ทริปตะเวนเดี่ยวเที่ยวเวียงเชียงใหม่ต่อเวียงลำพูนของผม โดยเน้นเช่ารถมอเตอร์ไซค์ตะเวนขี่เที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมไม่เคยไปตามแผนที่วางไว้ โดยเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเชียงใหม่ และในย่านตัวเมืองเชียงใหม่และลำพูนเป็นหลัก การเที่ยวของผมในครั้งนี้ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดเชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมปักเป็นหมุดหมายของการเดินทาง เพราะสถานที่เหล่านั้นผมไปเที่ยวมาหลายรอบแล้วตลอดเวลาที่เที่ยวเชียงใหม่มาราว 20 ปี กระทู้นี้จึงเป็นการนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้อ่านกระทู้เผื่อใครสนใจอยากแวะไปชมบ้างฆ่าเวลาระหว่างเดินทางไปชมสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่นำเสนอนี้บางแห่งก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไปแล้วในปัจจุบัน บางแห่งกำลังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว แต่กลับบางแห่งนักท่องเที่ยวหลายคนแทบไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่และตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน การเดินทางเที่ยว 2 เมืองของภาคเหนือในครั้งนี้ผมใช้ช่วงเวลาปลายเดือนตุลาคม 2559 ที่เป็นวันหยุดทำงานของผมในการเดินทาง ผมวางแผนเที่ยวตั้งแต่เดือนสิงหาคม จองตั๋วเครื่องบินในราคาประหยัด และโรงแรมที่พักเสียแต่เนิ่น ๆ ซึ่งก็เป็นผลดีทำให้เราไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีที่พัก และมีตั๋วเดินทางรึเปล่า
สำหรับทริปการเดินทางท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ใช้เวลา 4 วัน แบ่งสถานที่ท่องเที่ยวออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
วันที่ 1 - 2 : เดินทางถึงเมืองเชียงใหม่ ขี่รถเที่ยวตามรอยเส้นทางธรณีวิทยาลำน้ำปิง
วันที่ 3 - 4 : ขี่รถเที่ยวตามรอยเส้นทางโบราณคดีหริภุญชัยและล้านนา และเดินทางกลับ
สรุปค่าใช้จ่ายในทริปการเดินทางเที่ยวเวียงเชียงใหม่ต่อเวียงลำพูน เป็นเงิน 10,884 บาท
- ค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ 1,837 บาท
- ค่าโรงแรมที่พัก 3 คืน 3,600 บาท
- ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยว + น้ำมัน 4 วัน 1,415 บาท
- ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 4,032 บาท
(ค่ากิน + ค่าทำบุญ + ค่าเข้าชมสถานที่ + ค่าซื้อของฝากของที่ระลึก + ค่ายา + ค่าไปรษณีย์ + ค่ารถเดินทางกลับ)
เรียกว่าทริปนี้รายจ่ายสูงกว่าไปเที่ยวพม่า 9 วันเสียอีกเพราะค่าครองชีพที่จังหวัดเชียงใหม่แพงกว่าที่ประเทศพม่าที่เพิ่งไปเที่ยวกลับมา อีกอย่างผมเป็นคนชอบซื้อของฝากของที่ระลึกเยอะด้วยรอบนี้ ไหนจะเช่าพระธาตุมาบูชาอีกรวม ๆ กันก็เลยใช้จ่ายเงินรอบนี้สูงหน่อย แต่คิดว่าให้กำไรกับชีวิตในช่วงพักผ่อนก่อนเริ่มทำงานใหม่ครับ
