เนื่องจากคืนวันที่18 พฤศจิกายน 25559 ผมได้ขับขี่จักรยานยนต์ เข้าซอย ถ.ราชดำเนิน จ.เชียงใหม่ (แยกท่าแพ เข้าวัดพระสิงห์) คู่กรณีผมเป็นรถเบนซ์
สีบลอด์นเงิน จำป้ายทะเบียนไม่ได้ รู้แค่เลขทะเบียน 3991 ขับรถจี้ท้ายผม ผมจึงหลบเข้าซ้าย ชิดฟุตบาท และหันไปโบกให้รถเขาแซง เพราะผมจอดเทียบฟุตบาท แต่เขากลับบบีแตร และเปิดไฟสูงใส่ และ เหยียบคันเร่งแซงไปอย่างรวดเร็ว ห่างจากผมไม่กี่เซ็น.. ผมจึงสบถใส่ด้วยความโมโห เพราะให้ทางก็แล้ว เปิดไฟเลี้ยวก็เเล้ว น้ำใจช่วยโบกรถให้เพราะ กลัวเขาไม่เห็น แต่ทันที ที่ผมสบถ เขาเบรครถกระทันหัน ผมเองก็ไม่พอใจ เลยขี่จักรยานยนต์ไปเทียบข้างๆรถเขาแล้วถาม พี่เป็นอะไรมากไหม ทางก็มีกว้างขวาง พี่ขับแบบนี้ อันตรายนะ แต่สิ่งแรกที่ผมได้จากเขาคืนกลิ่นเหล้าแรงมาก และ น้ำเสียงที่ไม่พอใจ เขาบอกผม มีอะไร มีปัญหาไปเคลียร์ ที่โรงพัก!!! ผมก็โมโห เอ้า!! ไปก็ไป โรงพักยิ่งดีเลย เมาขนาดนี้ ... พี่แกหันมาหาผมแล้วตบหน้าผม แต่ผมเอามือกันไว้ ซึ่งแถวนั้น เป็นร้านค้า มีพ่อค้าแม่ขายเพียบ ผมจึงไม่กลัว เลยตะโกนไปว่า แบบนี้ทำร้ายร่างกายนะเว้ย!! แต่พี่แกบอกว่า ไป!!เจอกันที่โรงพัก กูทำงานอยู่กองเมือง(ชื่อสถานีตำรวจ) ผมก็ โอเค ไปก็ไป
แต่ ขับรถไปได้ประมาณ20-30เมตร ผมเองก็ขับจักรยานยนต์ไม่ห่างจากเขามากประมาณ 1-2เมตร เขาจงใจเหยียบเบรค จนผมก็กำเบรคแทบไม่ทัน ชนเข้าข้างหลังรถฝั่งซ้ายใกล้ๆท่อรถยนต์ รถผม กระบังหน้าแตก ช่องเก็บของหน้ามอร์ไซด์แตก กรอบไฟเลี้ยวแตก ไฟหน้ารถแตก เขาผมมีรอยถลอกเล็กน้อย ไม่เจ็บมาก เพราะไม่ได้ขับรถเร็ว
ตอนที่เกิดเหตุ หลังจากชน เจ้าของรถเบนซ์ ลงจากรถมาแล้วชี้หน้าผมบอก ชนกู!! แล้วเขาก็ขับรถไป ส่วนตัวผม ผมได้แต่นั่งลงกับพื้น และพ่อค้าแม่ค้า ข้างๆทางเข้ามาช่วยผม และจดเลขป้ายทะเบียนรถเบนซ์คันดังกล่าวให้ พร้อมบอกว่าจะช่วยเป็นพยานให้ผมไปแจ้งตำรวจ ผมนั่งพัก ประมาณ5นาที แล้วสำรวจตัวเองว่าไม่มีบาดแผลออะไรมาก จึงลุกขึ้นและ ขับรถไปแจ้งความที่สน.กองเมือง
พอผมถึงสน.กองเมือง ผมเห็นตัวเขาและรถจอดอยู่ ผมเลยไปจอดรถมอไซด์ผมอีกฝั่ง และเดินเข้าไปแจ้งความ
ตำรวจให้ผมเล่ารายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน อย่างไร แต่ผมกลับได้กลิ่นเหล้าจากตำรวจที่รับแจ้งความอีก สักพัก หลังจากที่เล่ารายละเอียดจบ แกก็ลุกไปโทรศัพท์ข้างนอก ประมาณ5นาที และกลับเข้ามาถามผมเรื่อง พรบ. รถจักรยานยนต์ ผมตอบเขาไปว่า พรบผม ขาดไปตั้งแต่ปี 2556 และตัวผมเองก็ไม่มีใบขับขี่ แล้วเขาก็บอกจะไปดูรถของผม ผมเลยนำทางเขาไปที่รถผม แต่พอออกจากหน้า