ผมเป็นนักเรียนทุนวิทยาศาสตร์ทุนหนึ่งที่ให้ถึงระดับปริญญาเอก ทุนนี้เป็นทุนที่ไม่ให้เปล่าครับ เรียนจบมาตั้งทำงานชดใช้ทุน โดยทำงานกับภาครัฐ เอาเด็กมาเร็วสุดตั้งแต่มัธยมมาจับเซนต์สัญญาให้เงินเดือน เรียนจบก็เกือบอายุสามสิบ และต้องทำงานชดใช้อีกเป็นระยะเวลานาน ผมจะเล่าตีแผ่ชีวิตเด็กทุนครับว่าเจออะไรมาบ้างหวังว่ามันจะได้ประโยชน์สำหรับน้องๆที่สนใจทุนนี้ หรือผู้ปกครองที่กำลังดันให้ลูกรับทุนนี้
ผมได้รับคัดเลือกตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะสอบติด ผมสอบติดโควต้าหลายที่มากมาย ผมได้มีชื่อยู่ในทะเบียนของนักศึกษาคณะหนึ่งที่ชอบแล้วเหลือแค่ขั้นตอนจ่ายเงินค่าลงทะเบียน แต่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดคืออยู่ดีๆทุนนี้ก็โทรมาให้ผมไปทำสัญญา ต้องเล่าเท้าความก่อนว่าผมก็สอบติดทุนนี้แต่ว่าติดเป็นตัวสำรอง พอตัวจริงสละสิทธิ์หมดก็เลยตกมาที่ผม พอพ่อผมได้ยินปุ๊บวันรุ่งขึ้นก็พาผมไปเซ็นต์สัญญาเลย ตอนนั้นผมยังเป็นแค่เด็กพึ่งจบม.หก ยังไม่รู้ว่าชอบเรียนอะไรชัดเจน คือแนวๆว่าเรียนอะไรก็ได้ และคงไม่คิดที่จะเรียนวิทยาศาสตร์แน่ๆเพราะจากที่มองจากข้างนอกรู้สึกว่าคณะนี้มันเห็นภาพไม่ชัดเจนว่าจะไปทำอะไร แต่ด้วยเนื่องจากพ่อแม่ผมอยากให้ลูกจบปริญญาเอก ผมจึงโดนไซโคให้เลือกรับทุนนี้ และข้อดีของทุนนี้คือมีเงินเดือนให้ ผมคิดว่าเอาวะเซนต์ก็ได้มีเงินเดือนให้ด้วยจะได้ไม่ต้องเบียดเบียนพ่อแม่ เด็กพึ่งจบม.หกคนหนึ่งได้มีเงินใช้เองไม่ต้องขอพ่อแม่สำหรับผมตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ภูมิใจนะ แต่ก็ยังคิดถึงคณะอื่นที่ปฏิเสธไปและยังเคืองพ่อที่มากดดันให้เลือกรับทุนจนถึงวันนี้
ชีวิตในมหาลัยตอนป.ตรี จากที่เคยคิดไว้ว่าจะสบายมีเงินใช้ไม่ต้องขอพ่อขอแม่ แต่ไม่เลยไม่เป็นอย่างที่คิดเลย เงินเดือนจ่ายค่าหอพักก็หมดแล้วผมต้องขอพ่อแม่เหมือนเดิม เหมือนเงินที่ได้มาแค่เอาไว้แบ่งเบาค่าหอ มิหนำซ้ำเงินยังออกช้าอีกช้าชนิดที่ว่าช้าเป็นเทอม ผมต้องไปถามที่การเงินหลายครั้งจนเขารำคาญรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขอทานอย่างนั้นเรื่องเงินนี้ถ้าจะให้แฉจริงนี้ยาวเลยครับต้องตั้งกระทู้ใหม่เลย เรียนก็หนักมาก ใครบอกว่าสอบหมอสอบวิศวะสอบเภสัชไม่ติดแล้วมาเรียนวิทยาศาสตร์ขอบอกว่าคุณคิดผิด ค่านิยมที่ว่าเรียนเก่งแล้วต้องเรียนหมออย่างเดียวนี้คิดซะใหม่ครับ เก่งจริงต้องมาเรียนวิทยาศาสตร์ด้วย และทุนของผมต้องรักษาเกรดให้อย่าต่ำกว่า 3.00 ไม่งั้นหลุดทุน (ถ้าย้อนไปได้ผมจะทำให้ตัวเองหลุดทุน) มีบางปีนี่หนักมาก เดินแค่ไปม. เรียน อ่านสือ กลับหอนอนเช้าก็ไปใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เมื่อจบปีสี่ก็จบด้วยเกียตินิยม หลังจากนั้นก็ต้องหาที่เรียนต่อ ณ ตอนนั้นผมก็ค้นพบความจริงบางอย่างว่าทุนเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์มีเยอะมากๆแถมให้มากกว่าทุนที่ผมรับด้วย บางทุนก็ทุนให้เปล่า สำหรับใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ผมแนะนำเลยครับว่าอย่ามาเอาทุนนี้เพราะอย่างที่บอกมันคือสัญญาระยะยาวนาน ถ้าวันนึงในอนาคตเราเกิดเปลี่ยนไป ความคิดเปลี่ยนไปมันแก้ไขอะไรยาก ผมเสียดายมากๆที่มารับทุนนี้ตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าเรียนไปแล้วมันไม่ใช่ ถึงแม้ผมจะเรียนได้เกียรตินิยมก็เหอะ ผมเรียนด้วยความทรมานไม่ได้เรียนเพราะความชอบ ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบแต่ต้องกล้ำกลืนเอาให้มันผ่านไป แต่ตอนป.ตรียังไม่รู้สึกไม่ชัดเจนเท่าไรมากเท่าไร
พอขึ้นป.โทผมก็ต่อที่ไทยเพราะสอบไปต่างประเทศไม่ติด บอกไว้เป็นความรู้นิดหนึ่งสำหรับคนที่คิดจะเรียนวิทยาศาสตร์คือคุณต้องเก่งภาษาอังกฤษ เพราะสำคัญมากๆ ตอนคุณไปสอบชิงทุนต่างประเทศขอแค่คุณเก่งภาษาส่วนวิชาการไม่ต้องเก่งมากเท่าไรคุณก็ได้ไปแล้ว คุณได้ TOEFL 80 คะแนน คุณก็สามารถไปเรียนต่อได้แล้ว และภาษาอังกฤษยังจำเป็นมากสำหรับการเขียนตีพิมพ์งานวิจัยซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในระดับป.โท-เอก ซึ่งแต่ไหนแต่ไรภาษาอังกฤษนี้เป็นของแสลงของผมมาโดยตลอด ที่ผมมาสอบทุนนี้ตอนม.หกก็เพราะว่าไม่มีสอบภาษาอังกฤษก็เลยสอบ แต่ที่ไหนได้พอเข้ามาเรียนมาเต็ม เหมือนเกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น แต่ถึงจะได้คลุกคลีมาตลอดก็ตามภาษาอังกฤษผมก็ยังไม่ดีเพียงพอ ชีวิตตอนป.โทก็เรียนน้อยกว่าป.ตรีหน่อย และหนักไปทางงานวิจัย ซึ่งไอ้ตัวนี้แหละที่ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมมาผิดสายจริงๆ ผมรู้ว่าผมชอบอะไรจริงๆ
งานวิจัยเป็นงานที่ต้องหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มันเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายเลย ตอนคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะทำวิจัยเกี่ยวกับอะไรแพลนไว้ว่าอะไรทุกอย่างดูง่ายดาย มันง่ายมากถ้ามันเป็นไปตามที่คิดกันไว้ แต่เพราะมันเป็นงานที่ต้องหาอะไรใหม่ๆที่ไม่มีใครทำ เลยไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปตามที่คิดหรือไม่ เช่น มีหัวข้อวิจัยว่าจะทำตัวนี้ให้ได้ตามกระบวนการ a b c อะไรก็ว่าไป แต่ๆๆ มันดันไม่เกิดจะทำยังไงมันก็ไม่เกิด งัดทุกวิธีการและทุกทฤษฎีบนโลกนี้มาแล้วก็ไม่เกิด จะทำอย่างไร ต้องผิดหวังซ้ำๆกับผลแลบ มันไม่ง่ายเลยที่จะอยู่กับความผิดหวังแบบนี้ มันเครียด ใครที่เคยเจอจะรู้ดีว่ามันขนาดไหน บางคนกระบวนการมีสี่ ห้า ขั้นตอน ตอนแรกๆก็สังเคราะห์ได้ แต่มาตกม้าตายตอนขั้นสุดท้ายที่ทำยังไงก็ไม่ได้เสียเวลามาเกือบปี ณ ตอนนั้นก็ต้องเลือกระหว่างหาโปรเจคใหม่ หรือทำอันเดิมให้ได้ มันเหมือนทางแยกสองทางที่ไม่มีทางรู้ว่าถ้าเลือกทางนั้นจะไปเจอกับอะไรจะไปถึงจุดหมายได้ไหม ทุกอย่างที่ผมเขียนมาผมเจอมาหมด ผมใช่เวลาเรียนป.โทไปเกือบสามปีครึ่งกว่าจะผ่านมันมาได้ แค่นั้นยังไม่พอผมต้องมานั่งเขียนตีพิมพ์งานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษ ผมใช้เวลาสี่เดือนเพียงเพื่อเขียน ระยะเวลาสี่เดือนเป็นอะไรที่ทรมานมากเพราะต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ ที่รู้สึกแย่ไปกว่านั้นก็คือที่ผมเขียนมาทั้งหมด อาจารย์แก้หมดเลยไม่มีประโยคของผมสักประโยคเดียว