วันที่ 1 : เดินทางถึงเมืองเชียงใหม่ และขี่รถเที่ยวตามรอยเส้นทางธรณีวิทยาลำน้ำปิง
ผมนั่งเครื่องบินของเจ้าหางแดงที่นักท่องเที่ยวชอบในราคาประหยัดไปลงสนามบินเชียงใหม่ในรอบสาย เครื่องบินออกจากสนามบินดอนเมืองราว ๆ 10 โมงเช้า บินแค่ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงแล้วสนามบินเชียงใหม่ รวดเร็วทันใจนั่งยังไม่เมื่อยตูดเลยก็ถึงแล้ว ดีกว่านั่งแช่นอนแช่จนพลิกตูดไปหลายตลบบนรถบัสก็ยังไม่ถึงซะที
มาถึงสนามบินเชียงใหม่ในเวลาเกือบเที่ยงตรง แดดเปรี้ยงเลย ก่อนมาถึงเชียงใหม่ผมได้ติดต่อให้ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ชื่อ
"ไบกี้ (Bikky)" ที่ตั้งอยู่แถวถนนห้วยแก้วในเมืองเชียงใหม่เอารถมาส่งให้ผมที่สนามบินที ผมจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวพขี่ตะลอนเที่ยวตลอด 4 วันในทริปนี้ พร้อมหมวกกันน็อตที่มีพลาสติกปิดหน้าด้วย ตอนแรกร้านนี้จะคิดค่าส่งรถที่สนามบิน 50 บาท และคิดค่าหมวกกันน็อตที่มีพลาสติกปิดหน้าอีก 100 บาท และผมขอส่งรถช้า 2 ช.ม. เพราะไฟล์บินวันกลับของผมบินบ่าย 3 โมง แต่ตอนแรกทางร้านจะคิดเงินผมเพิ่มอีกชั่วโมงละ 100 บาทที่ส่งรถช้า แต่พอผมพูดต่อว่าว่าทำไมเก็บยิบย่อยจัง และถามเขาว่าในเมืองเชียงใหม่มีร้านให้เช่ามอเตอร์ไซค์ร้านอื่นไหมจะลองติดต่อดูราคาซิว่าแตกต่างกันมากไหม เท่านั้นแหละครับลูกน้องของร้านไบกี้เขาก็โทรศัพท์ติดต่อคุยกับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเขาใจดีมากนะครับ สุดท้ายไม่เก็บอะไรเพิ่มแม้แต่บาทเดียวเลย ผมจึงจ่ายเงินแค่ค่าเช่ารถ 4 วัน เพียง 1,200 บาทเท่านั้น แนะนำเพื่อน ๆ ชาวพันทิปคนไหนสนใจอยากเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยว ผมว่ารถของร้านไบกี้เนี่ยดีนะครับให้รถใหม่ หมวกกันน็อตใหม่ และเครื่องยนต์ก็ขี่นิ่มเร็วแรงถูกใจผมมาก และเขายังเข้าใจนักเที่ยว Backpack อย่างเราอุตส่าห์ไม่เก็บเงินเพิ่มอีกแน่ะ วันหลังต้องมาใช้บริการอีกแน่นอน
สำหรับใครที่จะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ของร้านไบกี้ให้มาส่งที่สนามบินควรโทรศัพท์ติดต่อไปบอกเขาก่อนนะครับ และเวลาที่เราบินถึงด้วย เพื่อให้เขาจัดการส่งรถมาให้เราทันก่อนที่เราจะถึงสนามบินนะครับ
รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าคันสีขาวที่ผมได้เช่าจากทางร้านไบกี้ที่ใช้ขี่ตลอด 4 วันของทริปนี้
สำหรับจุดรับรถจะอยู่บริเวณลานจอดรถโซน F ด้านหน้าของสนามบิน ให้เราเดินออกจากสนามบินทางประตู 1 แล้วเดินตามทางเดินที่มีหลังคาคลุมยาวมาสุดทางก็จะโต๊ะตั้งบริการของร้านเขานะครับ
เมื่อรถพร้อมคนพร้อมก็แว๊นเลยครับ.... ขี่รถไปจุดหมายแรก
