สวัสดีครับ ผม Yod จาก Chinchilla การรีวิวรถคราวนี้จะเป็นคิวของรถ SUV ไซส์มินิจากค่ายใบพัดฟ้าขาว นั่นก็คือ BMW X1 ที่เพิ่งโมเดลเชนจ์ไปเมื่อไม่นานมานี้นะครับ เรามาดูกันดีกว่าครับว่ารถรุ่นนี้มีความเป็นมายังไง
BMW X1 เปิดตัวสู่สายตามหาชนครั้งแรกเมื่อปี 2009 ในชื่อรหัสตัวถังว่า E84 ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ BMW ซีรี่ย์ 3 Touring ตัว E91 ถือเป็นรถ SUV ขนาดซับคอมแพ็ครุ่นแรกของ BMW เลยครับ ตอน X1 โฉมนี้เปิดตัวใหม่ๆนี่ผมด่าแหลกเลยครับสำหรับดีไซน์ภายนอกว่า ทรงไม่สวย รถเตี้ยเกินกว่าจะเป็น SUV มันดูเหมือนเป็นรถแนว Estate ซะมากกว่า ลองดูในรูปสิครับ แถมนั่งไม่สบายด้วย
แต่ตอนที่ BMW ประกาศว่าจะเปิดตัว X1 โฉมใหม่ ในใจผมก็หวังว่า BMW จะปรับปรุงดีไซน์รถให้ดูดีกว่านี้ แล้วมันก็เป็นหยั่งงั้นจริงๆครับ ตัว F48 มันดูเป็น SUV เลยครับ ดีไซน์ก็ดูลงตัวมากขึ้น คือมันน่ามองขึ้นเยอะเลยครับ
เอาล่ะครับ พล่ามกันมานิดนึงและ เรามาเริ่มรีวิวกันดีกว่า
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของตัว F48 ถือว่าดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ด้วยตัวรถที่สูงขึ้นและขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ดูเป็น SUV มากขึ้น แต่ยังคงเส้นสายเดิมๆเอาไว้ ความสูงของรุ่นเดิมอยู่ที่ 1,535 มิลลิเมตร แต่รุ่นนี้ถูกยกขึ้นมาเป็น 1,612 มิลลิเมตร ว้าว ถือว่าเยอะเลยทีเดียว แต่รถจะสั้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย ผมว่าหลักการออกแบบรถของ BMW นี่คล้ายๆกับเบนซ์เลยครับคือ เส้นสายลวดลายจะเหมือนๆกันทุกคัน แค่จับมาเป่าลมหรือสูบลมออกแค่นั้น คือดีไซน์ด้านข้างมันเหมือนพี่กลางอย่าง X3 และด้านท้ายจะเหมือนพี่ใหญ่อย่าง X5 ครับ
ด้านออพชั่นภายนอกก็จะมีไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบส่องสว่างตอนเข้าโค้ง, ไฟท้าย LED (ลายสวยขึ้นเยอะ), ระบบ Comfort Access, ฝาท้ายแบบไฟฟ้าพร้อมระบบเตะเปิด, เซนเซอร์หน้า-หลัง จะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษครับ นอกจากระบบถอยจอดเอง ซึ่งผมจะพูดถึงในพาร์ทระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอื่นๆ
ภายใน
ภายในถือว่าไม่ต่างจากเดิมมากแต่ถูกปรับปรุงให้ดูดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า การดีไซน์ภายในของรถบีเอ็มนี่ผมว่ามันเป็นพวกอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่งเลยครับ ผมจำได้ว่ารถบีเอ็มเมื่อ 20 ปีก่อนดีไซน์ก็เป็นแบบนี้ครับ แค่ไม่มีหน้าจอและระบบ iDrive แถมหน้าปัดก็ไม่เคยเปลี่ยนแบบ แล้วมันก็เป็นหยั่งงี้ในรถทุกรุ่นของ BMW แต่ข้อดีของการทำแบบนี้คือ คนที่ขับรถบีเอ็มรุ่นเก่าๆจะไม่รู้สึกว่ารถตัวเองล้าสมัย คือมันดูได้นานอ่ะ แต่ที่ผมคาใจคือ หัวเกียร์ คือถ้าให้พูดหยาบๆเลยก็คงต้องบอกว่ามันอุบาทว์ มองไกลๆนี่เหมือนเกียร์กระปุกเลย ดูไม่ค่อยสมกับราคารถซะเท่าไหร่ ของรุ่นเดิมยังดูสวยกว่า วัสดุภายในถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนลดเกรดจากรุ่นก่อนไปนิดนึง คือสัมผัสแล้วมันรู้สึกว่าความพรีเมี่ยมมันไม่เท่าเดิม หนังหุ้มเบาะเป็นหนัง Dakota เช่นเดียวกับรถ BMW รุ่นอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าทำได้ดีครับ เบาะนั่งด้านหน้าทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า วิสัยทัศน์ดีขึ้นด้วยตำแหน่งเบาะที่ดีขึ้น และตัวรถที่สูงขึ้น เบาะหลังนั่งสบายกว่าเดิม พื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน แต่ผมรู้สึกว่าส่วนรองบั้นท้ายมันสั้นๆไปนิดนึง
ออพชั่นภายในอื่นๆก็จะมี แอร์ Dual-Zone, เบาะปรับไฟฟ้าพร้อม Memory, ไฟ Ambient Light ปรับได้ 3 สี, เบาะหลังปรับแยกได้แบบ 40:20:40, เบรกมือไฟฟ้า, ปุ่ม iDrive แบบ Touch Controller, ระบบ BMW Head-up Display (ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้าพร้อมไมล์ดิจิตอล แถมเรายังสามารถเลือกเพลงผ่านระบบนี้ได้ด้วย จากเดิมที่เราต้องเลือกเพลงบนหน้าปัด ข้อมูลมันจะถูกย้ายขึ้นไปบนกระจกแทน ทำให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ผมไม่สามารถถ่ายรูปในส่วนนี้ได้ ต้องขออภัยด้วยครับ)
ระบบ Infotainment
ระบบความบันเทิงใน X1 ใหม่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ด้วยลูกเล่นที่มากขึ้นและผมรู้สึกว่ากราฟฟิกหน้าจอมันดูดีขึ้นด้วย จอเป็นขนาด 8.8 นิ้ว ควบคุมผ่านปุ่ม iDrive Touch Controller ซึ่ง iDrive ตัวนี้สามารถทัชสกรีนได้ด้วยการเขียนอักษรบนตัว Controllerได้ซึ่งเป็นลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อน คือปกติระบบนี้จะมีอยู่ในเฉพาะตัวท็อปของซีรี่ย์ 5 หรือไม่ก็พวก X5 แต่คราวนี้ BMW ใจป้ำเรื่องนี้เลยใส่มาให้ในอาโซ้ยตี๋ (น้องเล็ก) ของตระกูลด้วย จะบอกว่าระบบพวกนี้ในรถบีเอ็มถือว่าทำได้ดีกว่าเบนซ์เยอะ คือมันเล่นง่ายและไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ และเพียงพอสำหรับการใช้งานจริง
ระบบความบันเทิงใน X1 ใหม่จะยังไม่มีพวก Android Auto, หรือ Apple CarPlay มาให้ ซึ่งผมแอบผิดหวังเล็กน้อยสำหรับจุดนี้
ลำโพงเป็นระบบ HiFi จาก BMW เลยครับ ฟีลลิ่งตอนเปิดเพลงก็ถือว่าใช้ได้ครับ ได้ยินเครื่องดนตรีครบทุกชิ้น เสียงก็ถือว่าหนักแน่นพอประมาณ คือไม่หนักเกินไปและก็ไม่ได้ไร้อารมณ์จนเกิน คือถ้าจะให้สรุปคือมันพอดีๆครับ
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
ขุมพลังที่วางอยู่ใต้ฝากระโปรง X1 ใหม่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 อยู่ที่ 9.1 วินาที โดยรวมแล้วก็ถือว่าแรงพอสมควรคือตอนความเร็วระหว่าง 0 ถึง 170 ขึ้นไวพอสมควรครับ แต่จะเริ่มขึ้นช้าหลังจาก 170 ขึ้นไป แต่ก็ยังถือว่าไหลต่อได้ เครื่องยนต์ถูกลดแรงม้าและแรงบิดลงมาจากรุ่นก่อนเนื่องจากทาง BMW ต้องการจะลดต้นทุนเพื่อทำราคาและเจาะตลาดกลุ่มคนให้มากขึ้น แต่สำหรับใครที่ชอบกด ชอบเหยียบหนักๆ ก็อาจจะไม่ชอบฟีลลิ่งของเครื่องยนต์ตัวนี้ครับ
เกียร์เป็นเกียร์ออโต้ 8 สปีด ซึ่งถูกยกมาจากรุ่นเดิม จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ก็ตามสไตล์บีเอ็มเลยครับ ไหลลื่น ไม่มีจังหวะสะดุด ทำให้ขับได้อย่างมันส์เลยครับ
โหมดการขับขี่สามารถปรับได้ 3 แบบคือ Eco Pro ซึ่งจะเน้นความประหยัด, Comfort แบบสายกลางชิวๆ, และแบบ Sport สำหรับคนเท้าหนักนิดๆ
อัตราสิ้นเปลืองทาง BMW เคลมไว้ที่ 20.4 กม/ลิตร แต่ตอนขับจริงได้ 18.5 กม/ลิตร ถือว่าประหยัดสะใจจริงๆครับ สำหรับรถเครื่อง 2.0 ทำเอาบรรดารถอีโคคาร์ญี่ปุ่นมองแบบค้อนๆได้เลยครับ
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอื่นๆ
ระบบความปลอดภัยใน BMW X1 จะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ระบบก็จะมีพวกของมาตรฐานในรถยนต์ในปัจจุบันอย่าง DSC, ABS, DTC, แล้วก็พวกแอร์แบก ม่านถุงลม จะบอกว่าโครงรถของรถตระกูล X ของ BMW ถือว่าแข็งพอสมควรเลยครับ คือตอนโดนชนมันจะไม่ค่อยบุบเยอะเท่าไหร่ถ้าไม่ได้ชนรุนแรงจริงๆ (ผมเคยเห็นในเหตุการณ์จริงตอน X5 เพื่อนผมโดนชน สีแค่ถลอกนิดเดียวแล้วรถไม่บุบเลย แต่อีกคันนี่กันชนยับ ไฟหน้าแตกเลยครับ) คือชิ้นส่วนรถ SUV ของ BMW ที่ขายในเมืองไทยจะนำเข้าจากอเมริกาแล้วก็มาประกอบที่ไทยครับ เลยได้มาตรฐานสูงไปด้วย
ระบบอื่นๆใน BMW X1 ก็จะมีระบบ Parking Assist ระบบจอดรถเองอัตโนมัติ ซึ่งผมว่าระบบของ BMW ใช้งานง่ายกว่าของเบนซ์และถอยได้เร็วกว่า แต่ข้อจำกัดของมันก็คือมันใช้ถอยเทียบฟุตบาทได้อย่างเดียว แต่ของเบนซ์มันจะทำได้ทั้งถอยเข้าซองและถอยเทียบ
วิธีการใช้ระบบคือ ขั้นแรกให้กดปุ่มสแกนหาที่จอดรูปตัว P ข้างๆปุ่ม iDrive ก่อนแล้วก็ขับวนหาที่จอด พอระบบเจอที่จอดมันจะขึ้นตัว P บนหน้าจอพร้อมลูกศรทิศทางว่ามันจะถอยไปทางไหน ถ้ามันขึ้นแล้วเราจะเอาที่จอดให้หยุดรถเลย ไม่งั้นระบบมันจะไปหาที่อื่นแทน คือระบบมันจะไม่ได้ถามเราเหมือนในเบนซ์ คือเจอปุ๊บให้หยุดเลยแล้วก็ใส่เกียร์ R แล้วปล่อยพวงมาลัยเลย
หลังจากนั้นก็คอยเลี้ยงเบรกเอาไว้แล้วให้รถมันถอยเอง ถ้ารถเคลื่อนที่เร็วเกินไป มันจะมีการเตือนบนหน้าจอให้ชะลอรถ พอรถจอดเสร็จ ระบบมันจะบอกว่าเรียบร้อย เราก็ใส่เกียร์ P ได้เลย แต่ถ้าเราเข้าเกียร์ผิดแบบว่ายังถอยไม่เสร็จแล้วไปเข้าเกียร์ D ระบบมันจะตัดเองเลย ระบบนี้ถือว่าช่วยได้พอสมควรครับ และผมคิดว่ามันน่าจะใส่มาให้ใน BMW 5-Series G30 ด้วยครับ
Test Drive
เส้นทางการทดสอบเจ้า X1 คราวนี้จะเป็นเส้นพระราม 3-สะพานภูมิพล-พระประแดง ตอนที่ออกจากศูนย์บีเอ็มพระราม 3 ผมลองกดคันเร่งเพื่อทดสอบการออกตัวดู การออกตัวถือว่าพุ่งพอสมควร และตอนขับขึ้นสะพานภูมิพล ผมเหยียบไปถึง 170 รถไม่มีอาการส่าย สั่น หรือว่าโยนตัวเลยครับ ทั้งๆที่เป็นรถสูง ช่วงล่างหนึบสุดๆ ตอนเร่งแซงก็ไม่ต้องลุ้นเลยครับ รถคล่องตัวมาก เป็นรถที่เอาไว้มุดได้ครับ คันเร่งตอบสนองไวมาก ตอนเข้าโค้งก็ให้ความมั่นใจได้ดีมากครับ นิ่งสุดๆ สาดโค้งสนุกเลยทีเดียว น้ำหนักพวงมาลัยถือว่าใช้ได้เลยครับไม่เบาจนเกินไป สมกับสโลแกน Sheer Driving Pleasure ของมันเลยครับ แถมการเก็บเสียงยังดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า วิสัยทัศน์ดีกว่าเก่าเยอะ ผมรู้สึกว่าหลังจากความเร็วแตะ 170 ถ้าจะไปต่อมันจะเริ่มช้าลง คืออย่างที่ผมบอกไว้ว่าเป็นรถที่ไม่เหมาะกับคนชอบขับรถเร็วซะเท่าไหร่ ฟีลลิ่งเบาะหลังนั่งสบายขึ้น ที่วางขากว้างขึ้น พื้นที่เหนือศีรษะเยอะขึ้น พนักพิงหลังถูกปรับให้เอนลงมากขึ้น
จากเดิมที่ BMW X1 ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับซีรี่ย์ 3 Touring ในโฉม E84 แต่ในโฉมนี้มันถูกเปลี่ยนไปแชร์แพลตฟอร์มกับซีรี่ย์ 2 Gran Tourer ระบบขับเคลื่อนจากเดิมที่ขับ 2 ล้อหลัง มันได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นระบบขับ 2 ล้อหน้า ซึ่งผมมองว่าเป็นการลดเกรดตัวเองลงมาเพื่อจะทำราคาให้ถูกลง และผมว่ามันเสียเอกลักษณ์ของ BMW ไปซึ่งก็คือ “เครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง” แต่มันก็ทำให้คุมรถง่ายขึ้นเพราะรถขับเคลื่อนล้อหน้าจะไม่มีอาการ Oversteer ซึ่งถ้าแก้ไม่ถูกวิธีมันจะอันตรายมากครับ คือท้ายมันจะออกถ้าเราหักพวงมาลัยแรงเกินครับ
สรุป
• ดีไซน์ภายนอกดูดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นรถ SUV จริงๆ ด้วยความที่รถสูงขึ้นและใหญ่ขึ้น
• เทคโนโลยีหลายอย่างถือว่าล้ำกว่าเดิม
• ภายในดูเรียบๆแต่ผมว่าดูได้นาน
• การวางตำแหน่งปุ่มถือว่าดีครับ ใช้งานง่าย
• Head-Up Display ถือว่ามองง่าย เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากครับ
• วัสดุภายในไม่เลว แต่มันดูแย่กว่ารุ่นเก่า
• ระบบความบันเทิงดูดีขึ้น มีของเล่นเพิ่มมาเยอะ
• เครื่องเสียงดีพอสมควร
• ช่วงล่างหนึบ เกาะถนนสุดๆ ขับมันส์จริง
• การเก็บเสียงดีขึ้นกว่าเดิม ห้องโดยสารเงียบเลยครับ
• เครื่องยนต์ยังแรงไม่สะใจเท่าไหร่ แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป
• พวงมาลัยคมและแม่นยำมาก
• คันเร่งไว เหยียบปุ๊บ มาปั๊บ
• เน้นคนขับแบบสุดๆ
• ขับในเมืองคล่องตัว ออกนอกเมืองก็ไม่น่าเกลียด
• ใช้กับครอบครัวก็ได้ ขับคนเดียวก็ดี
• พื้นที่ใช้สอยถือว่าเยอะอยู่
• เป็นรถบีเอ็มที่เหมาะกับคนที่คิดจะเปลี่ยนมาขับรถยี่ห้อนี้เป็นคันแรก
• เป็นรถที่ผู้ชายขับก็ดูได้ ผู้หญิงขับก็ดูดีครับ
BMW X1 sDrive 18d xLine สนนราคาอยู่ที่ 2,499,000 บาท ถือว่าทำราคามาได้ถูกกว่าตัวท็อปรุ่นก่อนหน้าประมาณ 300,000 บาท สิ่งที่ได้มาก็ถือว่าคุ้มราคาครับ
รีวิว: 2016 BMW X1 sDrive18d xLine F48 SUV น้องเล็กที่โตขึ้นจากแคว้นบาวาเรีย
สวัสดีครับ ผม Yod จาก Chinchilla การรีวิวรถคราวนี้จะเป็นคิวของรถ SUV ไซส์มินิจากค่ายใบพัดฟ้าขาว นั่นก็คือ BMW X1 ที่เพิ่งโมเดลเชนจ์ไปเมื่อไม่นานมานี้นะครับ เรามาดูกันดีกว่าครับว่ารถรุ่นนี้มีความเป็นมายังไง
BMW X1 เปิดตัวสู่สายตามหาชนครั้งแรกเมื่อปี 2009 ในชื่อรหัสตัวถังว่า E84 ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ BMW ซีรี่ย์ 3 Touring ตัว E91 ถือเป็นรถ SUV ขนาดซับคอมแพ็ครุ่นแรกของ BMW เลยครับ ตอน X1 โฉมนี้เปิดตัวใหม่ๆนี่ผมด่าแหลกเลยครับสำหรับดีไซน์ภายนอกว่า ทรงไม่สวย รถเตี้ยเกินกว่าจะเป็น SUV มันดูเหมือนเป็นรถแนว Estate ซะมากกว่า ลองดูในรูปสิครับ แถมนั่งไม่สบายด้วย
แต่ตอนที่ BMW ประกาศว่าจะเปิดตัว X1 โฉมใหม่ ในใจผมก็หวังว่า BMW จะปรับปรุงดีไซน์รถให้ดูดีกว่านี้ แล้วมันก็เป็นหยั่งงั้นจริงๆครับ ตัว F48 มันดูเป็น SUV เลยครับ ดีไซน์ก็ดูลงตัวมากขึ้น คือมันน่ามองขึ้นเยอะเลยครับ
เอาล่ะครับ พล่ามกันมานิดนึงและ เรามาเริ่มรีวิวกันดีกว่า
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของตัว F48 ถือว่าดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ด้วยตัวรถที่สูงขึ้นและขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ดูเป็น SUV มากขึ้น แต่ยังคงเส้นสายเดิมๆเอาไว้ ความสูงของรุ่นเดิมอยู่ที่ 1,535 มิลลิเมตร แต่รุ่นนี้ถูกยกขึ้นมาเป็น 1,612 มิลลิเมตร ว้าว ถือว่าเยอะเลยทีเดียว แต่รถจะสั้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย ผมว่าหลักการออกแบบรถของ BMW นี่คล้ายๆกับเบนซ์เลยครับคือ เส้นสายลวดลายจะเหมือนๆกันทุกคัน แค่จับมาเป่าลมหรือสูบลมออกแค่นั้น คือดีไซน์ด้านข้างมันเหมือนพี่กลางอย่าง X3 และด้านท้ายจะเหมือนพี่ใหญ่อย่าง X5 ครับ
ด้านออพชั่นภายนอกก็จะมีไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบส่องสว่างตอนเข้าโค้ง, ไฟท้าย LED (ลายสวยขึ้นเยอะ), ระบบ Comfort Access, ฝาท้ายแบบไฟฟ้าพร้อมระบบเตะเปิด, เซนเซอร์หน้า-หลัง จะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษครับ นอกจากระบบถอยจอดเอง ซึ่งผมจะพูดถึงในพาร์ทระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอื่นๆ
ภายใน
ภายในถือว่าไม่ต่างจากเดิมมากแต่ถูกปรับปรุงให้ดูดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า การดีไซน์ภายในของรถบีเอ็มนี่ผมว่ามันเป็นพวกอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่งเลยครับ ผมจำได้ว่ารถบีเอ็มเมื่อ 20 ปีก่อนดีไซน์ก็เป็นแบบนี้ครับ แค่ไม่มีหน้าจอและระบบ iDrive แถมหน้าปัดก็ไม่เคยเปลี่ยนแบบ แล้วมันก็เป็นหยั่งงี้ในรถทุกรุ่นของ BMW แต่ข้อดีของการทำแบบนี้คือ คนที่ขับรถบีเอ็มรุ่นเก่าๆจะไม่รู้สึกว่ารถตัวเองล้าสมัย คือมันดูได้นานอ่ะ แต่ที่ผมคาใจคือ หัวเกียร์ คือถ้าให้พูดหยาบๆเลยก็คงต้องบอกว่ามันอุบาทว์ มองไกลๆนี่เหมือนเกียร์กระปุกเลย ดูไม่ค่อยสมกับราคารถซะเท่าไหร่ ของรุ่นเดิมยังดูสวยกว่า วัสดุภายในถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนลดเกรดจากรุ่นก่อนไปนิดนึง คือสัมผัสแล้วมันรู้สึกว่าความพรีเมี่ยมมันไม่เท่าเดิม หนังหุ้มเบาะเป็นหนัง Dakota เช่นเดียวกับรถ BMW รุ่นอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าทำได้ดีครับ เบาะนั่งด้านหน้าทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า วิสัยทัศน์ดีขึ้นด้วยตำแหน่งเบาะที่ดีขึ้น และตัวรถที่สูงขึ้น เบาะหลังนั่งสบายกว่าเดิม พื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน แต่ผมรู้สึกว่าส่วนรองบั้นท้ายมันสั้นๆไปนิดนึง
ออพชั่นภายในอื่นๆก็จะมี แอร์ Dual-Zone, เบาะปรับไฟฟ้าพร้อม Memory, ไฟ Ambient Light ปรับได้ 3 สี, เบาะหลังปรับแยกได้แบบ 40:20:40, เบรกมือไฟฟ้า, ปุ่ม iDrive แบบ Touch Controller, ระบบ BMW Head-up Display (ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้าพร้อมไมล์ดิจิตอล แถมเรายังสามารถเลือกเพลงผ่านระบบนี้ได้ด้วย จากเดิมที่เราต้องเลือกเพลงบนหน้าปัด ข้อมูลมันจะถูกย้ายขึ้นไปบนกระจกแทน ทำให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ผมไม่สามารถถ่ายรูปในส่วนนี้ได้ ต้องขออภัยด้วยครับ)
ระบบ Infotainment
ระบบความบันเทิงใน X1 ใหม่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ด้วยลูกเล่นที่มากขึ้นและผมรู้สึกว่ากราฟฟิกหน้าจอมันดูดีขึ้นด้วย จอเป็นขนาด 8.8 นิ้ว ควบคุมผ่านปุ่ม iDrive Touch Controller ซึ่ง iDrive ตัวนี้สามารถทัชสกรีนได้ด้วยการเขียนอักษรบนตัว Controllerได้ซึ่งเป็นลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อน คือปกติระบบนี้จะมีอยู่ในเฉพาะตัวท็อปของซีรี่ย์ 5 หรือไม่ก็พวก X5 แต่คราวนี้ BMW ใจป้ำเรื่องนี้เลยใส่มาให้ในอาโซ้ยตี๋ (น้องเล็ก) ของตระกูลด้วย จะบอกว่าระบบพวกนี้ในรถบีเอ็มถือว่าทำได้ดีกว่าเบนซ์เยอะ คือมันเล่นง่ายและไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ และเพียงพอสำหรับการใช้งานจริง
ระบบความบันเทิงใน X1 ใหม่จะยังไม่มีพวก Android Auto, หรือ Apple CarPlay มาให้ ซึ่งผมแอบผิดหวังเล็กน้อยสำหรับจุดนี้
ลำโพงเป็นระบบ HiFi จาก BMW เลยครับ ฟีลลิ่งตอนเปิดเพลงก็ถือว่าใช้ได้ครับ ได้ยินเครื่องดนตรีครบทุกชิ้น เสียงก็ถือว่าหนักแน่นพอประมาณ คือไม่หนักเกินไปและก็ไม่ได้ไร้อารมณ์จนเกิน คือถ้าจะให้สรุปคือมันพอดีๆครับ
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