อย่างที่ได้บอกไปว่าช่วงเวลาป.โท ทำให้ผมรู้ว่าผมชอบอะไร ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงที่ทำให้ผมรู้สึกชัดเจนว่าผมตัดสินใจผิดพลาดที่มาทางสายนี้ อะไรที่ผมไม่ชอบเหรอ สิ่งที่ไม่ชอบของผมก็คือต้องทนทรมานกับผลแลบที่ล้มเหลวเป็นร้อยๆครั้ง ผมรู้สึกเฉยๆมากที่ใครคนหนึ่งตีพิมพ์ผลงานวิจัยได้ เวลามีประชุมวิชาการผมไม่เคยเข้าไปนั่งฟังเลยเพราะผมไม่ชอบ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องมีสำหรับคนที่เรียนทางายนี้ แต่ผมไม่มีความรู้สึกนั้นเลย
เวลานี้เพื่อนผม ไม่ว่าจะหมอ เภสัช วิศวะ บลาๆๆ ก็จบมีงานทำกันหมดแล้ว แถมเงินเดือนยังเยอะอีกต่างหาก เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งตอนม.ปลายก็เรียนมาด้วยกันก็ไม่เก่งอะไร แต่ฟลุ๊ดสอบติดเภสัช เพราะตอนนั้นเป็นแค่ข้อสอบวัดไอคิวอีคิว มันเลยติด ตอนเรียนป.ตรีมันก็เกือบโดนไทร์ จบออกมาเกรดสองนิดๆ แต่พอมาทำเงินเงินเดือนสตาร์ท 50,000 บาท เพื่อนผมที่เป็นหมอ ไม่ต้องพูดถึงเยอะพอกัน มันเกิดการเปรียบเทียบไง คือเราเรียนมาแทบตาย ยากก็ยากไม่แพ้เพื่อนที่เรียนสายอื่น เงินก็ยังไม่มีอาชีพก็ยังไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่าง ทุกวันนี้ยังต้องขอเงินพ่อแม่ เพื่อนมีรถมีบ้าน ตัวผมมีอะไร ผมพยายามไม่คิดเปรียบเทียบกับคนอื่นนะ แต่มันเห็นกันจะๆว่าเพื่อนมีอะไรบ้าง จะห้ามใจไม่ให้คิดได้อย่างไร ผมก็ต้องเรียนต่อ
ผมมานั่งคิดดูว่าผมต้องใช้เวลาอีกประมาณห้าปีถึงจะจบป.เอก ซึ่งระหว่างห้าปีนี้คงสาหัสเอามากๆ จบออกมาใช้ทุนเป็นอาจารย์ที่ม. หรือสถาบันวิจัยของรัฐ เงินเดือนแค่ไม่กี่บาท เทียบกับสิ่งที่ผมลำบาก เทียบกับสิ่งที่ผมสูญเสียไป ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้ม แล้วยิ่งไปเทียบกับเพื่อนผมอีกที่ได้เงินเดือนกันสูงๆ ซึ่งมันได้เริ่มต้นชีวิตมันก่อนผมห้า หก ปี กว่าผมจะเริ่มใช้ชีวิตตัวเองได้ก็อายุสามสิบกว่าๆ เกาะพ่อแม่กินจนเกือบสามสิบมันคุ้มไหมกับสิ่งที่ผมทำอยู่ ผมลองนั่งคิดดูถ้าผมไม่รับทุนนี้ป่านี้ผมคงได้งานที่ได้เงินเพียงพอที่ผมต้องการและไม่ต้องมานั่งเคว้งคว้างอย่างนี้ ทุนนี้เคยทำอะไรให้เด็กทุนรู้สึกมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมั่ง แค่ให้เงินนิดๆหน่อยๆแทบไม่พอกินแถมออกช้ามากต้องไปทวงเหมือนขอทาน ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้เงินคืนสองเท่าผมคงเอาเงินไปคืนหมดแล้ว ที่ผมต้องการคือทำอย่างไงก็ได้ให้พวกผมรู้สึกดีขึ้นรู้สึกมีเกียรติอยากรับใช้ชาติ ทุนนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการดึงเด็กเก่งๆไว้ทำงานให้กับชาติ เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครมานั่งทนกับงานของรัฐ คนเก่งก็ไปทำกับเอกชนเงินเดือนสูงลิบดูแลพนักงานก็ดี ก็เลยหาทางที่จะดึงเด็กเก่งเข้ามา โดยให้ทุนเล็กๆน้อยๆแล้วมาอ้างบุญคุณใหญ่โต ในความคิดผม ถ้าคุณอยากดึงเด็กเก่งๆมาทำงานคุณก็ทำง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีทุนนี้เกิดขึ้นเลยแค่เพิ่มเงินให้เท่าเอกชนหรือน้อยกว่าแต่อย่าให้ห่างกันมากในสายงานที่ขาดแคลนแค่นี้ก็มีแต่คนเก่งแย่งเข้าแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาให้ทุนเด็กซึ่งมันลงทุนค่อยข้างเยอะและใช้เวลานานและมีความเสี่ยงสูง ไปเซนต์เขามาตั้งแต่ม.4 ตอนนั้นเด็กมันยังคิดเองไม่ได้หรอกมันอาจจะมาเปลี่ยนใจตอนโตก็ได้ไม่สงสารเด็กบ้างเหรอ จะออกก็ออกไม่ได้เพราะเจอสัญญาชดใช้สองเท่า เรื่องเงินนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ นี่นั่งคิดดูว่ากูจะทนเรียนทนลำบากมาเพื่อจะมารับเงินเดือนแค่นี้เหรอ มองไปที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนมาหนักพอๆกันบางคนเรียนสบายกว่า แต่เงินเดือนมากกว่าเราไม่รู้กี่เท่า แถมตอนนี้การเป็นอาจารย์มหาลัยก็ไม่ใช่แบบเก่า ไม่มีอะไรพิเศษหรือดึงดูดให้ทำเลย เริ่มใช้ชีวิตของตัวเองช้ากว่าเพื่อน5ปีขึ้น มันคุ้มไหม
ที่เขียนมาหลายท่านคงคิดว่าผมเห็นแก่เงิน แต่ผมอยากให้รู้ว่า ใครมั่งที่ยอมเหนื่อยฟรี แต่ถ้าท่านลองมาเจอแบบผมท่านก็คงคิดว่ามันไม่คุ้มเลย ถ้าได้เงินเดือนคุ้มกับที่ผมต้องเจอมา ผมจะไม่มานั่งบ่นสักคำ จะให้เราเสียสละเพื่อชาติ แต่มันก็ควรจะให้เรามีรายได้สมกับความสามารถเรา ไม่ต้องเท่าเอกชนแต่ขอให้อย่างห่างกันมากแบบนี้ เพื่อนผมเรียนภาคเดียวกันเรียนไม่เก่งเท่าผมแต่ไม่ใช่เด็กทุนจบไปทำงานได้เกือบห้าหมื่น แล้วมองกลับมาที่ตัวเรากว่าจะเรียนจบกว่าจะทำงานเงินเดือนสตาร์ทยังไม่เท่ามันเลย มันจึงเกิดคำถามที่ว่า กูมาทำอะไรที่นี่วะ? ทำไมกูต้องทนวะ? รักชาติเหรอ? เสียสละเหรอ? ทุกวันนี้ข้าวจานเท่าไร? บ้านหลังเท่าไร? จบมาเงินเดือนแค่นี้จะพอหรอ? มีเมียมีลูกจะทำไง? แล้วพ่อแม่กูหละจะให้ท่านไหวไหม? พอไหมวะ จบมาทำงานได้เงินแค่เนี้ย? ที่ทนลำบากมาได้แค่เนี้ย? เพื่อนเราหละเรียนจบก่อนเราแต่มันไปทำงานได้เงินตั้งเท่าไร? ทำไมเราจะต้องอดทนเหมือนคนไม่มีทางออกทั้งๆที่เราสามารถมีได้แบบเขาวะ? เพราะสัญญามันค้ำคอ
ที่ผมออกมาบ่นเพราะอะไร เพราะว่าการทำสัญญาระยะยาวมันเป็นการทำที่มีความเสี่ยงมาก ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื้อเวลาผ่านไป ทุนนี้หาเด็กเร็วสุดคือเข้าทุนตั้งแต่ ม.4 ซึ่งคุณคิดดูว่ามันเร็วไปไหมที่จะจับเด็กมาเซนสัญญา ถ้าหากเด็กมันเรียนไปเรื่อยๆแล้วเกิดค้นพบตัวเองว่าไม่ใช่แนวเขาหละจะทำอย่างไร ถ้าจะออกก็ต้องเสียเงินสองเท่าจากที่ได้มา หรือไม่ก็จงใจทำเกรดให้ต่ำจนได้หลุดทุน ผมไม่อยากให้ใครมาทนเรียนแบบผม ใครจะรับทุนอะไรก็คิดให้ดี ถามใจตัวเองว่าเราชอบไหม ไม่ใช่แค่ชอบต้องคลั่งเลยถึงจะมีแรงจูงใจจนเรียนจบป.เอก และไม่ต้องรีบรับทุนนี้ จบป.ตรีมีทุนมากมายที่ไม่ผูกมัดกลับมาก็เป็นอิสระไม่ต้องมาทนกล้ำกลืนแบบผม ถ้าจะให้ดีควรรับช่วงป.โท ผมว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะเป็นช่วงที่รู้แล้วว่าการเรียนแบบนี้มันเป็นยังไง และได้คนที่รักและชอบจริงๆมารับทุน
