วันนี้ ขอเกาะกระแส ของคุณเบสนักพูดกับคุณน๊อตกราบรถ หน่อยนะคะ
หลายคนที่ตามข่าวของทั้งสองท่านนี้มา คงพอทราบต้นตอของเรื่องกันมาบ้างแล้ว จขท คงไม่ต้องอรรถาอธิบายอีก
แต่สิ่งที่ต่อยอดความคิดของ จขท คือ เรื่องนี้ให้บทเรียนและกระตุกความคิดอย่างไรได้บ้างนั่นเอง
ในกรณีคุณน๊อต แน่นอน เรื่องที่หนึ่งคือเรื่องขาดสติ และเรื่อง สองคือ คุณน๊อตให้ค่าวัตถุ มากกว่าค่าศักดิ์ศรีของความเป็นคน
จึงเกิดโทสะ และทำร้ายร่างกายคู่กรณี ตรงนี้ จนเป็นคลิบและสังคมลงโทษไปเรียบร้อย อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ทัศนคติ
ที่มีและปลูกฝังมาก่อนสะท้อนให้เห็นความคิดที่มีต่อคนอื่นได้ดี
ในกรณี คุณเบส เรื่องการทอลค์โชว์ ที่เป็นประเด็น เรื่องดูถูกคนอีสาน อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนรวมต่อภาพลักษณ์ของคนในประเทศ
กรณีนี้ จึงถูกวิพากษณ์ วิจารณ์ อย่างหนักหน่วงและบายปลาย และคุณเบสเองเป็นนักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และงานส่วนใหญ่
ที่เธอรับ ก็เป็นงานในภาครัฐ ที่มี คสช ดูแลและกำกับ จึงไม่น่าแปลกใจว่าการพูดของเธอจะโดนต้งข้อสงสัย หรือ หาข้อเท็จจริง
ว่างานที่เธอทำ มีจุดประสงค์เช่นไร ?
เรื่องนี้ ถ้ามองในแง่บวก คุณเบส เหมือนกำลังสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนรักพ่อ และดำเนินตามรอยเท้าพ่อ ซึ่งในสังคมของคนไทย
ตอนนี้ เราจะเห็นว่าแนวทางตามพระราชดำรัส ของพระองค์ท่านเป็นเรื่องที่น่ายกย่องเทิดทูน บูชา และเอาตามเป็นแบบอย่าง
แต่น่าเสียดาย ที่คุณเบส ตีโจทย์การทลอค์โชว์ออกมาผิดไปเยอะ เพราะคุณเบส ผูกขาดความจงรักภักดีไว้ในมุมเดียว และมองเห็น
คนอื่นๆ ที่เห็นต่างทางการเมือง ไม่รักพ่อเท่าคุณเบส และกำหนดภาคอีกตางหาก เพียงเพราะข้อมูลที่คุณเบสได้รับ หรือถูก ฝังหัวมา
ก็แค่เรื่องของคนกลุ่มเดียว และ แน่นอน การใส่ความคิดเห็นทางการเมืองจากหน่วยงานที่คุณเบส อาจได้รับข้อมูลมา จึงสร้างความคิดลบ
ให้คุณเบสอย่างง่ายดาย และขาดการไตร่ตรอง
ตรงนี้หน่วยงานที่คุณเบสรับงานมาควรออกมารับผิดชอบ และทำความกระจ่างว่า วัตถุประสงค์เรื่องนี้คือเป้าหมายใด?
สร้างความปรองดอง แบบอย่างเศรษฐกิจพอเพียง เทิดทูนพระราชกรณีย์กิจขององค์พระบิดา ด้วยความรักและเทิดทูนจากใจจริง
โดยพยายามลดความแตกแยกอย่างโร๊ดแม๊ปที่วางไว้ จริงหรือป่าว?