ขุมพลังที่วางอยู่ใต้ฝากระโปรง X1 ใหม่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 อยู่ที่ 9.1 วินาที โดยรวมแล้วก็ถือว่าแรงพอสมควรคือตอนความเร็วระหว่าง 0 ถึง 170 ขึ้นไวพอสมควรครับ แต่จะเริ่มขึ้นช้าหลังจาก 170 ขึ้นไป แต่ก็ยังถือว่าไหลต่อได้ เครื่องยนต์ถูกลดแรงม้าและแรงบิดลงมาจากรุ่นก่อนเนื่องจากทาง BMW ต้องการจะลดต้นทุนเพื่อทำราคาและเจาะตลาดกลุ่มคนให้มากขึ้น แต่สำหรับใครที่ชอบกด ชอบเหยียบหนักๆ ก็อาจจะไม่ชอบฟีลลิ่งของเครื่องยนต์ตัวนี้ครับ
เกียร์เป็นเกียร์ออโต้ 8 สปีด ซึ่งถูกยกมาจากรุ่นเดิม จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ก็ตามสไตล์บีเอ็มเลยครับ ไหลลื่น ไม่มีจังหวะสะดุด ทำให้ขับได้อย่างมันส์เลยครับ
โหมดการขับขี่สามารถปรับได้ 3 แบบคือ Eco Pro ซึ่งจะเน้นความประหยัด, Comfort แบบสายกลางชิวๆ, และแบบ Sport สำหรับคนเท้าหนักนิดๆ
อัตราสิ้นเปลืองทาง BMW เคลมไว้ที่ 20.4 กม/ลิตร แต่ตอนขับจริงได้ 18.5 กม/ลิตร ถือว่าประหยัดสะใจจริงๆครับ สำหรับรถเครื่อง 2.0 ทำเอาบรรดารถอีโคคาร์ญี่ปุ่นมองแบบค้อนๆได้เลยครับ
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอื่นๆ
ระบบความปลอดภัยใน BMW X1 จะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ระบบก็จะมีพวกของมาตรฐานในรถยนต์ในปัจจุบันอย่าง DSC, ABS, DTC, แล้วก็พวกแอร์แบก ม่านถุงลม จะบอกว่าโครงรถของรถตระกูล X ของ BMW ถือว่าแข็งพอสมควรเลยครับ คือตอนโดนชนมันจะไม่ค่อยบุบเยอะเท่าไหร่ถ้าไม่ได้ชนรุนแรงจริงๆ (ผมเคยเห็นในเหตุการณ์จริงตอน X5 เพื่อนผมโดนชน สีแค่ถลอกนิดเดียวแล้วรถไม่บุบเลย แต่อีกคันนี่กันชนยับ ไฟหน้าแตกเลยครับ) คือชิ้นส่วนรถ SUV ของ BMW ที่ขายในเมืองไทยจะนำเข้าจากอเมริกาแล้วก็มาประกอบที่ไทยครับ เลยได้มาตรฐานสูงไปด้วย
ระบบอื่นๆใน BMW X1 ก็จะมีระบบ Parking Assist ระบบจอดรถเองอัตโนมัติ ซึ่งผมว่าระบบของ BMW ใช้งานง่ายกว่าของเบนซ์และถอยได้เร็วกว่า แต่ข้อจำกัดของมันก็คือมันใช้ถอยเทียบฟุตบาทได้อย่างเดียว แต่ของเบนซ์มันจะทำได้ทั้งถอยเข้าซองและถอยเทียบ
วิธีการใช้ระบบคือ ขั้นแรกให้กดปุ่มสแกนหาที่จอดรูปตัว P ข้างๆปุ่ม iDrive ก่อนแล้วก็ขับวนหาที่จอด พอระบบเจอที่จอดมันจะขึ้นตัว P บนหน้าจอพร้อมลูกศรทิศทางว่ามันจะถอยไปทางไหน ถ้ามันขึ้นแล้วเราจะเอาที่จอดให้หยุดรถเลย ไม่งั้นระบบมันจะไปหาที่อื่นแทน คือระบบมันจะไม่ได้ถามเราเหมือนในเบนซ์ คือเจอปุ๊บให้หยุดเลยแล้วก็ใส่เกียร์ R แล้วปล่อยพวงมาลัยเลย
หลังจากนั้นก็คอยเลี้ยงเบรกเอาไว้แล้วให้รถมันถอยเอง ถ้ารถเคลื่อนที่เร็วเกินไป มันจะมีการเตือนบนหน้าจอให้ชะลอรถ พอรถจอดเสร็จ ระบบมันจะบอกว่าเรียบร้อย เราก็ใส่เกียร์ P ได้เลย แต่ถ้าเราเข้าเกียร์ผิดแบบว่ายังถอยไม่เสร็จแล้วไปเข้าเกียร์ D ระบบมันจะตัดเองเลย ระบบนี้ถือว่าช่วยได้พอสมควรครับ และผมคิดว่ามันน่าจะใส่มาให้ใน BMW 5-Series G30 ด้วยครับ
Test Drive