แกรนแคนยอนหางดง ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินไปทางตอนใต้ของเชียงใหม่ไปไกลมากนัก ก็แค่ ๆ 16 ก.ม. เท่านั้น ใช้เวลาขี่รถไปเพียง 30 นาทีก็ถึงแล้ว
ผมขี่รถตามถนนเลียบคลองชลประทานของเชียงใหม่ไปทางอำเภอจอมทอง เส้นทางนี้รถจะน้อยกว่าถนนสาย 108 ที่เป็นทางหลัก แต่วิ่งมาจะถึงทางเลี้ยวเข้าแกรนแคนยอนหางดงก็ยังไม่เห็นป้ายบอกทางเลี้ยวเข้าสักที จนมาดู google map ถึงรู้ว่าขี่รถเลยไปแล้วซิเรา... เออให้มันได้อย่างงี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบทำไมไม่ติดปงติดป้ายกันบ้างเลยนะ หรือว่าสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นของเอกชนก็ต้องให้เจ้าของเรามาติดป้ายเอง แต่ผมเห็นป้ายบอกทางเข้าติดไว้เฉพาะผู้ขับรถจากอำเภอจอมทองจะเข้าเมืองเชียงใหม่จะมีป้ายบอกทางแยกเข้า แต่ทำไมฝั่งด้านที่ผมขี่รถมาถึงไม่ทำ ตูล่ะงงจริง ๆ
ดังนั้น เพื่อน ๆ คนไหนขี่รถวิ่งจากเมืองเชียงใหม่มาเที่ยวแกรนแคนยอนหางดงทางเส้นนี้ ต้องสังเกตสะพานสีขาวเล็ก ๆ ข้ามคลองชลประทานให้ดี บนสะพานจะมีป้ายบอกทางเข้าร้านตวงตวงแกรนแคนยอนเท่านั้นที่จะเป็นทำให้เรารู้ได้ว่าเข้านี้นะครับ
ขี่รถข้ามสะพานมาในถนนแคบ ๆ ไม่ไกลน่าจะสัก 700 เมตรก็ถึงแล้วครับแกรนแคนยอนหางดง จุดจอดรถอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าแกรนแคนยอน
เราต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาทนะครับ จะชมนานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเสียอีกราคาหนึ่งที่แพงกว่าครับ ภายในมีร้านค้าขายเครื่องดื่มพวกชาและกาแฟ อาหารตามสั่ง และมีให้เช่าชุดว่ายน้ำสำหรับเล่นน้ำด้วยนะครับ มีเก้าอี้นอนอาบแดดสำหรับชมวิวแกรนคอนยอนให้บริการด้วย
จากจุดชำระเงินค่าเข้าเราก็เดินไปทางซ้ายจะเห็นแกรนแคนยอนแล้วครับ ผมมาตอนบ่ายแดดกำลังเปรี้ยงเลย ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมบางตา ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งที่เข้ามาชม ตอนนี้ทางแกรนแคนยอนเขาก็ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมและเล่นน้ำในบ่อได้นะครับถึงแม้ว่าเมื่อ 3 เดือนก่อนที่มีคนมาเล่นน้ำแล้วเพิ่งเสียชีวิตไป ตอนที่ผมไปก็เห็นทางเจ้าของแกรนแคนยอนเขากำลังฝึกเจ้าหน้าที่ของเขาอยู่ในบ่อในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการเล่นน้ำ รู้สึกตอนนี้เขามีมาตรการป้องกันดีขึ้นและเตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อมต่อการช่วยเหลือให้ทันท่วงทีในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวจมน้ำเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้น
แกรนแคนยอนแห่งนี้เดิมเป็นบ่อตักดินที่เจ้าของได้สัมปทานในการตักดิน เผอิญว่ามีนักท่องเที่ยวมาเห็นน้ำในบ่อดินที่มีสีเขียวดังมรกตสวยน่าเล่นและมีคนชอบแอบมาเล่นที่บ่อดินนี้บ่อย ๆ ตอนหลังทางเจ้าของที่เข้าเลยเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในการเข้ามาเที่ยวชมได้ ลักษณะบ่อดินที่แนวกำแพงสูงและเป็นหลุมมีน้ำท่วมขังมอง ๆ ไปก็ดูคล้ายแกรนแคนยอน เขาจึงตั้งชื่อว่า
