ถ้าไม่ได้สมัคร9วิชาสามัญ(เด็ก60)!!!!!!!! ผมอยากให้นักเศรษฐศาสตร์เข้ามาอ่านด้วยนะครับ

สวัสดีครับ ผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ

             สถานะการณ์ปัจจุบัน : ตอนนี้ผมอยู่ ม.6 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายและอยากเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพ(มธ , ม.จุฬา , ม.เกษตร [คณะเศรษฐศาสตร์]) แต่ว่าผมสมัครสอบ9วิชาสามัญไม่ทัน ช่วงนั้นผมเตรียมสอบ Gat-Pat แบบว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับข่าวสารต่างๆเลยหรือก็คือเก็บตัวอ่านหนังสืออย่างเดียว จนมารู้ตัววันที่25ธ.ค.2559ซึ่งวันนั้นผมเจอเพื่อนคนนึงมาทัก ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่า9วิชาสามัญไม่น่าได้ใช้เยอะ แต่วันนี้ผมลองหาข้อมูลการรับตรงต่างๆที่ยื่นคะแนน ปรากฎว่า ม.เกษตร,ม.จุฬา ใช้คะแนน9วิชาสามัญด้วย ทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองพลาดแล้ว เรานี่มันโง่จริงๆ ไม่รอบคอบ ประมาท คิดแค่ว่าสอบแค่Gat-Patก็พอ คือตอนนั้นโทษตัวเองมากๆเลยครับ(จนถึงตอนนี้ก็ยังพอมีอยู่)แต่ก็ทำใจได้หลังจากด่าตัวเองไป10กว่านาที เราพลาดไปในอดีตก็จริงแต่ทุกคนผิดพลาดได้และควรจดจำมันให้ขึ้นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าผมมาถึงจุดเผชิญปัญหา แล้วมันป้องกันอะไรไม่ได้แล้ว  เราควรหาวิธีจัดการกับมันมากกว่า  และตอนนี้ทางเลือกที่ผมคิดออกคือมีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือ สอบรอบรับตรงของ มธ.วันที่15ม.ค.2560ให้ติด และผมจะพยามเตรียมตัวกับทางเลือกนี้ไว้ก่อน
       แต่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่เพราะผมเป็นคนค่อนข้างรอบคอบในระดับหนึ่ง ดังนั้นผมอยากให้ท่านทั้งหลายช่วย
                                              แนะนำทางเลือกเพิ่มเติมให้กับผม จะเป็นพระคุณอย่างสูงเลยครับบบบบบบ
                                                        *******ตอนนี้ผมคิดทางเลือกอื่นๆไม่ออกจริงๆ*******
                            