คสช ควรมีคำตอบ และควรนำกระแสสังคมไปฉุกคิดว่า สิ่งที่พวกท่านทำ สร้างความปรองดองได้แท้จริง หรือเสียของ
เพราะ คสช เองนี่แหล่ะ ที่เดินยุทธศาสตร์แนวนี้มานาน
และจากสองกรณีนี้ จขท มองกลับไปในความรู้สึกของทั้งคุณน๊อตและคุณเบส ว่า ทั้งสองท่านมีความรักและเทิดทูนต่อพระองค์ท่าน
อย่างจริงใจ แต่น่าเสียดายที่ความรักของคุณทั้งสอง กลับสร้างทัศนคติต่อคนอื่นได้เป็นลบ และดูเหมือนจะหลงทิศไปกับตัวเอง
คือชูตัวเองให้สูงกว่า รักมากกว่า ทำเพื่อพ่อมากกว่า เพราะยึดติดกับตัวตนมากไป จึงเห็นคนอื่น หรือคนคิดต่างเห็นต่างต่ำกว่าตัวเอง
ทัศนคติและความคิดตรงนี้อันตรายนะคะ ทั้งสองท่านควรปรับความคิดใหม่ ในแผ่นดินนี้ ไม่มีใครไม่รักพ่อหลวง เพียงแต่ความรักของ
แต่ละคนไม่ต้องอวดอ้าง ไม่ต้องแสดงออกมากมาย แค่เดินตามรอยพระราชดำริ ในทุกเรื่อง ก็ถือว่ารักพ่อในแบบที่ถูกทาง ถูกต้องแล้ว
พระบิดา สอนให้เราทำความดี แต่พระบิดา ไม่เคยสอนให้เราเอาความดีไปข่มใคร ทำร้ายใคร หรือเบียดเบียนใคร
และเอาความดีมาแสวงหาอำนาจเพื่อตัวเอง พระบิดาสอนให้เรารักประเทศชาติ และเสียสละให้ประเทศชาติ ตามกำลัง
ตามความคิดที่เรามีค่ะ หากจะเดิตามรอยพระบาทของพระองค์ คุณเบส และคุณน๊อต และทุกท่าน ต้องแยกแยะความเกลียดให้ได้ก่อน
สุดท้ายนี้ก็ได้แต่หวังว่า นับจากวันนี้ คนไทยที่ยังคิดแบ่งฝ่าย ยังคิดสร้างความขัดแย้ง และยังไม่เข้าใจความปรองดอง
โดยเฉพาะฝ่ายที่ ผูกขาดความรักในสถาบันไว้แค่กลุ่มตน พวกตน จะหันกลับมาสร้างความรัก ความผูกพัน ความจริงใจ
ให้กับคนไทยกันเอง โดยข้ามผ่านความขัดแย้ง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ละวางอำนาจ มองคนอื่นเท่าเทียม เห็นใจกัน
เท่านี้ก็จะ ช่วยกันปฎิรูปประเทศให้เดินหน้าต่อไปอย่างจริงจัง แล้วล่ะค่ะ
ปชช ก็แค่คนตามคนอยดู คอยเชียร์และเป็นแรงผลักดัน ผู้ใหญ่นั้นแหล่ะ ตั้งแต่ท่านนายกลุงตู่ คณะ คสช หน่วยงานหลักๆ
ทั้งนิติรัฐ นิติธรรม นักวิชาการ นัก นสพ และ เซเลปทั้งหลาย พวกท่านมีส่วน และเป็นหลัก ที่จะผลักดันให้ประเทศเดินหน้า
และก้าวต่อไปอย่างสงบสุข เจริญรุ่งเรือง โดยใช้ทัศนคติดีๆ ส่งผ่านออกมา เป็นแบบอย่างให้ ปชชเรียนรู้ และทำตาม ค่ะ
ถ้าเรามัวแต่โทษคนอื่น เราจะไม่เห็นความผิดที่เราทำ ถ้าเรามองความผิดเราเท่าความผิดคนอื่น เราจะเห็นแนวทางแก้ไขปัญหา
แค่เรากล้ายอมรับความจริง และความผิด ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
ปรองดองของจริงคือ ต้องไม่ไล่ล่าใครให้จนมุม ไม่เอาชนะใครด้วยอำนาจที่มี ต้องใช้หลักคุณธรรม จริยธรรม เพื่อลดความเกลียดชัง
และขัดแย้ง ออกไปจากหัวใจคนไทยค่ะ
จากคุณน๊อต ถึงคุณเบส บทเรียนคืออะไร ? และ คนไทยควรเปลี่ยนทัศนคติได้หรือยัง ?