แกรนแคนยอน (Grand canyon)
เสร็จจากการเที่ยวชมแกรนแคนยอนแล้ว ผมก็ขี่รถไปหาอะไรทานรองท้องสักหน่อย เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมายังไม่ได้ทานอะไรเลย เคยเห็นรายการท่องเที่ยวแนะนำร้านดังที่อยู่ติดแกรนแคนยอนว่ารสชาติใช้ได้และวิวดีมองเห็นแกรนแคนยอนได้ด้วย เรียกว่านั่งกินข้าวชมวิวไปด้วยในตัว ดูน่าสนแฮะก็จัดไปครับที่
ร้านตวงตวง แคนยอนวิว
ร้านนี้ตั้งอยู่ติดทางด้านขวาของแกรนแคนยอน ภายในร้านทำเป็นระเบียงยื่นไปชมวิวแกรนแคนยอนได้ ร้านนี้ผมเห็นมีชาวเชียงใหม่นิยมมาใช้บริการนั่งทานอะไรเล่นกัน มาสังสรรค์กันเยอะนะครับ คงคิดเหมือนผมนั่งทานอะไรอร่อย ๆ เค้าชมวิวเพลิน ๆ ไปด้วย ผมสั่งอาหารเป็นข้าวผัด ต้มยำปลา ส้มตำไทย และน้ำมะนาว จ่ายค่าเสียหายไป 501 บาท ราคาอาหารที่นี่แพงเหมือนกันนะครับก็อย่างว่าเขาขายอาหารบวกวิวไปด้วยนั่นเอง
เมื่อทานอาหารอิ่มท้องแล้ว ผมก็ขี่รถมุ่งไปทางอำเภอจอมทองต่อ ขี่รถบนถนนเลียบคลองชลประทานสายเดิมไปเที่ยวยังอุทยานแห่งชาติออบขาน ซึ่งอยู่ห่างจากที่แกรนแคนยอนหางดงไปไม่ไกลมากนักก็ราว ๆ 9 ก.ม. ขี่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว
ตะเวนเดี่ยวเที่ยวเวียงเชียงใหม่ต่อเวียงลำพูน ตอนที่ 1
ทริปตะเวนเดี่ยวเที่ยวเวียงเชียงใหม่ต่อเวียงลำพูนของผม โดยเน้นเช่ารถมอเตอร์ไซค์ตะเวนขี่เที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมไม่เคยไปตามแผนที่วางไว้ โดยเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเชียงใหม่ และในย่านตัวเมืองเชียงใหม่และลำพูนเป็นหลัก การเที่ยวของผมในครั้งนี้ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดเชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมปักเป็นหมุดหมายของการเดินทาง เพราะสถานที่เหล่านั้นผมไปเที่ยวมาหลายรอบแล้วตลอดเวลาที่เที่ยวเชียงใหม่มาราว 20 ปี กระทู้นี้จึงเป็นการนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้อ่านกระทู้เผื่อใครสนใจอยากแวะไปชมบ้างฆ่าเวลาระหว่างเดินทางไปชมสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่นำเสนอนี้บางแห่งก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไปแล้วในปัจจุบัน บางแห่งกำลังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว แต่กลับบางแห่งนักท่องเที่ยวหลายคนแทบไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่และตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน การเดินทางเที่ยว 2 เมืองของภาคเหนือในครั้งนี้ผมใช้ช่วงเวลาปลายเดือนตุลาคม 2559 ที่เป็นวันหยุดทำงานของผมในการเดินทาง ผมวางแผนเที่ยวตั้งแต่เดือนสิงหาคม จองตั๋วเครื่องบินในราคาประหยัด และโรงแรมที่พักเสียแต่เนิ่น ๆ ซึ่งก็เป็นผลดีทำให้เราไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีที่พัก และมีตั๋วเดินทางรึเปล่า
สำหรับทริปการเดินทางท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ใช้เวลา 4 วัน แบ่งสถานที่ท่องเที่ยวออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
วันที่ 1 - 2 : เดินทางถึงเมืองเชียงใหม่ ขี่รถเที่ยวตามรอยเส้นทางธรณีวิทยาลำน้ำปิง
วันที่ 3 - 4 : ขี่รถเที่ยวตามรอยเส้นทางโบราณคดีหริภุญชัยและล้านนา และเดินทางกลับ
สรุปค่าใช้จ่ายในทริปการเดินทางเที่ยวเวียงเชียงใหม่ต่อเวียงลำพูน เป็นเงิน 10,884 บาท
- ค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ 1,837 บาท
- ค่าโรงแรมที่พัก 3 คืน 3,600 บาท
- ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยว + น้ำมัน 4 วัน 1,415 บาท
- ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 4,032 บาท
(ค่ากิน + ค่าทำบุญ + ค่าเข้าชมสถานที่ + ค่าซื้อของฝากของที่ระลึก + ค่ายา + ค่าไปรษณีย์ + ค่ารถเดินทางกลับ)
เรียกว่าทริปนี้รายจ่ายสูงกว่าไปเที่ยวพม่า 9 วันเสียอีกเพราะค่าครองชีพที่จังหวัดเชียงใหม่แพงกว่าที่ประเทศพม่าที่เพิ่งไปเที่ยวกลับมา อีกอย่างผมเป็นคนชอบซื้อของฝากของที่ระลึกเยอะด้วยรอบนี้ ไหนจะเช่าพระธาตุมาบูชาอีกรวม ๆ กันก็เลยใช้จ่ายเงินรอบนี้สูงหน่อย แต่คิดว่าให้กำไรกับชีวิตในช่วงพักผ่อนก่อนเริ่มทำงานใหม่ครับ
วันที่ 1 : เดินทางถึงเมืองเชียงใหม่ และขี่รถเที่ยวตามรอยเส้นทางธรณีวิทยาลำน้ำปิง
ผมนั่งเครื่องบินของเจ้าหางแดงที่นักท่องเที่ยวชอบในราคาประหยัดไปลงสนามบินเชียงใหม่ในรอบสาย เครื่องบินออกจากสนามบินดอนเมืองราว ๆ 10 โมงเช้า บินแค่ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงแล้วสนามบินเชียงใหม่ รวดเร็วทันใจนั่งยังไม่เมื่อยตูดเลยก็ถึงแล้ว ดีกว่านั่งแช่นอนแช่จนพลิกตูดไปหลายตลบบนรถบัสก็ยังไม่ถึงซะที
มาถึงสนามบินเชียงใหม่ในเวลาเกือบเที่ยงตรง แดดเปรี้ยงเลย ก่อนมาถึงเชียงใหม่ผมได้ติดต่อให้ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ชื่อ "ไบกี้ (Bikky)" ที่ตั้งอยู่แถวถนนห้วยแก้วในเมืองเชียงใหม่เอารถมาส่งให้ผมที่สนามบินที ผมจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวพขี่ตะลอนเที่ยวตลอด 4 วันในทริปนี้ พร้อมหมวกกันน็อตที่มีพลาสติกปิดหน้าด้วย ตอนแรกร้านนี้จะคิดค่าส่งรถที่สนามบิน 50 บาท และคิดค่าหมวกกันน็อตที่มีพลาสติกปิดหน้าอีก 100 บาท และผมขอส่งรถช้า 2 ช.