ขอระบายความรู้สึกของเด็กทุนวิทยาศาสตร์ทุนหนึ่ง
ผมได้รับคัดเลือกตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะสอบติด ผมสอบติดโควต้าหลายที่มากมาย ผมได้มีชื่อยู่ในทะเบียนของนักศึกษาคณะหนึ่งที่ชอบแล้วเหลือแค่ขั้นตอนจ่ายเงินค่าลงทะเบียน แต่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดคืออยู่ดีๆทุนนี้ก็โทรมาให้ผมไปทำสัญญา ต้องเล่าเท้าความก่อนว่าผมก็สอบติดทุนนี้แต่ว่าติดเป็นตัวสำรอง พอตัวจริงสละสิทธิ์หมดก็เลยตกมาที่ผม พอพ่อผมได้ยินปุ๊บวันรุ่งขึ้นก็พาผมไปเซ็นต์สัญญาเลย ตอนนั้นผมยังเป็นแค่เด็กพึ่งจบม.หก ยังไม่รู้ว่าชอบเรียนอะไรชัดเจน คือแนวๆว่าเรียนอะไรก็ได้ และคงไม่คิดที่จะเรียนวิทยาศาสตร์แน่ๆเพราะจากที่มองจากข้างนอกรู้สึกว่าคณะนี้มันเห็นภาพไม่ชัดเจนว่าจะไปทำอะไร แต่ด้วยเนื่องจากพ่อแม่ผมอยากให้ลูกจบปริญญาเอก ผมจึงโดนไซโคให้เลือกรับทุนนี้ และข้อดีของทุนนี้คือมีเงินเดือนให้ ผมคิดว่าเอาวะเซนต์ก็ได้มีเงินเดือนให้ด้วยจะได้ไม่ต้องเบียดเบียนพ่อแม่ เด็กพึ่งจบม.หกคนหนึ่งได้มีเงินใช้เองไม่ต้องขอพ่อแม่สำหรับผมตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ภูมิใจนะ แต่ก็ยังคิดถึงคณะอื่นที่ปฏิเสธไปและยังเคืองพ่อที่มากดดันให้เลือกรับทุนจนถึงวันนี้
ชีวิตในมหาลัยตอนป.ตรี จากที่เคยคิดไว้ว่าจะสบายมีเงินใช้ไม่ต้องขอพ่อขอแม่ แต่ไม่เลยไม่เป็นอย่างที่คิดเลย เงินเดือนจ่ายค่าหอพักก็หมดแล้วผมต้องขอพ่อแม่เหมือนเดิม เหมือนเงินที่ได้มาแค่เอาไว้แบ่งเบาค่าหอ มิหนำซ้ำเงินยังออกช้าอีกช้าชนิดที่ว่าช้าเป็นเทอม ผมต้องไปถามที่การเงินหลายครั้งจนเขารำคาญรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขอทานอย่างนั้นเรื่องเงินนี้ถ้าจะให้แฉจริงนี้ยาวเลยครับต้องตั้งกระทู้ใหม่เลย เรียนก็หนักมาก ใครบอกว่าสอบหมอสอบวิศวะสอบเภสัชไม่ติดแล้วมาเรียนวิทยาศาสตร์ขอบอกว่าคุณคิดผิด ค่านิยมที่ว่าเรียนเก่งแล้วต้องเรียนหมออย่างเดียวนี้คิดซะใหม่ครับ เก่งจริงต้องมาเรียนวิทยาศาสตร์ด้วย และทุนของผมต้องรักษาเกรดให้อย่าต่ำกว่า 3.00 ไม่งั้นหลุดทุน (ถ้าย้อนไปได้ผมจะทำให้ตัวเองหลุดทุน) มีบางปีนี่หนักมาก เดินแค่ไปม. เรียน อ่านสือ กลับหอนอนเช้าก็ไปใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เมื่อจบปีสี่ก็จบด้วยเกียตินิยม หลังจากนั้นก็ต้องหาที่เรียนต่อ ณ ตอนนั้นผมก็ค้นพบความจริงบางอย่างว่าทุนเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์มีเยอะมากๆแถมให้มากกว่าทุนที่ผมรับด้วย บางทุนก็ทุนให้เปล่า สำหรับใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ผมแนะนำเลยครับว่าอย่ามาเอาทุนนี้เพราะอย่างที่บอกมันคือสัญญาระยะยาวนาน ถ้าวันนึงในอนาคตเราเกิดเปลี่ยนไป ความคิดเปลี่ยนไปมันแก้ไขอะไรยาก ผมเสียดายมากๆที่มารับทุนนี้ตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าเรียนไปแล้วมันไม่ใช่ ถึงแม้ผมจะเรียนได้เกียรตินิยมก็เหอะ ผมเรียนด้วยความทรมานไม่ได้เรียนเพราะความชอบ ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบแต่ต้องกล้ำกลืนเอาให้มันผ่านไป แต่ตอนป.ตรียังไม่รู้สึกไม่ชัดเจนเท่าไรมากเท่าไร
พอขึ้นป.โทผมก็ต่อที่ไทยเพราะสอบไปต่างประเทศไม่ติด บอกไว้เป็นความรู้นิดหนึ่งสำหรับคนที่คิดจะเรียนวิทยาศาสตร์คือคุณต้องเก่งภาษาอังกฤษ เพราะสำคัญมากๆ ตอนคุณไปสอบชิงทุนต่างประเทศขอแค่คุณเก่งภาษาส่วนวิชาการไม่ต้องเก่งมากเท่าไรคุณก็ได้ไปแล้ว คุณได้ TOEFL 80 คะแนน คุณก็สามารถไปเรียนต่อได้แล้ว และภาษาอังกฤษยังจำเป็นมากสำหรับการเขียนตีพิมพ์งานวิจัยซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในระดับป.โท-เอก ซึ่งแต่ไหนแต่ไรภาษาอังกฤษนี้เป็นของแสลงของผมมาโดยตลอด ที่ผมมาสอบทุนนี้ตอนม.หกก็เพราะว่าไม่มีสอบภาษาอังกฤษก็เลยสอบ แต่ที่ไหนได้พอเข้ามาเรียนมาเต็ม เหมือนเกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น แต่ถึงจะได้คลุกคลีมาตลอดก็ตามภาษาอังกฤษผมก็ยังไม่ดีเพียงพอ ชีวิตตอนป.โทก็เรียนน้อยกว่าป.ตรีหน่อย และหนักไปทางงานวิจัย ซึ่งไอ้ตัวนี้แหละที่ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมมาผิดสายจริงๆ ผมรู้ว่าผมชอบอะไรจริงๆ
งานวิจัยเป็นงานที่ต้องหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มันเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายเลย ตอนคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะทำวิจัยเกี่ยวกับอะไรแพลนไว้ว่าอะไรทุกอย่างดูง่ายดาย มันง่ายมากถ้ามันเป็นไปตามที่คิดกันไว้ แต่เพราะมันเป็นงานที่ต้องหาอะไรใหม่ๆที่ไม่มีใครทำ เลยไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปตามที่คิดหรือไม่ เช่น มีหัวข้อวิจัยว่าจะทำตัวนี้ให้ได้ตามกระบวนการ a b c อะไรก็ว่าไป แต่ๆๆ มันดันไม่เกิดจะทำยังไงมันก็ไม่เกิด งัดทุกวิธีการและทุกทฤษฎีบนโลกนี้มาแล้วก็ไม่เกิด จะทำอย่างไร ต้องผิดหวังซ้ำๆกับผลแลบ มันไม่ง่ายเลยที่จะอยู่กับความผิดหวังแบบนี้ มันเครียด ใครที่เคยเจอจะรู้ดีว่ามันขนาดไหน บางคนกระบวนการมีสี่ ห้า ขั้นตอน ตอนแรกๆก็สังเคราะห์ได้ แต่มาตกม้าตายตอนขั้นสุดท้ายที่ทำยังไงก็ไม่ได้เสียเวลามาเกือบปี ณ ตอนนั้นก็ต้องเลือกระหว่างหาโปรเจคใหม่ หรือทำอันเดิมให้ได้ มันเหมือนทางแยกสองทางที่ไม่มีทางรู้ว่าถ้าเลือกทางนั้นจะไปเจอกับอะไรจะไปถึงจุดหมายได้ไหม ทุกอย่างที่ผมเขียนมาผมเจอมาหมด ผมใช่เวลาเรียนป.โทไปเกือบสามปีครึ่งกว่าจะผ่านมันมาได้ แค่นั้นยังไม่พอผมต้องมานั่งเขียนตีพิมพ์งานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษ ผมใช้เวลาสี่เดือนเพียงเพื่อเขียน ระยะเวลาสี่เดือนเป็นอะไรที่ทรมานมากเพราะต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ ที่รู้สึกแย่ไปกว่านั้นก็คือที่ผมเขียนมาทั้งหมด อาจารย์แก้หมดเลยไม่มีประโยคของผมสักประโยคเดียว
อย่างที่ได้บอกไปว่าช่วงเวลาป.โท ทำให้ผมรู้ว่าผมชอบอะไร ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงที่ทำให้ผมรู้สึกชัดเจนว่าผมตัดสินใจผิดพลาดที่มาทางสายนี้ อะไรที่ผมไม่ชอบเหรอ สิ่งที่ไม่ชอบของผมก็คือต้องทนทรมานกับผลแลบที่ล้มเหลวเป็นร้อยๆครั้ง ผมรู้สึกเฉยๆมากที่ใครคนหนึ่งตีพิมพ์ผลงานวิจัยได้ เวลามีประชุมวิชาการผมไม่เคยเข้าไปนั่งฟังเลยเพราะผมไม่ชอบ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องมีสำหรับคนที่เรียนทางายนี้ แต่ผมไม่มีความรู้สึกนั้นเลย
เวลานี้เพื่อนผม ไม่ว่าจะหมอ เภสัช วิศวะ บลาๆๆ ก็จบมีงานทำกันหมดแล้ว แถมเงินเดือนยังเยอะอีกต่างหาก เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งตอนม.ปลายก็เรียนมาด้วยกันก็ไม่เก่งอะไร แต่ฟลุ๊ดสอบติดเภสัช เพราะตอนนั้นเป็นแค่ข้อสอบวัดไอคิวอีคิว มันเลยติด ตอนเรียนป.ตรีมันก็เกือบโดนไทร์ จบออกมาเกรดสองนิดๆ แต่พอมาทำเงินเงินเดือนสตาร์ท 50,000 บาท เพื่อนผมที่เป็นหมอ ไม่ต้องพูดถึงเยอะพอกัน มันเกิดการเปรียบเทียบไง คือเราเรียนมาแทบตาย ยากก็ยากไม่แพ้เพื่อนที่เรียนสายอื่น เงินก็ยังไม่มีอาชีพก็ยังไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่าง ทุกวันนี้ยังต้องขอเงินพ่อแม่ เพื่อนมีรถมีบ้าน ตัวผมมีอะไร ผมพยายามไม่คิดเปรียบเทียบกับคนอื่นนะ แต่มันเห็นกันจะๆว่าเพื่อนมีอะไรบ้าง จะห้ามใจไม่ให้คิดได้อย่างไร ผมก็ต้องเรียนต่อ
ผมมานั่งคิดดูว่าผมต้องใช้เวลาอีกประมาณห้าปีถึงจะจบป.เอก ซึ่งระหว่างห้าปีนี้คงสาหัสเอามากๆ จบออกมาใช้ทุนเป็นอาจารย์ที่ม. หรือสถาบันวิจัยของรัฐ เงินเดือนแค่ไม่กี่บาท เทียบกับสิ่งที่ผมลำบาก เทียบกับสิ่งที่ผมสูญเสียไป ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้ม แล้วยิ่งไปเทียบกับเพื่อนผมอีกที่ได้เงินเดือนกันสูงๆ ซึ่งมันได้เริ่มต้นชีวิตมันก่อนผมห้า หก ปี กว่าผมจะเริ่มใช้ชีวิตตัวเองได้ก็อายุสามสิบกว่าๆ เกาะพ่อแม่กินจนเกือบสามสิบมันคุ้มไหมกับสิ่งที่ผมทำอยู่ ผมลองนั่งคิดดูถ้าผมไม่รับทุนนี้ป่านี้ผมคงได้งานที่ได้เงินเพียงพอที่ผมต้องการและไม่ต้องมานั่งเคว้งคว้างอย่างนี้ ทุนนี้เคยทำอะไรให้เด็กทุนรู้สึกมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมั่ง แค่ให้เงินนิดๆหน่อยๆแทบไม่พอกินแถมออกช้ามากต้องไปทวงเหมือนขอทาน ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้เงินคืนสองเท่าผมคงเอาเงินไปคืนหมดแล้ว ที่ผมต้องการคือทำอย่างไงก็ได้ให้พวกผมรู้สึกดีขึ้นรู้สึกมีเกียรติอยากรับใช้ชาติ ทุนนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการดึงเด็กเก่งๆไว้ทำงานให้กับชาติ เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครมานั่งทนกับงานของรัฐ คนเก่งก็ไปทำกับเอกชนเงินเดือนสูงลิบดูแลพนักงานก็ดี ก็เลยหาทางที่จะดึงเด็กเก่งเข้ามา โดยให้ทุนเล็กๆน้อยๆแล้วมาอ้างบุญคุณใหญ่โต ในความคิดผม ถ้าคุณอยากดึงเด็กเก่งๆมาทำงานคุณก็ทำง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีทุนนี้เกิดขึ้นเลยแค่เพิ่มเงินให้เท่าเอกชนหรือน้อยกว่าแต่อย่าให้ห่างกันมากในสายงานที่ขาดแคลนแค่นี้ก็มีแต่คนเก่งแย่งเข้าแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาให้ทุนเด็กซึ่งมันลงทุนค่อยข้างเยอะและใช้เวลานานและมีความเสี่ยงสูง ไปเซนต์เขามาตั้งแต่ม.4 ตอนนั้นเด็กมันยังคิดเองไม่ได้หรอกมันอาจจะมาเปลี่ยนใจตอนโตก็ได้ไม่สงสารเด็กบ้างเหรอ จะออกก็ออกไม่ได้เพราะเจอสัญญาชดใช้สองเท่า เรื่องเงินนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ นี่นั่งคิดดูว่ากูจะทนเรียนทนลำบากมาเพื่อจะมารับเงินเดือนแค่นี้เหรอ มองไปที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนมาหนักพอๆกันบางคนเรียนสบายกว่า แต่เงินเดือนมากกว่าเราไม่รู้กี่เท่า แถมตอนนี้การเป็นอาจารย์มหาลัยก็ไม่ใช่แบบเก่า ไม่มีอะไรพิเศษหรือดึงดูดให้ทำเลย เริ่มใช้ชีวิตของตัวเองช้ากว่าเพื่อน5ปีขึ้น มันคุ้มไหม
ที่เขียนมาหลายท่านคงคิดว่าผมเห็นแก่เงิน แต่ผมอยากให้รู้ว่า ใครมั่งที่ยอมเหนื่อยฟรี แต่ถ้าท่านลองมาเจอแบบผมท่านก็คงคิดว่ามันไม่คุ้มเลย ถ้าได้เงินเดือนคุ้มกับที่ผมต้องเจอมา ผมจะไม่มานั่งบ่นสักคำ จะให้เราเสียสละเพื่อชาติ แต่มันก็ควรจะให้เรามีรายได้สมกับความสามารถเรา ไม่ต้องเท่าเอกชนแต่ขอให้อย่างห่างกันมากแบบนี้ เพื่อนผมเรียนภาคเดียวกันเรียนไม่เก่งเท่าผมแต่ไม่ใช่เด็กทุนจบไปทำงานได้เกือบห้าหมื่น แล้วมองกลับมาที่ตัวเรากว่าจะเรียนจบกว่าจะทำงานเงินเดือนสตาร์ทยังไม่เท่ามันเลย มันจึงเกิดคำถามที่ว่า กูมาทำอะไรที่นี่วะ? ทำไมกูต้องทนวะ? รักชาติเหรอ? เสียสละเหรอ? ทุกวันนี้ข้าวจานเท่าไร? บ้านหลังเท่าไร? จบมาเงินเดือนแค่นี้จะพอหรอ? มีเมียมีลูกจะทำไง? แล้วพ่อแม่กูหละจะให้ท่านไหวไหม? พอไหมวะ จบมาทำงานได้เงินแค่เนี้ย? ที่ทนลำบากมาได้แค่เนี้ย? เพื่อนเราหละเรียนจบก่อนเราแต่มันไปทำงานได้เงินตั้งเท่าไร? ทำไมเราจะต้องอดทนเหมือนคนไม่มีทางออกทั้งๆที่เราสามารถมีได้แบบเขาวะ? เพราะสัญญามันค้ำคอ
ที่ผมออกมาบ่นเพราะอะไร เพราะว่าการทำสัญญาระยะยาวมันเป็นการทำที่มีความเสี่ยงมาก ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื้อเวลาผ่านไป ทุนนี้หาเด็กเร็วสุดคือเข้าทุนตั้งแต่ ม.4 ซึ่งคุณคิดดูว่ามันเร็วไปไหมที่จะจับเด็กมาเซนสัญญา ถ้าหากเด็กมันเรียนไปเรื่อยๆแล้วเกิดค้นพบตัวเองว่าไม่ใช่แนวเขาหละจะทำอย่างไร ถ้าจะออกก็ต้องเสียเงินสองเท่าจากที่ได้มา หรือไม่ก็จงใจทำเกรดให้ต่ำจนได้หลุดทุน ผมไม่อยากให้ใครมาทนเรียนแบบผม ใครจะรับทุนอะไรก็คิดให้ดี ถามใจตัวเองว่าเราชอบไหม ไม่ใช่แค่ชอบต้องคลั่งเลยถึงจะมีแรงจูงใจจนเรียนจบป.เอก และไม่ต้องรีบรับทุนนี้ จบป.ตรีมีทุนมากมายที่ไม่ผูกมัดกลับมาก็เป็นอิสระไม่ต้องมาทนกล้ำกลืนแบบผม ถ้าจะให้ดีควรรับช่วงป.โท ผมว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะเป็นช่วงที่รู้แล้วว่าการเรียนแบบนี้มันเป็นยังไง และได้คนที่รักและชอบจริงๆมารับทุน