หลายคนที่ตามข่าวของทั้งสองท่านนี้มา คงพอทราบต้นตอของเรื่องกันมาบ้างแล้ว จขท คงไม่ต้องอรรถาอธิบายอีก
แต่สิ่งที่ต่อยอดความคิดของ จขท คือ เรื่องนี้ให้บทเรียนและกระตุกความคิดอย่างไรได้บ้างนั่นเอง
ในกรณีคุณน๊อต แน่นอน เรื่องที่หนึ่งคือเรื่องขาดสติ และเรื่อง สองคือ คุณน๊อตให้ค่าวัตถุ มากกว่าค่าศักดิ์ศรีของความเป็นคน
จึงเกิดโทสะ และทำร้ายร่างกายคู่กรณี ตรงนี้ จนเป็นคลิบและสังคมลงโทษไปเรียบร้อย อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ทัศนคติ
ที่มีและปลูกฝังมาก่อนสะท้อนให้เห็นความคิดที่มีต่อคนอื่นได้ดี
ในกรณี คุณเบส เรื่องการทอลค์โชว์ ที่เป็นประเด็น เรื่องดูถูกคนอีสาน อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนรวมต่อภาพลักษณ์ของคนในประเทศ
กรณีนี้ จึงถูกวิพากษณ์ วิจารณ์ อย่างหนักหน่วงและบายปลาย และคุณเบสเองเป็นนักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และงานส่วนใหญ่
ที่เธอรับ ก็เป็นงานในภาครัฐ ที่มี คสช ดูแลและกำกับ จึงไม่น่าแปลกใจว่าการพูดของเธอจะโดนต้งข้อสงสัย หรือ หาข้อเท็จจริง
ว่างานที่เธอทำ มีจุดประสงค์เช่นไร ?
เรื่องนี้ ถ้ามองในแง่บวก คุณเบส เหมือนกำลังสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนรักพ่อ และดำเนินตามรอยเท้าพ่อ ซึ่งในสังคมของคนไทย
ตอนนี้ เราจะเห็นว่าแนวทางตามพระราชดำรัส ของพระองค์ท่านเป็นเรื่องที่น่ายกย่องเทิดทูน บูชา และเอาตามเป็นแบบอย่าง
แต่น่าเสียดาย ที่คุณเบส ตีโจทย์การทลอค์โชว์ออกมาผิดไปเยอะ เพราะคุณเบส ผูกขาดความจงรักภักดีไว้ในมุมเดียว และมองเห็น
คนอื่นๆ ที่เห็นต่างทางการเมือง ไม่รักพ่อเท่าคุณเบส และกำหนดภาคอีกตางหาก เพียงเพราะข้อมูลที่คุณเบสได้รับ หรือถูก ฝังหัวมา
ก็แค่เรื่องของคนกลุ่มเดียว และ แน่นอน การใส่ความคิดเห็นทางการเมืองจากหน่วยงานที่คุณเบส อาจได้รับข้อมูลมา จึงสร้างความคิดลบ
ให้คุณเบสอย่างง่ายดาย และขาดการไตร่ตรอง
ตรงนี้หน่วยงานที่คุณเบสรับงานมาควรออกมารับผิดชอบ และทำความกระจ่างว่า วัตถุประสงค์เรื่องนี้คือเป้าหมายใด?
สร้างความปรองดอง แบบอย่างเศรษฐกิจพอเพียง เทิดทูนพระราชกรณีย์กิจขององค์พระบิดา ด้วยความรักและเทิดทูนจากใจจริง
โดยพยายามลดความแตกแยกอย่างโร๊ดแม๊ปที่วางไว้ จริงหรือป่าว?