ม. เพราะไฟล์บินวันกลับของผมบินบ่าย 3 โมง แต่ตอนแรกทางร้านจะคิดเงินผมเพิ่มอีกชั่วโมงละ 100 บาทที่ส่งรถช้า แต่พอผมพูดต่อว่าว่าทำไมเก็บยิบย่อยจัง และถามเขาว่าในเมืองเชียงใหม่มีร้านให้เช่ามอเตอร์ไซค์ร้านอื่นไหมจะลองติดต่อดูราคาซิว่าแตกต่างกันมากไหม เท่านั้นแหละครับลูกน้องของร้านไบกี้เขาก็โทรศัพท์ติดต่อคุยกับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเขาใจดีมากนะครับ สุดท้ายไม่เก็บอะไรเพิ่มแม้แต่บาทเดียวเลย ผมจึงจ่ายเงินแค่ค่าเช่ารถ 4 วัน เพียง 1,200 บาทเท่านั้น แนะนำเพื่อน ๆ ชาวพันทิปคนไหนสนใจอยากเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยว ผมว่ารถของร้านไบกี้เนี่ยดีนะครับให้รถใหม่ หมวกกันน็อตใหม่ และเครื่องยนต์ก็ขี่นิ่มเร็วแรงถูกใจผมมาก และเขายังเข้าใจนักเที่ยว Backpack อย่างเราอุตส่าห์ไม่เก็บเงินเพิ่มอีกแน่ะ วันหลังต้องมาใช้บริการอีกแน่นอน สำหรับใครที่จะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ของร้านไบกี้ให้มาส่งที่สนามบินควรโทรศัพท์ติดต่อไปบอกเขาก่อนนะครับ และเวลาที่เราบินถึงด้วย เพื่อให้เขาจัดการส่งรถมาให้เราทันก่อนที่เราจะถึงสนามบินนะครับ
รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าคันสีขาวที่ผมได้เช่าจากทางร้านไบกี้ที่ใช้ขี่ตลอด 4 วันของทริปนี้
สำหรับจุดรับรถจะอยู่บริเวณลานจอดรถโซน F ด้านหน้าของสนามบิน ให้เราเดินออกจากสนามบินทางประตู 1 แล้วเดินตามทางเดินที่มีหลังคาคลุมยาวมาสุดทางก็จะโต๊ะตั้งบริการของร้านเขานะครับ
เมื่อรถพร้อมคนพร้อมก็แว๊นเลยครับ.... ขี่รถไปจุดหมายแรก แกรนแคนยอนหางดง ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินไปทางตอนใต้ของเชียงใหม่ไปไกลมากนัก ก็แค่ ๆ 16 ก.ม. เท่านั้น ใช้เวลาขี่รถไปเพียง 30 นาทีก็ถึงแล้ว
ผมขี่รถตามถนนเลียบคลองชลประทานของเชียงใหม่ไปทางอำเภอจอมทอง เส้นทางนี้รถจะน้อยกว่าถนนสาย 108 ที่เป็นทางหลัก แต่วิ่งมาจะถึงทางเลี้ยวเข้าแกรนแคนยอนหางดงก็ยังไม่เห็นป้ายบอกทางเลี้ยวเข้าสักที จนมาดู google map ถึงรู้ว่าขี่รถเลยไปแล้วซิเรา... เออให้มันได้อย่างงี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบทำไมไม่ติดปงติดป้ายกันบ้างเลยนะ หรือว่าสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นของเอกชนก็ต้องให้เจ้าของเรามาติดป้ายเอง แต่ผมเห็นป้ายบอกทางเข้าติดไว้เฉพาะผู้ขับรถจากอำเภอจอมทองจะเข้าเมืองเชียงใหม่จะมีป้ายบอกทางแยกเข้า แต่ทำไมฝั่งด้านที่ผมขี่รถมาถึงไม่ทำ ตูล่ะงงจริง ๆ ดังนั้น เพื่อน ๆ คนไหนขี่รถวิ่งจากเมืองเชียงใหม่มาเที่ยวแกรนแคนยอนหางดงทางเส้นนี้ ต้องสังเกตสะพานสีขาวเล็ก ๆ ข้ามคลองชลประทานให้ดี บนสะพานจะมีป้ายบอกทางเข้าร้านตวงตวงแกรนแคนยอนเท่านั้นที่จะเป็นทำให้เรารู้ได้ว่าเข้านี้นะครับ
ขี่รถข้ามสะพานมาในถนนแคบ ๆ ไม่ไกลน่าจะสัก 700 เมตรก็ถึงแล้วครับแกรนแคนยอนหางดง จุดจอดรถอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าแกรนแคนยอน