               ***** หากใครสงสัยว่าทำไมถึงอยากเข้าไปในกรุงเทพ****

             ***เหตุผลของผมคือ ผมต้องการแสวงหาโอกาสครับ ผมต้องการพัฒนาตัวเองพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ถานะครอบครัวผมปานกลางค่อนข้างมีเงินนิดหน่อยถ้าเทียบในหมู่บ้าน เพราะพ่อผมทำธุรกิจเล็กๆ แต่หมู่บ้านผมเป็นหมู่บ้านชนบทนะครับ แทบจะติดกับหมู่บ้านชนเผ่าเลยล่ะครับ ตั้งแต่เล็กจนโตที่บ้านก็สอนเรื่องต่างๆที่พ่อ-แม่เราทุกคนสอนนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นอย่ากินเหล้านะมันไม่ดี ห้ามสูบบุหรี่นะ เป็นคนดีนะ พ่อ-แม่รักครอบครัวมากๆนะ เราทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวนะ พ่อทำงานไม่เคยเอาเปรียบลูกค้าเลยถ้าพ่อทำนะเรารวยไปแล้วเราคงไม่ลำบากขนาดนี้หรอกแต่พ่อจะไมยอมเอาเปรียบเขา และผมยังแปลกใจตัวเองว่าผมจดจำคำสอนทุกคำได้ขึ้นใจและฝังลึกลงไปในตัวเลยล่ะ ครั้งหนึ่งตอนม.ต้นผมพึ่งมารู้ว่าที่บ้านผมค่อนข้างมีถานะ ตั้งแต่เล็กจนตอนนั้นแม่ผมสอนผมตลอดเลยว่าต้องเป็นคนประหยัดนะเพราะเราไม่มีเงินเลย(ผมได้เงินไปโรงเรียนวันละ5-10บาทล่ะครับ T_T ) พอผมรู้เข้าตกใจสิครับ เห้ยยังไง มาหลอกกันได้ ผมก็ลำบากนะครับของเล่นที่อยากได้ตอนเด็กก็ไม่เคยร้องขอเพราะกลัวท่านลำบาก แต่พอลองถามดูแล้ว แม่บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงตั้งตัวเราไม่มีเงินจริงๆนั่นแหละ ลำบากมากเลยเปลี่ยนอาชีพเป็นสิบๆอาชีพ พอผมลองคิดดูมันก็น่าจะจริง เพราะตอนเด็กๆผมก็ไปช่วยแม่ขายของอยู่เลย พอหลังๆมาไม่ค่อยได้ทำอะไรแล้ว ได้เรียนได้เล่นตลอด และโรงเรียนที่ผมอยู่เป็นอำเภอที่ติด ชายแดนด้วยนะครับห่างจากที่บ้าน50กม. แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารมากมายเพราะอย่างน้อยๆ ก็มี 7-11 , Tesco Lotus
            พอผมมาลองคิดดูดีๆมันดีมากๆเสียอีกกับความลำบากในวัยเด็กของผม เพราะความลำบากตั้งแต่เด็กหล่อหลอมให้ผมคิดได้มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน หลังจบม.1พี่ผมบังคับผมไปบวชที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพช่วงนั้นบูมมากเลยวัดนี้ ผมก็ไปแบบงง ช่วงที่บวชผมได้มีเวลาคิดทบทวนสิ่งต่างที่ผ่านมา ผมทำได้ไม่ดีในเรื่องการเรียน(ช็อคเกรดครับ ตอนประถมได้3กว่าตลอด พอขึ้นม.1 ได้2.48)ผมควรพัฒนามันเพราะถ้าเป็นแบบนี้มันแย่แน่ๆผมเริ่มตั้งใจเรียนตอนม.2หลังจากที่ม.1 ผมอันดับรองบ๊วย พอจบม.2ผมได้ที่9 จบม.3ผมได้ที่1 ได้ไงเนี่ยช็อคสิครับ ได้แบบงงๆ(ตอนม.2ผมได้ครูดีและโคตรเก่งคอยแนะคอยสอนถึงกับมานอนโรงเรียนติว ติวแล้วติวอีก ติวทั้งปีอ่ะครับ)
          พอประสบความสัมเร็จผมเริ่มคิดว่าผมมาถึงจุดๆนี้ได้ยังไง ถ้าไม่มีพ่อ-แม่เลี้ยงเรามาเราจะเป็นยังไงและลองคิดดูเล่นว่าเงินที่ท่านเสียไปกับเรามันเท่าไหร่ พอดูรวมๆแล้วช็อคเลยครับตอนนั้น มันเยอะจริงๆหลายล้านเลยแล้วเราต้องรบกวนเค้ามากขึ้นอีกหลายเท่าเลยด้วย ผมเลยตั้งเป้าหมายในตอนนั้นว่า ผมต้อง"รวยมากๆมีเงินเยอะๆมันจะทำให้เราสบาย" (ถึงว่าล่ะคำๆนี้ถึงฝังในสมองของผมมาจนถึงตอนนี้)

             *** พอขึ้นม.ปลายผมก็เริ่มคิดว่าผมต้องการทำอาชีพอะไร คิดๆๆและคิดมาตลอด พอขึ้นม.5ผมคิดว่าผมอาจจะเหมาะกับวิศวะเพราะคะแนนฟิสิกส์ผม90+ แล้วลองทำโจทย์ฟิสิกส์ดูเยอะๆพยายามทำความเข้าใจกับอาชีพนี้(คนอ่าน : ทำโจทย์เกี่ยวอะไรกับการทำความเข้าใจอาชีพ/ผม : ผมสมมติการนำไปใช้น่ะครับ ) พอทำไปมากๆผมคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไหร่ ผมต้องการอะไรที่นำมาใช้ได้จริง ใช้กับตัวเอง และผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกมีแนวคิดมนุษย์นิยม(เชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถไร้ขีดจำกัด) และผมต้องการความสามารถแนวๆวางแผน อ่านคน อ่านเหตุการณ์ต่างๆวิเคราะห์สิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต จนม.5เทอม2ครูประจำชั้น(เป็นครูแนะแนว+ครูภาษาไทย จบจากกรุงเทพ)ถามทุกคนในห้องว่าต้องการเข้าคณะอะไร ผมก็เลยปรึกษาว่าจากที่เรารู้จักกันมา2-3ปีนี้ผมเหมาะกับคณะอะไร ครูเค้าก็บอกให้ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะเศรษฐศาสตร์ วิศวะ บริหาร บัญชี เพราะผมได้เปรียบเพื่อนคนอื่นๆด้านคณิตศาสตร์ จนผมรู้จักกับคณะเศรษฐศาสตร์ มันไม่มีคณะอะไรเหมาะกับผมไปกว่าคณะนี้แล้ว ถ้าผมไปเรียนคณิตผมก็ไม่น่ามีปัญหามากนัก แล้วยังมีเนื้อหาการสอนที่สอดแทรกปรัชญาต่างๆให้คิด เรียนประวัติศาสตร์เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในปัจจุบันและอนาคต ผมคิดว่าคณะนี้จะเปิดโลกสอนกระบวนการคิด การใช้งานสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราได้อย่างดี นี่คือสิ่งที่ผมหลงใหล ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกันคือ"ความความคิด"ผมต้องพัฒนาความคิดตัวเองกับสิ่งต่าง(ผมคิดถูกรึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ ถ้ามีกูรูที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ หรือนศ.คณะนี้มาแนะนำข้อมูลเพิ่มเติมจะดีมากๆครับ) ทำให้ผมต้องการที่จะเข้ามหาลัยในกรุงเทพที่มีระบบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสูงๆครับ


             ***และยังมีเรื่องในช่วง1-2ปีมานี้ผมรู้สึกเบื่อกับสังคมที่นี่มาก โรงเรียนแห่งนี้อบอุ่นมากๆครับอยู่กันเหมือนพี่น้องเพราะผมแทบจะรู้จักทุกคนในโรงเรียน(นร.700คน) แต่มันขาดการแข่งขันมากๆ การแข่งขันในการเรียนแทบจะไม่มี แนวคิดก็งั้นๆไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพื่อนๆส่วนมาก(เพื่อนผู้ชายนะครับ) วันๆมันแทบไม่ตั้งใจเรียน อย่างไอ้เพื่อนห้องข้างๆวันๆไม่ทำอะไรกันเลย เรียนๆเล่นๆยิ่งยุคสมัยนี้ทุกคนจะก้มหน้าก้มตากับบางสิ่งอย่างและส่วนมากจะติดเกมส์กันซะด้วย(เกมส์ผมก็เล่นนะครับ ผมมองว่าการเล่นเกมส์เป็นกิจกรรมเพิ่มความสัมพันธ์ ความสนิทสนมกับเพื่อน พอผมได้เล่นผมก็พยายามฝึกให้ไม่อ่อนเกินไป พอช่วยเหลือเพื่อนได้น่ะแหละครับนั่นแหละเป้าหมายล่ะ เปล่าติดนะครับ555) และบางคนนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลยโรงเรียนก็มาบ้างไม่มาบ้าง
พอถามว่าทำไมไม่มาโรงเรียน มันตอบว่ามันเมาครับ(เงิบสิครับ) มันไม่ห่วงอะไรกันเลยหรือยังไง  ผมก็เป็นห่วงพวกมันในระดับหนึ่งเหมือนกัน คอยเตือนตลอดถึงไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยเท่าไหร่บางครั้งมันก็ด่ากลับแต่ผมเข้าใจว่ามันล้อเล่น เพราะเพื่อนทุกคนสนิทกันมากต่างห้องยังสนิทกันมากยันรุ่นพี่รุ่นน้องเลยครับ