สน. มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาจาก อีกฝั่งของตึก บอกว่าใช่เหตุรถชน หรือเปล่า เขาเป็นเจ้าของรถ เขาบอกว่า จะเคลียร์ปัญหาเอง แล้วก็คุยเรื่อง ราคาค่าซ่อม ซึ่งแกบอกว่า "ของน้อง 1000-2000 แต่ของพี่ เป็นหมื่น พี่ต้องประเมินค่าเสียหายรถพี่ก่อน แล้วรถน้องมีพรบไหม ถ้าไม่มีโดนค่าปรับ เป็นหมื่นนะ" ตำรวจแกก็ เสริมทับด้วยว่า "ไม่มี พรบ. ต้องเสียหมื่นกว่าบาทนะ แถมจะยึดรถด้วย" ผมก็เลยเอา พรบ.ที่เขียนเอาไว้ว่าปี 2556 ขึ้นมา แล้วบอกเขาไปว่า เล่มทะเบียนรถ กับ พรบ.อยู่ที่พ่อผม(บ้านผมอยู่กรุงเทพ) ผมไม่รู้ว่าพ่อต่อแล้วหรือยัง จากนั้น ตำรวจก็บอกว่า งั้นพรุ่งนี้ ค่อยมาใหม่แล้วกัน ให้พ่อถายรูปเล่มทะเบียนรถ กับ พรบ. มาด้วย ส่งมาทางไลน์ก็ได้... แล้วผมก็ให้เบอร์มือถือผมก็ ผู้หญิงคนนั้น
สรุปคือ ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่รับแจ้ง เรื่องที่ผมรถชน แต่ผมอยากทราบว่า หากผมไม่มี พรบ หรือ พรบ ขาด ผมต้องเสียเท่าไหร่ แล้วผมก็ไม่มีใบขับขี่ด้วย แต่หาก ผมต้องการจะฟ้อง เรื่อง คนขับเบนซ์ ที่ เมาแล้วขับ ก็ ที่เขาตบหน้าผม จะได้ไหมครับ? แล้วเรื่องที่ตำรววจไม่รับแจ้งความของผมเนี่ย ปกติหรือเปล่าครับ
ปล. นี้เป็นกระทู้แรกๆ ของผม อาจจะพิมพ์ถูกพิมพ์ผิด ขออภัยด้วยนะครับ
หากเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ไม่มี พรบ. ใบขับขี่
สีบลอด์นเงิน จำป้ายทะเบียนไม่ได้ รู้แค่เลขทะเบียน 3991 ขับรถจี้ท้ายผม ผมจึงหลบเข้าซ้าย ชิดฟุตบาท และหันไปโบกให้รถเขาแซง เพราะผมจอดเทียบฟุตบาท แต่เขากลับบบีแตร และเปิดไฟสูงใส่ และ เหยียบคันเร่งแซงไปอย่างรวดเร็ว ห่างจากผมไม่กี่เซ็น.. ผมจึงสบถใส่ด้วยความโมโห เพราะให้ทางก็แล้ว เปิดไฟเลี้ยวก็เเล้ว น้ำใจช่วยโบกรถให้เพราะ กลัวเขาไม่เห็น แต่ทันที ที่ผมสบถ เขาเบรครถกระทันหัน ผมเองก็ไม่พอใจ เลยขี่จักรยานยนต์ไปเทียบข้างๆรถเขาแล้วถาม พี่เป็นอะไรมากไหม ทางก็มีกว้างขวาง พี่ขับแบบนี้ อันตรายนะ แต่สิ่งแรกที่ผมได้จากเขาคืนกลิ่นเหล้าแรงมาก และ น้ำเสียงที่ไม่พอใจ เขาบอกผม มีอะไร มีปัญหาไปเคลียร์ ที่โรงพัก!!! ผมก็โมโห เอ้า!! ไปก็ไป โรงพักยิ่งดีเลย เมาขนาดนี้ ... พี่แกหันมาหาผมแล้วตบหน้าผม แต่ผมเอามือกันไว้ ซึ่งแถวนั้น เป็นร้านค้า มีพ่อค้าแม่ขายเพียบ ผมจึงไม่กลัว เลยตะโกนไปว่า แบบนี้ทำร้ายร่างกายนะเว้ย!! แต่พี่แกบอกว่า ไป!!เจอกันที่โรงพัก กูทำงานอยู่กองเมือง(ชื่อสถานีตำรวจ) ผมก็ โอเค ไปก็ไป