เราต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาทนะครับ จะชมนานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเสียอีกราคาหนึ่งที่แพงกว่าครับ ภายในมีร้านค้าขายเครื่องดื่มพวกชาและกาแฟ อาหารตามสั่ง และมีให้เช่าชุดว่ายน้ำสำหรับเล่นน้ำด้วยนะครับ มีเก้าอี้นอนอาบแดดสำหรับชมวิวแกรนคอนยอนให้บริการด้วย
จากจุดชำระเงินค่าเข้าเราก็เดินไปทางซ้ายจะเห็นแกรนแคนยอนแล้วครับ ผมมาตอนบ่ายแดดกำลังเปรี้ยงเลย ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมบางตา ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งที่เข้ามาชม ตอนนี้ทางแกรนแคนยอนเขาก็ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมและเล่นน้ำในบ่อได้นะครับถึงแม้ว่าเมื่อ 3 เดือนก่อนที่มีคนมาเล่นน้ำแล้วเพิ่งเสียชีวิตไป ตอนที่ผมไปก็เห็นทางเจ้าของแกรนแคนยอนเขากำลังฝึกเจ้าหน้าที่ของเขาอยู่ในบ่อในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการเล่นน้ำ รู้สึกตอนนี้เขามีมาตรการป้องกันดีขึ้นและเตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อมต่อการช่วยเหลือให้ทันท่วงทีในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวจมน้ำเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้น
แกรนแคนยอนแห่งนี้เดิมเป็นบ่อตักดินที่เจ้าของได้สัมปทานในการตักดิน เผอิญว่ามีนักท่องเที่ยวมาเห็นน้ำในบ่อดินที่มีสีเขียวดังมรกตสวยน่าเล่นและมีคนชอบแอบมาเล่นที่บ่อดินนี้บ่อย ๆ ตอนหลังทางเจ้าของที่เข้าเลยเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในการเข้ามาเที่ยวชมได้ ลักษณะบ่อดินที่แนวกำแพงสูงและเป็นหลุมมีน้ำท่วมขังมอง ๆ ไปก็ดูคล้ายแกรนแคนยอน เขาจึงตั้งชื่อว่า แกรนแคนยอน (Grand canyon)
เสร็จจากการเที่ยวชมแกรนแคนยอนแล้ว ผมก็ขี่รถไปหาอะไรทานรองท้องสักหน่อย เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมายังไม่ได้ทานอะไรเลย เคยเห็นรายการท่องเที่ยวแนะนำร้านดังที่อยู่ติดแกรนแคนยอนว่ารสชาติใช้ได้และวิวดีมองเห็นแกรนแคนยอนได้ด้วย เรียกว่านั่งกินข้าวชมวิวไปด้วยในตัว ดูน่าสนแฮะก็จัดไปครับที่ ร้านตวงตวง แคนยอนวิว
ร้านนี้ตั้งอยู่ติดทางด้านขวาของแกรนแคนยอน ภายในร้านทำเป็นระเบียงยื่นไปชมวิวแกรนแคนยอนได้ ร้านนี้ผมเห็นมีชาวเชียงใหม่นิยมมาใช้บริการนั่งทานอะไรเล่นกัน มาสังสรรค์กันเยอะนะครับ คงคิดเหมือนผมนั่งทานอะไรอร่อย ๆ เค้าชมวิวเพลิน ๆ ไปด้วย ผมสั่งอาหารเป็นข้าวผัด ต้มยำปลา ส้มตำไทย และน้ำมะนาว จ่ายค่าเสียหายไป 501 บาท ราคาอาหารที่นี่แพงเหมือนกันนะครับก็อย่างว่าเขาขายอาหารบวกวิวไปด้วยนั่นเอง
เมื่อทานอาหารอิ่มท้องแล้ว ผมก็ขี่รถมุ่งไปทางอำเภอจอมทองต่อ ขี่รถบนถนนเลียบคลองชลประทานสายเดิมไปเที่ยวยังอุทยานแห่งชาติออบขาน ซึ่งอยู่ห่างจากที่แกรนแคนยอนหางดงไปไม่ไกลมากนักก็ราว ๆ 9 ก.ม. ขี่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว