไต้หวันที่ถูกสร้างขึ้นโดยญี่ปุ่นในปี 1913 ในยุคนั้นถือว่าเป็น Onsen สาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเลยก็ว่าได้ แต่ต่อมาภายหลัง (หลังสงครามโลกครั้งที่สอง) ถูกทิ้งร้างเนื่องจากไม่ได้รับความนิยม จนกระทั่งถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับบ่อน้ำร้อนในปัจจุบัน

ทางเข้าด้านหน้าอาคาร เข้าฟรี เปิดวันอังคารถึงวันอาทิตย์ 9.00 – 17.00 น.


ชั้นบนเป็นโถงกว้าง ชั้นล่างแสดงให้เห็นบ่ออาบน้ำในอดีต







กระจกเป็น Stained Glass สีสดใสสวยงามดี




         ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เดินต่อไป ตั้งใจจะไปดูบ่อน้ำแร่ธรรมชาติที่ Thermal Valley แต่เดินไปได้สักพักคุณภรรยายกธงขาวยอมแพ้ เพราะแดดจัดและอากาศก็ร้อนพอๆ กับเมืองไทย ขอกลับโรงแรมอาบน้ำอีกครั้งและจัดกระเป๋าเตรียมตัวเช็คเอาท์เพื่อออกเดินทางดีกว่า การจัดกระเป๋าวันนี้ต้องแยกของออกมาใส่เป้ไว้เพราะจะไปค้างที่จิ่วเฟิ่น จะฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่สถานีรถไฟจะได้เดินทางได้คล่องตัว

ระหว่างทางที่เดินไป Thermal Valley





         เมื่อปีที่แล้วตอนที่มาจิ่วเฟิ่นผมเดินทางมาจากไทเปด้วยรถบัส แต่คราวนี้ตัดสินใจว่าน่าจะลองเปลี่ยนมาใช้รถไฟดูบ้าง คือผมนั่ง MRT จากเป่ยโถวมาที่ Taipei Main Station เนื่องจากเลยเวลาเที่ยงแล้วก็เลยซื้ออาหารกล่องที่สถานีตั้งใจว่าจะไปกินบนรถไฟ ตอนจะลงไปชานชลาถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าอีกสิบนาทีรถไฟจะมา เป็นรถเร็วด้วย โชคดีจัง ลงไปที่ชานชลายืนรอกว่าสิบนาทีแต่ก็ไม่มีรถไฟจอด เมื่อห้านาทีที่แล้วมีรถไฟผ่านมาหนึ่งขบวนแต่ไม่ได้จอดก็เลยเริ่มงงๆ ว่ามันยังไงกันแน่ แต่ดูไปดูมาสงสัยว่าจุดที่เรายืนรออยู่นั้นมันอาจไกลเกินไป รถไฟที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกี๊มันเป็นขบวนสั้นๆ หรือว่าเมื่อกี๊มันจอดอยู่ตรงโน้น เราก็เลยไม่รู้ สรุปว่าเราไม่ได้ไปรถไฟเที่ยวนั้น ต้องรอไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมง โชคดีที่พบสตรีชาวไต้หวันภรรยาผมส่งภาษาจีนกลางแบบกระท่อนกระแท่นพอรู้เรื่องได้ความว่าเขาก็จะไปจุดหมายเดียวกัน สถานีที่เรากำลังจะไปไม่ใช้จิ่วเฟิ่น รถไฟไปไม่ถึงจิ่วเฟิ่นเราต้องไปลงที่เร่ยฟาง (Ruifang) แล้วนั่งรถบัสต่ออีก 15 นาทีไปจิ่วเฟิ่น เป็นการเดินทางที่ยากลำบากเพราะรถไฟที่จะไปเร่ยฟางคนค่อนข้างแน่น และเป็นรถธรรมดาซึ่งใช้เวลาเดินทางช้ากว่าขบวนที่ผมพลาดไป วันนั้นกว่าจะไปถึงจิ่วเฟิ่นก็เกินบ่ายสาม มื้อกลางวันไม่ทันได้กิน ต้องไปกินกันหลังจากเข้าเช็คอินที่พักในจิ่วเฟิ่นแล้ว ที่พักคืนนื้ที่จองไว้เป็น Bed & Breakfast ที่อยู่ในตลาดโบราณ ค่าห้องคืนละ 2,200 บาท ห้องที่จองเป็นห้องที่อยู่บนชั้นสามดูแล้วคิดว่าเดิมคงเป็นดาดฟ้าแล้วมากั้นห้องเพิ่มทีหลัง เป็นห้องที่มองเห็นทะเลอยู่ไกลๆ แต่กระจกไม่สามารถเปิดได้ ถ่ายผ่านกระจกก็ไม่ชัดเพราะกระจกไม่สะอาด