เส้นทางการทดสอบเจ้า X1 คราวนี้จะเป็นเส้นพระราม 3-สะพานภูมิพล-พระประแดง ตอนที่ออกจากศูนย์บีเอ็มพระราม 3 ผมลองกดคันเร่งเพื่อทดสอบการออกตัวดู การออกตัวถือว่าพุ่งพอสมควร และตอนขับขึ้นสะพานภูมิพล ผมเหยียบไปถึง 170 รถไม่มีอาการส่าย สั่น หรือว่าโยนตัวเลยครับ ทั้งๆที่เป็นรถสูง ช่วงล่างหนึบสุดๆ ตอนเร่งแซงก็ไม่ต้องลุ้นเลยครับ รถคล่องตัวมาก เป็นรถที่เอาไว้มุดได้ครับ คันเร่งตอบสนองไวมาก ตอนเข้าโค้งก็ให้ความมั่นใจได้ดีมากครับ นิ่งสุดๆ สาดโค้งสนุกเลยทีเดียว น้ำหนักพวงมาลัยถือว่าใช้ได้เลยครับไม่เบาจนเกินไป สมกับสโลแกน Sheer Driving Pleasure ของมันเลยครับ แถมการเก็บเสียงยังดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า วิสัยทัศน์ดีกว่าเก่าเยอะ ผมรู้สึกว่าหลังจากความเร็วแตะ 170 ถ้าจะไปต่อมันจะเริ่มช้าลง คืออย่างที่ผมบอกไว้ว่าเป็นรถที่ไม่เหมาะกับคนชอบขับรถเร็วซะเท่าไหร่ ฟีลลิ่งเบาะหลังนั่งสบายขึ้น ที่วางขากว้างขึ้น พื้นที่เหนือศีรษะเยอะขึ้น พนักพิงหลังถูกปรับให้เอนลงมากขึ้น
จากเดิมที่ BMW X1 ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับซีรี่ย์ 3 Touring ในโฉม E84 แต่ในโฉมนี้มันถูกเปลี่ยนไปแชร์แพลตฟอร์มกับซีรี่ย์ 2 Gran Tourer ระบบขับเคลื่อนจากเดิมที่ขับ 2 ล้อหลัง มันได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นระบบขับ 2 ล้อหน้า ซึ่งผมมองว่าเป็นการลดเกรดตัวเองลงมาเพื่อจะทำราคาให้ถูกลง และผมว่ามันเสียเอกลักษณ์ของ BMW ไปซึ่งก็คือ “เครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง” แต่มันก็ทำให้คุมรถง่ายขึ้นเพราะรถขับเคลื่อนล้อหน้าจะไม่มีอาการ Oversteer ซึ่งถ้าแก้ไม่ถูกวิธีมันจะอันตรายมากครับ คือท้ายมันจะออกถ้าเราหักพวงมาลัยแรงเกินครับ
สรุป
• ดีไซน์ภายนอกดูดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นรถ SUV จริงๆ ด้วยความที่รถสูงขึ้นและใหญ่ขึ้น
• เทคโนโลยีหลายอย่างถือว่าล้ำกว่าเดิม
• ภายในดูเรียบๆแต่ผมว่าดูได้นาน
• การวางตำแหน่งปุ่มถือว่าดีครับ ใช้งานง่าย
• Head-Up Display ถือว่ามองง่าย เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากครับ
• วัสดุภายในไม่เลว แต่มันดูแย่กว่ารุ่นเก่า
• ระบบความบันเทิงดูดีขึ้น มีของเล่นเพิ่มมาเยอะ
• เครื่องเสียงดีพอสมควร
• ช่วงล่างหนึบ เกาะถนนสุดๆ ขับมันส์จริง
• การเก็บเสียงดีขึ้นกว่าเดิม ห้องโดยสารเงียบเลยครับ
• เครื่องยนต์ยังแรงไม่สะใจเท่าไหร่ แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป
• พวงมาลัยคมและแม่นยำมาก
• คันเร่งไว เหยียบปุ๊บ มาปั๊บ
• เน้นคนขับแบบสุดๆ
• ขับในเมืองคล่องตัว ออกนอกเมืองก็ไม่น่าเกลียด
• ใช้กับครอบครัวก็ได้ ขับคนเดียวก็ดี
• พื้นที่ใช้สอยถือว่าเยอะอยู่
• เป็นรถบีเอ็มที่เหมาะกับคนที่คิดจะเปลี่ยนมาขับรถยี่ห้อนี้เป็นคันแรก
• เป็นรถที่ผู้ชายขับก็ดูได้ ผู้หญิงขับก็ดูดีครับ
BMW X1 sDrive 18d xLine สนนราคาอยู่ที่ 2,499,000 บาท ถือว่าทำราคามาได้ถูกกว่าตัวท็อปรุ่นก่อนหน้าประมาณ 300,000 บาท สิ่งที่ได้มาก็ถือว่าคุ้มราคาครับ