เรื่องมีอยู่ว่า...
ดิฉัน เป็นข้าราชการ ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ภาคใต้ซึ่งไกลสามี และสามีดิฉันก็รับราชการทหาร และต้องปฏิบัติหน้าที่ ณ ชายแดน โดยจะมีระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 20 วัน หยุด 10 วัน โดยที่สามีจะเดินทางไปมาหาสู่ตลอดเวลาที่ได้พัก ดิฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย และกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ
ต่อมา ดิฉันมีความรู้สึกว่าสามีเปลี่ยนไป ไม่ห่วงใย ไม่ไปมาหาสู่เหมือนเคย บางครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย และมักจะได้รับคำตอบว่าอยู่ในพื้นที่ และความสงสัยเพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจที่หย่าให้สามีเพื่อให้สามีเป็นอิสระต่อกัน ตามพฤติกรรมที่เค้าแสดงให้รับรู้ ตลอดมา แต่เค้าก็ไม่ยอมหย่า และอยากให้ดิฉันทบทวน และพยายามให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่ามีความสุขกันมากแค่ไหน และแล้วดิฉันก็ใจอ่อน ยอมดีกับเค้าเหมือนเดิม
ต่อมาไม่นาน ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2559 ดิฉันต้องเดินทางไปธุระที่จังหวัดกาญจนบุรี และเป็นจังหวัดบ้านเกิดของสามีดิฉัน ในวันที่ดิฉันเดินทางไป สามีพยายามที่จะมาพบมาเจอ ด้วยความที่ไม่ได้เจอไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน แม้เวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความหมายมาก ดิฉันรอ รอด้วยใจจดจ่อกับการกลับมาเจอหน้ากันของเค้า เรามีความสุขกันมาก แต่แล้ว ความสุขมันก็อยู่กับเราไม่นาน
ช่วงเช้าของวันที่ดิฉันต้องเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม มีผู้หญิงคนนึง โทรเข้าเบอร์มือถือสามี ดิฉันก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอสายเข้าหลายครั้ง และไม่มีชื่อโชว์อยู่ที่โทรศัพท์ ดิฉันก็เอาเบอร์โทรตรวจสอบกับ Line ก็ขึ้นเป็นไลน์ของผู้หญิง ซึ่งเป็นแม่หม้าย ลูก 2 สามีตาย ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยประถมของสามีดิฉันเอง ดิฉันจึงโทรกลับ เพราะคิดว่าอาจจะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับตอบกลับมาว่า ตัวเองเป็นเมียของสามีดิฉัน จากคำที่เค้าบอก หน้าดิฉันร้อนวูบ เหมือนโดนตบหน้าด้วยรองเท้าเข้าอย่างจัง คิดวนไปมา นี่เหรอที่บอกมาเสมอว่าผู้หญิงคนนั้นแค่เพื่อน ไม่มีอะไรเกินเลย แค่แม่หม้ายลูกติด แค่สงสารเพื่อน แต่ทำไม เพื่อน กลับมามีอะไรกับเพื่อน กลับมาอ้างตัวเป็นเมียสามีดิฉัน แล้วทะเบียนสมรสดิฉันล่ะ มันไม่มีความหมาย และยืนยันได้เลยเหรอกับสถานะของดิฉัน
ดิฉันพลาด ตรงที่คุมอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าสามีอย่างจัง แถมผู้หญิงคนนั้น ยังโทรมาบอกดิฉันอีกว่า ถ้าสามีดิฉันเอาเค้า เค้าก็จะเอา และบอกดิฉันว่า คนที่ควรด่าว่าคือสามีดิฉัน ไม่ใช่เค้า เพราะสามีดิฉันไปยุ่งกับเค้าเอง ความผิดชอบชั่วดี และการหาเหตุผลของดิฉันกระบวนการคิดต่างๆ เริ่มทำงานหนักมาก คำว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง มันก็วนมาในสมอง มีแต่คำถามว่าดิฉันผิดอะไร จะด้วยตำแหน่ง หน้าที่การงาน การศึกษา อายุ เหนือกว่าผู้หญิงคนนั้นทุกอย่าง ว่าง่ายๆ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรเอามาเทียบกับดิฉันได้แม้แต่ปลายเล็บ ดิฉันถึงขั้นหยิบปืนกะจะยิงให้สามีตัวเองตายไปเลยทีเดียว แต่โชคดีปืนไม่มีกระสุน จึงตัดสินใจ เก็บเสื้อผ้าและจะไปร้องเรียนที่ต้นสังกัดของสามี ดิฉันทราบดีว่า การร้องเรียนด้านวินัย ในฐานะภรรยาหลวงนั้น สามารถทำให้สามีดิฉันหมดอนาคตทางราชการได้เลย แต่แล้วก็ได้รับการเตือนสติจากผู้กองท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของสามี ดิฉันจึงได้สติ พอตั้งสติได้ ก็เครียกับสามี
คำตอบของสามีคือ จะไม่มีวันทิ้งภรรยาคนนี้ เค้าบอกว่าเค้ามีดิฉันเป็นภรรยาคนเดียว ที่ผ่านมาอาจจะเผลอไปบ้าง อยากจะขอโอกาส และจะไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอีก ให้เค้ากราบเค้าก็ยอม กราบขอโทษเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เสียใจที่ได้เพื่อนเป็นภรรยาน้อย แต่ต้องเสียเพื่อนสมัยประถมที่เรียนด้วยกันมา ดิฉันคิดว่า สิ่งที่จะทำให้ครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้ คือการให้อภัยเท่านั้น ดิฉันจึงตัดสินใจให้อภัย และสัญญาจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
หลังจากที่ดิฉันและสามี เครียกัยจบ ทำให้ดิฉันเข้าใจเรื่องนึงคือ ความสุขในชีวิตนั้นจะมีได้ด้วยการให้อภัยเท่านั้นจริงๆ....
แต่แล้ว ความสุขก็มีมารผจญ เมื่อภรรยาน้อยคนนั้น ไปถึงบ้านแม่ของสามีดิฉัน ด้วยความเป็นเพื่อนสมัยเรียน บวกกับ เพื่อนที่คิดว่าจะเข้าใจเป็นคนนำทาง และพากันยกพวกไปขู่แม่ของสามี ให้หวาดกลัว ขู่ว่าอีกสามวัน ถ้าสามีดิฉันไม่เครียดกับเค้า จะรวมกันเดินทางไปต้นสังกัด เพื่อร้องเรียนให้สามีดิฉันออกจากราชการ มิหนำซ้ำยังขู่จะไปแจ้งความว่าสามีดิฉันข่มขืน
เพื่อความสบายใจของตัวดิฉันเอง ดิฉันจึงติดต่อขอคุยกับทนาย เกี่ยวกับผลที่จะเกิดในสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นขู่ไว้
1. ยกพวกเข้าไปที่บ้านแม่สามีดิฉัน ข่มขู่ ให้แม่สามีดิฉัน ไปแจ้งความบุกรุกได้เลย เนื่องจากยกพวกไปเกิน 3 คน เพื่อลงบันทึกประจำวัน หากยกพวกมาอีก จะสามารถดำเนินคดีได้ตามกฏหมาย
2. จะไปร้องเรียนที่ต้นสังกัด เนื่องจากดิฉันเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมาย คนที่จะทำให้สามีดิฉันออกจากราชการได้นั้น คือดิฉันคนเดียว แต่ดิฉันได้ให้อภัยไปแล้ว จึงไม่คิดจะทำ ดังนั้น ดิฉันยินดีให้ผู้หญิงคนนั้นไปร้องเรียนได้ตามสบาย ผลที่ตามมาคือ ลูกเค้าอีกสองคนคงจะอายที่มีแม่แบบนี้ และสิ่งที่เค้าทำเท่ากับประจานตัวเอง แค่มานอนกับสามีคนอื่น ทั้งๆ ที่มีภรรยามีทะเบียนถูกต้อง
3. ถ้าแม่หม้ายวัย 42 ไปแจ้งความคดีข่มขืน อายุขนาดนี้ วัยวุฒิพร้อมที่จะสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี ศิลธรรม และสามัญสำนึก กระทั่งการศึกษาและการอบรมเลี้ยงดูมา ควรจะแยกแยะได้ว่า การแจ้งความในวัยขนาดนี้ และเหตุการณ์เกิดที่บ้านของฝ่ายหญิง ญาติฝ่ายหญิงยินดีและรู้เห็นเป็นใจ เท่ากับสมยอม ไม่ได้เรียกว่าการข่มขืนบังคับแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครไปบังคับให้คุณแก้ผ้าได้หรอก ถ้าคุณไม่ถอดเอง
4. ในฐานะที่ดิฉันเองเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย ถ้ารำคาญใจ และข่มขู่ สร้างปัญหาอีก ให้ดิฉันฟ้องเอาค่าเสียหายได้ ซึ่งดิฉันเก็บหลักฐานไว้ครบถ้วน เช่น ภาพการแสดงตัวในการสนทนาในไลน์ บันทึกเสียงการสนทนาในสายโทรศัพท์ ในข้อหาทำให้ครอบครัวดิฉันแตกแยก ระราน หมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรี และค่าเสียหายที่จะได้รับขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดิฉันเอง ยิ่งสูง ก็ยิ่งต้องจ่ายค่าเสียหายสูงตาม มีค่าใช้จ่ายคือ ค่าทนาย หลักหมื่น
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันรู้ว่า การที่เรายิ่งดิ้น แล้วทำอะไรไม่ได้ มันยิ่งเหนื่อย ยิ่งรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ ก็ยิ่งแค้น จากคำที่ผู้หญิงคนนั้นอาฆาตว่าจะทำให้สามีดิฉันไม่มีความสุข และดิฉันอยู่กับผู้ชายคนนี้จะหาความสุขไม่ได้ ทางเข้าบ้านแม่สามีดิฉันเค้ารู้ ซักวันเค้าจะต้องเจอ
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า แม่หม้ายลูกสองต้องการสามีดิฉันมาก ถึงมากที่สุด แม้ทะเบียนสมรสอยู่ในมือดิฉัน ก็ไม่สามารถทำให้เค้าปล่อยวาง และอโหสิกรรมต่อกันได้ แต่โชคดีเป็นของดิฉัน ที่ได้รับการเตือนและสั่งสอน จากผู้ใหญ่ ทนาย ตลอดจนเพื่อนร่วมงานที่ดี ทำให้ดิฉันนิ่ง และผ่านเรื่องนี้มาได้ด้วยการเป็นนางเอก และคอยดูเรื่องราวทั้งหมดให้มันเป็นไปและจบลงด้วยตัวของมันเอง
"สุดท้าย...สิ่งที่ต้องเตือนให้ทุกคนรู้คือ ความเป็นเพื่อนเป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุด หากเปลี่ยนสถานะเมื่อใดปัญหาก็จะตามมาทันทีถ้าความรักที่มีไม่ใช่เรื่องจริง หรือแค่หลอกลวงกัน ผู้หญิงผู้ชาย ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งสองฝ่าย และบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ควรยืนตรงกลาง เพราะซ้ายก็เพื่อน ขวาก็เพื่อน ควรเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยไม่ใช่ยุยงส่งเสริม การเป็นคนเก่งนั้นดี แต่อย่าลืม ว่าคนเก่งกว่าก็มีมากนัก ผู้หญิงเรา จะทำอะไรให้ตัวเองได้อาย หากมีลูกสิ่งแรกที่ควรนึกถึง คือลูก สามีเลิกกันไปก็คือคนอื่น แต่ลูกยังไงก็เป็นลูกเรา ผู้ชายร้อยทั้งร้อย การจะจดทะเบียนกับใครนั้น เค้าต้องมั่นใจแล้วว่า คนคนนั้นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ และเป็นตัวจริงไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่นของเค้า" ปลงคะ ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และคอยเตือนใจใครหลายๆ คน ที่คิดจะมายุ่งกับสามีคนอื่น ให้สืบประวัติ ไตร่ตรองหาข้อเท็จจริง ด้วยสมองที่มี ตระหนักถึงความผิดชอบชั่วดี อย่าอยากได้จนลืมศักดิ์ศรีของความเป็นหญิงเด็ดขาด นิยายจากชีวิตจริง
เมื่อมีคนอยากได้สามีเรา...น่าสงสารเค้านะ
ดิฉัน เป็นข้าราชการ ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ภาคใต้ซึ่งไกลสามี และสามีดิฉันก็รับราชการทหาร และต้องปฏิบัติหน้าที่ ณ ชายแดน โดยจะมีระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 20 วัน หยุด 10 วัน โดยที่สามีจะเดินทางไปมาหาสู่ตลอดเวลาที่ได้พัก ดิฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย และกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ
ต่อมา ดิฉันมีความรู้สึกว่าสามีเปลี่ยนไป ไม่ห่วงใย ไม่ไปมาหาสู่เหมือนเคย บางครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย และมักจะได้รับคำตอบว่าอยู่ในพื้นที่ และความสงสัยเพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจที่หย่าให้สามีเพื่อให้สามีเป็นอิสระต่อกัน ตามพฤติกรรมที่เค้าแสดงให้รับรู้ ตลอดมา แต่เค้าก็ไม่ยอมหย่า และอยากให้ดิฉันทบทวน และพยายามให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่ามีความสุขกันมากแค่ไหน และแล้วดิฉันก็ใจอ่อน ยอมดีกับเค้าเหมือนเดิม
ต่อมาไม่นาน ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2559 ดิฉันต้องเดินทางไปธุระที่จังหวัดกาญจนบุรี และเป็นจังหวัดบ้านเกิดของสามีดิฉัน ในวันที่ดิฉันเดินทางไป สามีพยายามที่จะมาพบมาเจอ ด้วยความที่ไม่ได้เจอไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน แม้เวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความหมายมาก ดิฉันรอ รอด้วยใจจดจ่อกับการกลับมาเจอหน้ากันของเค้า เรามีความสุขกันมาก แต่แล้ว ความสุขมันก็อยู่กับเราไม่นาน
ช่วงเช้าของวันที่ดิฉันต้องเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม มีผู้หญิงคนนึง โทรเข้าเบอร์มือถือสามี ดิฉันก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอสายเข้าหลายครั้ง และไม่มีชื่อโชว์อยู่ที่โทรศัพท์ ดิฉันก็เอาเบอร์โทรตรวจสอบกับ Line ก็ขึ้นเป็นไลน์ของผู้หญิง ซึ่งเป็นแม่หม้าย ลูก 2 สามีตาย ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยประถมของสามีดิฉันเอง ดิฉันจึงโทรกลับ เพราะคิดว่าอาจจะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับตอบกลับมาว่า ตัวเองเป็นเมียของสามีดิฉัน จากคำที่เค้าบอก หน้าดิฉันร้อนวูบ เหมือนโดนตบหน้าด้วยรองเท้าเข้าอย่างจัง คิดวนไปมา นี่เหรอที่บอกมาเสมอว่าผู้หญิงคนนั้นแค่เพื่อน ไม่มีอะไรเกินเลย แค่แม่หม้ายลูกติด แค่สงสารเพื่อน แต่ทำไม เพื่อน กลับมามีอะไรกับเพื่อน กลับมาอ้างตัวเป็นเมียสามีดิฉัน แล้วทะเบียนสมรสดิฉันล่ะ มันไม่มีความหมาย และยืนยันได้เลยเหรอกับสถานะของดิฉัน
ดิฉันพลาด ตรงที่คุมอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าสามีอย่างจัง แถมผู้หญิงคนนั้น ยังโทรมาบอกดิฉันอีกว่า ถ้าสามีดิฉันเอาเค้า เค้าก็จะเอา และบอกดิฉันว่า คนที่ควรด่าว่าคือสามีดิฉัน ไม่ใช่เค้า เพราะสามีดิฉันไปยุ่งกับเค้าเอง ความผิดชอบชั่วดี และการหาเหตุผลของดิฉันกระบวนการคิดต่างๆ เริ่มทำงานหนักมาก คำว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง มันก็วนมาในสมอง มีแต่คำถามว่าดิฉันผิดอะไร จะด้วยตำแหน่ง หน้าที่การงาน การศึกษา อายุ เหนือกว่าผู้หญิงคนนั้นทุกอย่าง ว่าง่ายๆ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรเอามาเทียบกับดิฉันได้แม้แต่ปลายเล็บ ดิฉันถึงขั้นหยิบปืนกะจะยิงให้สามีตัวเองตายไปเลยทีเดียว แต่โชคดีปืนไม่มีกระสุน จึงตัดสินใจ เก็บเสื้อผ้าและจะไปร้องเรียนที่ต้นสังกัดของสามี ดิฉันทราบดีว่า การร้องเรียนด้านวินัย ในฐานะภรรยาหลวงนั้น สามารถทำให้สามีดิฉันหมดอนาคตทางราชการได้เลย แต่แล้วก็ได้รับการเตือนสติจากผู้กองท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของสามี ดิฉันจึงได้สติ พอตั้งสติได้ ก็เครียกับสามี
คำตอบของสามีคือ จะไม่มีวันทิ้งภรรยาคนนี้ เค้าบอกว่าเค้ามีดิฉันเป็นภรรยาคนเดียว ที่ผ่านมาอาจจะเผลอไปบ้าง อยากจะขอโอกาส และจะไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอีก ให้เค้ากราบเค้าก็ยอม กราบขอโทษเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เสียใจที่ได้เพื่อนเป็นภรรยาน้อย แต่ต้องเสียเพื่อนสมัยประถมที่เรียนด้วยกันมา ดิฉันคิดว่า สิ่งที่จะทำให้ครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้ คือการให้อภัยเท่านั้น ดิฉันจึงตัดสินใจให้อภัย และสัญญาจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
หลังจากที่ดิฉันและสามี เครียกัยจบ ทำให้ดิฉันเข้าใจเรื่องนึงคือ ความสุขในชีวิตนั้นจะมีได้ด้วยการให้อภัยเท่านั้นจริงๆ....
แต่แล้ว ความสุขก็มีมารผจญ เมื่อภรรยาน้อยคนนั้น ไปถึงบ้านแม่ของสามีดิฉัน ด้วยความเป็นเพื่อนสมัยเรียน บวกกับ เพื่อนที่คิดว่าจะเข้าใจเป็นคนนำทาง และพากันยกพวกไปขู่แม่ของสามี ให้หวาดกลัว ขู่ว่าอีกสามวัน ถ้าสามีดิฉันไม่เครียดกับเค้า จะรวมกันเดินทางไปต้นสังกัด เพื่อร้องเรียนให้สามีดิฉันออกจากราชการ มิหนำซ้ำยังขู่จะไปแจ้งความว่าสามีดิฉันข่มขืน
เพื่อความสบายใจของตัวดิฉันเอง ดิฉันจึงติดต่อขอคุยกับทนาย เกี่ยวกับผลที่จะเกิดในสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นขู่ไว้
1. ยกพวกเข้าไปที่บ้านแม่สามีดิฉัน ข่มขู่ ให้แม่สามีดิฉัน ไปแจ้งความบุกรุกได้เลย เนื่องจากยกพวกไปเกิน 3 คน เพื่อลงบันทึกประจำวัน หากยกพวกมาอีก จะสามารถดำเนินคดีได้ตามกฏหมาย
2. จะไปร้องเรียนที่ต้นสังกัด เนื่องจากดิฉันเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมาย คนที่จะทำให้สามีดิฉันออกจากราชการได้นั้น คือดิฉันคนเดียว แต่ดิฉันได้ให้อภัยไปแล้ว จึงไม่คิดจะทำ ดังนั้น ดิฉันยินดีให้ผู้หญิงคนนั้นไปร้องเรียนได้ตามสบาย ผลที่ตามมาคือ ลูกเค้าอีกสองคนคงจะอายที่มีแม่แบบนี้ และสิ่งที่เค้าทำเท่ากับประจานตัวเอง แค่มานอนกับสามีคนอื่น ทั้งๆ ที่มีภรรยามีทะเบียนถูกต้อง
3. ถ้าแม่หม้ายวัย 42 ไปแจ้งความคดีข่มขืน อายุขนาดนี้ วัยวุฒิพร้อมที่จะสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี ศิลธรรม และสามัญสำนึก กระทั่งการศึกษาและการอบรมเลี้ยงดูมา ควรจะแยกแยะได้ว่า การแจ้งความในวัยขนาดนี้ และเหตุการณ์เกิดที่บ้านของฝ่ายหญิง ญาติฝ่ายหญิงยินดีและรู้เห็นเป็นใจ เท่ากับสมยอม ไม่ได้เรียกว่าการข่มขืนบังคับแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครไปบังคับให้คุณแก้ผ้าได้หรอก ถ้าคุณไม่ถอดเอง
4. ในฐานะที่ดิฉันเองเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย ถ้ารำคาญใจ และข่มขู่ สร้างปัญหาอีก ให้ดิฉันฟ้องเอาค่าเสียหายได้ ซึ่งดิฉันเก็บหลักฐานไว้ครบถ้วน เช่น ภาพการแสดงตัวในการสนทนาในไลน์ บันทึกเสียงการสนทนาในสายโทรศัพท์ ในข้อหาทำให้ครอบครัวดิฉันแตกแยก ระราน หมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรี และค่าเสียหายที่จะได้รับขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดิฉันเอง ยิ่งสูง ก็ยิ่งต้องจ่ายค่าเสียหายสูงตาม มีค่าใช้จ่ายคือ ค่าทนาย หลักหมื่น
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันรู้ว่า การที่เรายิ่งดิ้น แล้วทำอะไรไม่ได้ มันยิ่งเหนื่อย ยิ่งรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ ก็ยิ่งแค้น จากคำที่ผู้หญิงคนนั้นอาฆาตว่าจะทำให้สามีดิฉันไม่มีความสุข และดิฉันอยู่กับผู้ชายคนนี้จะหาความสุขไม่ได้ ทางเข้าบ้านแม่สามีดิฉันเค้ารู้ ซักวันเค้าจะต้องเจอ
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า แม่หม้ายลูกสองต้องการสามีดิฉันมาก ถึงมากที่สุด แม้ทะเบียนสมรสอยู่ในมือดิฉัน ก็ไม่สามารถทำให้เค้าปล่อยวาง และอโหสิกรรมต่อกันได้ แต่โชคดีเป็นของดิฉัน ที่ได้รับการเตือนและสั่งสอน จากผู้ใหญ่ ทนาย ตลอดจนเพื่อนร่วมงานที่ดี ทำให้ดิฉันนิ่ง และผ่านเรื่องนี้มาได้ด้วยการเป็นนางเอก และคอยดูเรื่องราวทั้งหมดให้มันเป็นไปและจบลงด้วยตัวของมันเอง
"สุดท้าย...สิ่งที่ต้องเตือนให้ทุกคนรู้คือ ความเป็นเพื่อนเป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุด หากเปลี่ยนสถานะเมื่อใดปัญหาก็จะตามมาทันทีถ้าความรักที่มีไม่ใช่เรื่องจริง หรือแค่หลอกลวงกัน ผู้หญิงผู้ชาย ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งสองฝ่าย และบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ควรยืนตรงกลาง เพราะซ้ายก็เพื่อน ขวาก็เพื่อน ควรเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยไม่ใช่ยุยงส่งเสริม การเป็นคนเก่งนั้นดี แต่อย่าลืม ว่าคนเก่งกว่าก็มีมากนัก ผู้หญิงเรา จะทำอะไรให้ตัวเองได้อาย หากมีลูกสิ่งแรกที่ควรนึกถึง คือลูก สามีเลิกกันไปก็คือคนอื่น แต่ลูกยังไงก็เป็นลูกเรา ผู้ชายร้อยทั้งร้อย การจะจดทะเบียนกับใครนั้น เค้าต้องมั่นใจแล้วว่า คนคนนั้นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ และเป็นตัวจริงไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่นของเค้า" ปลงคะ ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และคอยเตือนใจใครหลายๆ คน ที่คิดจะมายุ่งกับสามีคนอื่น ให้สืบประวัติ ไตร่ตรองหาข้อเท็จจริง ด้วยสมองที่มี ตระหนักถึงความผิดชอบชั่วดี อย่าอยากได้จนลืมศักดิ์ศรีของความเป็นหญิงเด็ดขาด นิยายจากชีวิตจริง