         ทานมื้อกลางวัน (อาหารกล่องที่ซื้อมา) ตอนบ่ายสามกว่า หลังจากนั้นก็ไปเดินตลาดโบราณ (หรือถนนสายเก่าจิ่วเฟิ่น) จิ่วเฟิ่นเคยรุ่งเรืองมากในอดีต (ยุคอาณานิคมญี่ปุ่น) เพราะย่านนั้นมีการทำเหมืองทองแต่ปัจจุบันได้ผันตัวมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมเพราะเสน่ห์ของตลาดในถนนสายเก่าจิ่วเฟิ่น จุดเด่นของถนนสายนี้อยู่ตอนที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  แล้วโคมไฟกระดาษสีแดงที่ประดับประดาอยู่หน้าร้านต่างก็สว่างขึ้นมา ถ้าใครเคยดูหนังแอนิเมชั่นเรื่อง Spirited Away ของ Studio Ghibli จะเห็นฉากทำนองนี้เพราะที่นี่คือแรงบันดาลที่ทำให้ผู้กำกับ มิยาซากิ ฮายาโอะ ทำภาพเหล่านั้นขึ้นมา เรามาดูภาพที่จิ่วเฟิ่นยามพลบค่ำกันดีกว่า

เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า






         มาจิ่วเฟิ่นทั้งทีถ้ามีเวลาก็ควรจะไปนั่งดื่มน้ำชาชมวิวรอบๆ นั้น เคยได้ยินมาว่าร้านน้ำชาที่ชื่อว่า A Mei Tea House เป็นร้านที่โด่งดัง เดินไปถามคนไปจนพบร้านน้ำชาที่ว่านี้ โชคดีที่ไม่มีคิวไปถึงก็ได้ขึ้นไปชั้นบนเลย เขาคิดหัวละ 300 $ (330 บาท) ซึ่งเขาจะมีใบชามาให้เราจำนวนหนึ่ง เขาสาธิตให้เราดูว่าสามารถแบ่งชาออกมาได้สามส่วน แต่ละส่วนนำไปชงได้ห้าน้ำ (ห้าครั้ง หรือห้ากา) เขาสาธิตวิธีชงให้ดูด้วย และมีขนม 3-4 อย่างให้ทานกับน้ำชา







ภาพโคมแดงประดับประดาร้านน้ำชายามค่ำคืน




         บทเรียนที่ได้รับก็คือจริงๆ แล้วผมควรจะไปนั่งอยู่ร้านอาหารที่อยู่ตรงกันข้ามกับร้านน้ำชา จะดีกว่าเพราะว่าได้เห็นภาพร้านน้ำชาแบบเต็มๆ ไม่ต้องมาเบียดเสียดผู้คนแย่งกันถ่ายรูปแบบที่เห็นในภาพบนนี้


เดินเบียดเสียดกับผู้คนจนหมดแรงแล้วจึงกลับที่พัก นอนหลับฝันดี อามิตตาพุทธ Good Night.



ชื่อสินค้า:   ถนนสายเก่าจิ่วเฟิ่น
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่