             ***แต่ถึงยังไงผมคิดว่ามันทุกคนคงเอาตัวรอดกันอยู่แล้ว มาห่วงตัวเองดีกว่าว่าจะเอายังไงดี ห่วงอนาคตตัวเองดีกว่า ผมวางแผนชีวิตไว้คร่าวๆว่า
            1 ตั้งใจหามหาลัยในกรุงเทพที่มีหลักสูตร คอนเน็กชัน สร้างโอกาสในการทำงานให้เราสูงๆ สนามแรกGat-Patแล้วยื่นคะแนนหรืออาจรอสอบรอบรับตรงมหาลัยบางแห่ง (และมารู้ในตอนนี้ว่าควรสอบ9วิชาสามัญด้วย ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงมันจริงๆนะสมองมีแค่Gat-Pat คิดแล้วเศร้าไม่จบบบบบบบ)
            2 หลังจากสอบติดมหาลัยแล้ว ผมวางแผนพัฒนาแนวคิดของตัวเองก่อน(ผมสือหนังสือ EDWARD DE BONO'S THINKING COURS ฉบับแปลมาเริ่มอ่าน) และจะหาคอร์สฝึกพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร(ผมอ่อนภาษาอังกฤษมากมาย ปัจจุบันผมทำได้เพียงพยายามทำข้อสอบให้เก่งๆ) หรืออาจจะอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์บ้าง เพราะช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาสบายๆยังไม่มีแรงกดดันอะไรมากนัก เหมาะสำหรับการพัฒนาแนวคิดต่างๆ(ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ)
            3 พอช่วงเข้ามหาลัยก็อาจจะร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งใจเรียน(เหมือนเคยได้ยินว่าเกรดมีผลกับการสมัครงาน) มีเพื่อนเยอะๆ และอาจจะหางานพาร์ทไทม์ทำบ้างเพื่อเก็บประสบการณ์ไปด้วย(ผมคิดว่าอาจจะลองทำงานตั้งแต่คนทำความสะอาด ล้างจานจนถึงผู้บริหาร  ค่อยๆไต่ไปผมไม่แน่ใจว่าแนวคิดนี้โอเคมั้ยนะ[ช่วงที่ทำงานระดับล่างๆก็คือช่วงที่เรียนด้วยทำงานด้วยน่ะครับ หรือผมควรมองหาจุดเริ่มที่จุดสูงๆเลย] ถ้ามีคนแนะนำจากประสบการณ์ตรงได้จะดีมากๆๆๆๆครับ)
            4 เก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆ เก็บประสบการณ์...เพราะการเริ่มต้นของผมคือเริ่มจากศูนย์ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ"แนวคิด"ผมจึงพยายามพัฒนาส่วนนี้เป็นสำคัญ ผมมาถูกทางรึเปล่าหว่า วานท่านนักเศรษฐศาสตร์ช่วยตอบผมทีนะครับ (ถึงตรงนี้นะครับที่เหลือผมคิดภาพไม่ออกว่าผมจะเจออะไรบ้างในวันข้างหน้า จนแนวคิดต่อสิ่งรอบๆตัวเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ผมก็ไม่อาจจะเดามันออกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัญญากับตัวเองเอาไว้คือ ผมจะไม่ทิ้งด้านดีๆของผมไป เพราะผมคิดว่าผมเป็นคนดีคนหนึ่งเลยก็ได้ เพื่อนๆผมยังบอกเลยนะไม่ได้หลงตัวเองนะครับ555  ผมเตรียมใจเผชิญกับสิ่งต่างๆไว้แล้วกับอนาคตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะพยายามจัดการกับสิ่งต่างๆให้ได้เพราะผมไม่อาจจะคาดเดาเกี่ยวกับมันได้มากนักเพราะทุกอย่าง ย่อมมีด้านดีและไม่ดีอยู่ที่เราจะยอมรับและปรับตัวเข้ากับมันได้มั้ย และตอนนี้ผมทำได้เพียงเตรียมตัวเผชิญกับมันเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด เพราะถึงยังไงตอนนี้ผมก็เป็นเพียงเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งเท่านั้นเอง)

             
       ********จบไปแล้วนะครับกับเรื่องส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ เหมือนจะนอกเรื่องไปมากเลยแต่ก็พอจะอยู่ในขอบเขตล่ะมั้งครับ หากใครอยากแนะนำอะไรที่
      เกี่ยวกับเรื่องราวของผมก็เชิญได้เลยนะครับ จะขอบคุณมากกกกเลยครับผมค่อนข้างชอบแนวคิดใหม่ๆหรือแนวคิดแปลกที่มีสาระหรือความเป็นไปได้

          
                  ******* คงยังไม่ลืมกันนะครับว่าผมต้องการคำแนะนำเส้นทางเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพพพพพ*******
                                              (   รบกวนช่วนแนะแนวทางเข้ามหาวิทยาลัยด้วยนะครับ นะครับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ )
                                                                                                                    ************ปล.ผมยังเกือบลืมเลยนะเนี่ย555


                                                                                                                                        ***ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่