คสช ควรมีคำตอบ และควรนำกระแสสังคมไปฉุกคิดว่า สิ่งที่พวกท่านทำ สร้างความปรองดองได้แท้จริง หรือเสียของ
เพราะ คสช เองนี่แหล่ะ ที่เดินยุทธศาสตร์แนวนี้มานาน
และจากสองกรณีนี้ จขท มองกลับไปในความรู้สึกของทั้งคุณน๊อตและคุณเบส ว่า ทั้งสองท่านมีความรักและเทิดทูนต่อพระองค์ท่าน
อย่างจริงใจ แต่น่าเสียดายที่ความรักของคุณทั้งสอง กลับสร้างทัศนคติต่อคนอื่นได้เป็นลบ และดูเหมือนจะหลงทิศไปกับตัวเอง
คือชูตัวเองให้สูงกว่า รักมากกว่า ทำเพื่อพ่อมากกว่า เพราะยึดติดกับตัวตนมากไป จึงเห็นคนอื่น หรือคนคิดต่างเห็นต่างต่ำกว่าตัวเอง
ทัศนคติและความคิดตรงนี้อันตรายนะคะ ทั้งสองท่านควรปรับความคิดใหม่ ในแผ่นดินนี้ ไม่มีใครไม่รักพ่อหลวง เพียงแต่ความรักของ
แต่ละคนไม่ต้องอวดอ้าง ไม่ต้องแสดงออกมากมาย แค่เดินตามรอยพระราชดำริ ในทุกเรื่อง ก็ถือว่ารักพ่อในแบบที่ถูกทาง ถูกต้องแล้ว
พระบิดา สอนให้เราทำความดี แต่พระบิดา ไม่เคยสอนให้เราเอาความดีไปข่มใคร ทำร้ายใคร หรือเบียดเบียนใคร
และเอาความดีมาแสวงหาอำนาจเพื่อตัวเอง พระบิดาสอนให้เรารักประเทศชาติ และเสียสละให้ประเทศชาติ ตามกำลัง
ตามความคิดที่เรามีค่ะ หากจะเดิตามรอยพระบาทของพระองค์ คุณเบส และคุณน๊อต และทุกท่าน ต้องแยกแยะความเกลียดให้ได้ก่อน
สุดท้ายนี้ก็ได้แต่หวังว่า นับจากวันนี้ คนไทยที่ยังคิดแบ่งฝ่าย ยังคิดสร้างความขัดแย้ง และยังไม่เข้าใจความปรองดอง
โดยเฉพาะฝ่ายที่ ผูกขาดความรักในสถาบันไว้แค่กลุ่มตน พวกตน จะหันกลับมาสร้างความรัก ความผูกพัน ความจริงใจ
ให้กับคนไทยกันเอง โดยข้ามผ่านความขัดแย้ง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ละวางอำนาจ มองคนอื่นเท่าเทียม เห็นใจกัน
เท่านี้ก็จะ ช่วยกันปฎิรูปประเทศให้เดินหน้าต่อไปอย่างจริงจัง แล้วล่ะค่ะ
ปชช ก็แค่คนตามคนอยดู คอยเชียร์และเป็นแรงผลักดัน ผู้ใหญ่นั้นแหล่ะ ตั้งแต่ท่านนายกลุงตู่ คณะ คสช หน่วยงานหลักๆ
ทั้งนิติรัฐ นิติธรรม นักวิชาการ นัก นสพ และ เซเลปทั้งหลาย พวกท่านมีส่วน และเป็นหลัก ที่จะผลักดันให้ประเทศเดินหน้า
และก้าวต่อไปอย่างสงบสุข เจริญรุ่งเรือง โดยใช้ทัศนคติดีๆ ส่งผ่านออกมา เป็นแบบอย่างให้ ปชชเรียนรู้ และทำตาม ค่ะ
ถ้าเรามัวแต่โทษคนอื่น เราจะไม่เห็นความผิดที่เราทำ ถ้าเรามองความผิดเราเท่าความผิดคนอื่น เราจะเห็นแนวทางแก้ไขปัญหา
แค่เรากล้ายอมรับความจริง และความผิด ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
ปรองดองของจริงคือ ต้องไม่ไล่ล่าใครให้จนมุม ไม่เอาชนะใครด้วยอำนาจที่มี ต้องใช้หลักคุณธรรม จริยธรรม เพื่อลดความเกลียดชัง
และขัดแย้ง ออกไปจากหัวใจคนไทยค่ะ