แต่ ขับรถไปได้ประมาณ20-30เมตร ผมเองก็ขับจักรยานยนต์ไม่ห่างจากเขามากประมาณ 1-2เมตร เขาจงใจเหยียบเบรค จนผมก็กำเบรคแทบไม่ทัน ชนเข้าข้างหลังรถฝั่งซ้ายใกล้ๆท่อรถยนต์ รถผม กระบังหน้าแตก ช่องเก็บของหน้ามอร์ไซด์แตก กรอบไฟเลี้ยวแตก ไฟหน้ารถแตก เขาผมมีรอยถลอกเล็กน้อย ไม่เจ็บมาก เพราะไม่ได้ขับรถเร็ว
ตอนที่เกิดเหตุ หลังจากชน เจ้าของรถเบนซ์ ลงจากรถมาแล้วชี้หน้าผมบอก ชนกู!! แล้วเขาก็ขับรถไป ส่วนตัวผม ผมได้แต่นั่งลงกับพื้น และพ่อค้าแม่ค้า ข้างๆทางเข้ามาช่วยผม และจดเลขป้ายทะเบียนรถเบนซ์คันดังกล่าวให้ พร้อมบอกว่าจะช่วยเป็นพยานให้ผมไปแจ้งตำรวจ ผมนั่งพัก ประมาณ5นาที แล้วสำรวจตัวเองว่าไม่มีบาดแผลออะไรมาก จึงลุกขึ้นและ ขับรถไปแจ้งความที่สน.กองเมือง
พอผมถึงสน.กองเมือง ผมเห็นตัวเขาและรถจอดอยู่ ผมเลยไปจอดรถมอไซด์ผมอีกฝั่ง และเดินเข้าไปแจ้งความ
ตำรวจให้ผมเล่ารายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน อย่างไร แต่ผมกลับได้กลิ่นเหล้าจากตำรวจที่รับแจ้งความอีก สักพัก หลังจากที่เล่ารายละเอียดจบ แกก็ลุกไปโทรศัพท์ข้างนอก ประมาณ5นาที และกลับเข้ามาถามผมเรื่อง พรบ. รถจักรยานยนต์ ผมตอบเขาไปว่า พรบผม ขาดไปตั้งแต่ปี 2556 และตัวผมเองก็ไม่มีใบขับขี่ แล้วเขาก็บอกจะไปดูรถของผม ผมเลยนำทางเขาไปที่รถผม แต่พอออกจากหน้า สน. มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาจาก อีกฝั่งของตึก บอกว่าใช่เหตุรถชน หรือเปล่า เขาเป็นเจ้าของรถ เขาบอกว่า จะเคลียร์ปัญหาเอง แล้วก็คุยเรื่อง ราคาค่าซ่อม ซึ่งแกบอกว่า "ของน้อง 1000-2000 แต่ของพี่ เป็นหมื่น พี่ต้องประเมินค่าเสียหายรถพี่ก่อน แล้วรถน้องมีพรบไหม ถ้าไม่มีโดนค่าปรับ เป็นหมื่นนะ" ตำรวจแกก็ เสริมทับด้วยว่า "ไม่มี พรบ. ต้องเสียหมื่นกว่าบาทนะ แถมจะยึดรถด้วย" ผมก็เลยเอา พรบ.ที่เขียนเอาไว้ว่าปี 2556 ขึ้นมา แล้วบอกเขาไปว่า เล่มทะเบียนรถ กับ พรบ.อยู่ที่พ่อผม(บ้านผมอยู่กรุงเทพ) ผมไม่รู้ว่าพ่อต่อแล้วหรือยัง จากนั้น ตำรวจก็บอกว่า งั้นพรุ่งนี้ ค่อยมาใหม่แล้วกัน ให้พ่อถายรูปเล่มทะเบียนรถ กับ พรบ. มาด้วย ส่งมาทางไลน์ก็ได้... แล้วผมก็ให้เบอร์มือถือผมก็ ผู้หญิงคนนั้น
สรุปคือ ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่รับแจ้ง เรื่องที่ผมรถชน แต่ผมอยากทราบว่า หากผมไม่มี พรบ หรือ พรบ ขาด ผมต้องเสียเท่าไหร่ แล้วผมก็ไม่มีใบขับขี่ด้วย แต่หาก ผมต้องการจะฟ้อง เรื่อง คนขับเบนซ์ ที่ เมาแล้วขับ ก็ ที่เขาตบหน้าผม จะได้ไหมครับ? แล้วเรื่องที่ตำรววจไม่รับแจ้งความของผมเนี่ย ปกติหรือเปล่าครับ
ปล. นี้เป็นกระทู้แรกๆ ของผม อาจจะพิมพ์ถูกพิมพ์ผิด ขออภัยด้วยนะครับ