ย้อนรอยดูแต้มวัดรอยเท้า กับความคาดหวังของแฟนบอลทีมมือใหม่หัดลุ้นแชมป์

.
    นับตั้งแต่อังกฤษเปลี่ยนรายการแข่งขันฟุตบอล ลีคสูงสุดของประเทศ จากชื่อ ดิวิชั่น 1 มาเป็นฟุตบอลพรีเมียร์ลีค มีเพียง 6 ทีมเท่านั้น ที่ชนะเลิศในการแข่งขันรายการนี้ ได้แก่ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 13 สมัย, เชลซี 5 สมัย ,อาร์เซนอล 3 สมัย, แมนเชสเตอร์ซิตี 2 สมัย, แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และ เลสเตอร์ซิตี ทีมละ 1 สมัย ส่วนลิเวอร์พูลทีมรักของ จขกท. ยังไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อทำเนียบแชมป์พรีเมียร์ลีค และด้วยเหตุนี้เอง ที่ตั้งสมญานามประจำกะทู้นี้ให้ลิเวอร์พูลว่า ทีมมือใหม่หัดลุ้นแชมป์(พรีเมียร์ลีค)

    ในยุคแรกของพรีเมียร์ลีคมี 22 ทีมลงแข่งขันกันในรายการนี้ โดยที่ 3 ฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีค ทุกทีมมีโปรแกรมการแข่งขัน 42 นัด ก่อนจะปรับลดจำนวนทีมลงเหลือ 20 ทีมและมีโปรแกรมการแข่งขันทีมล่ะ 38 นัดอย่างปัจจุบันในฤดูกาล 1995-1996 เป็นต้นมา ดังนั้นถ้าจะเทียบฟอร์มทีมรัก ที่ช่วงนี้ชักมีลุ้นมากขึ้นเข้าไปทุกทีอย่างลิเวอร์พูล จึงต้องสืบค้นข้อมูลในปีเก่าๆที่สามารถนำมาวัดและเปรียบเทียบผลงานของทีม มือใหม่หัดลุ้นแชมป์อย่างลิเวอร์พูลได้



    และจากข้อมูลที่นำมา จะเห็นว่า ถ้าเปรียบเทียบกับผลงานของลิเวอร์พูลใน ฤดูกาลนี้แล้ว เทียบฟอร์มเฉพาะ 11 นัดแรก ลิเวอร์พูลก็ถือว่า ไม่เลวสักเท่าไร กับทีมหน้าใหม่หัดลุ้นแชมป์ เพราะ

-    มี 5 ฤดูกาลที่ทีมแชมป์สามารถทำแต้มเมื่อผ่านไป 11 นัดได้ดีกว่าลิเวอร์พูลฤดูกาลนี้
-    และมี 2 ฤดูกาลที่ทีมแชมป์ทำแต้มได้ 26 แต้มเท่ากับหงส์แดงในปีนี้
-    ส่วนอีก 14 ฤดูกาลที่เหลือ ผลงานทีมแชมป์เมื่อผ่านไป 11 นัดแรก ล้วนแย่กว่าผลงานลิเวอร์พูลปีนี้

และนั้นก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่จะให้โอกาสนี้ กรีฑาทัพกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

    แต่ความเป็นจริงมันอาจไม่ได้เหมือนการตั้งความหวัง เพราะหากลองมองดูให้ลึกให้ละเอียดแล้ว จะพบว่าที่ผ่านมา 21 ฤดูกาลที่พรีเมียร์ลีคแข่งขันกัน 20 ทีม มีเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น ที่ทีมขึ้นนำเมื่อผ่านไป 11 นัด สามารถจบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ คือ 1997-98 Arsenal 2000-01 Manchester United แถมเมื่อฤดูกาล 2002-03 Liverpool เองในตอนนั้นก็เคยทำผลงานเมื่อผ่านไป 11 นัดได้ดีกว่าปีนี้เสียอีก คือลงเล่น 11 นัด ชนะ 8 เสมอ 3 มี 27 แต้ม แต่กลับจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ไม่ได้

    สิ่งที่สถิติบอกเอาไว้ ผมสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คงบอกว่า มีแนวโน้มที่ดีและมีความเป็นไปได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากจะลงมือทำให้ประสบผลสำเร็จ

    และในฐานะที่เป็นกองเชียร์สายสถิติ การที่จะมองความเป็นไปได้หรือตั้งเป้าหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ต้องวิเคราะห์ให้ออกก่อน ว่าในเรื่องนั้นๆมีปัจจัยสำคัญอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในบทสรุปท้ายที่สุด

    ซึ่งในเรื่องนี้ผมได้คิดวิเคราะห์ด้วยภูมิปัญญาอันน้อยนิดของตัวผมเองแล้วว่า มี ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว คือ แต้มในตารางคะแนน ซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ได้ เพราะคงไม่มีทีมแชมป์ทีมไหน เคยได้แต้มน้อยกว่าทีมอื่นๆในฤดูกาลที่ตัวเองเป็นแชมป์แน่ๆ เรื่องนี้ใครๆก็รู้ แต่อาจมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งข้อมูลสถิติตัวเลขเก่าๆนี้มีบันทึกไว้ และผมจะมีตีแผ่ให้ท่านที่เข้ามาในกะทู้นี้ได้รู้กัน

    หากลิเวอร์พูลต้องการเป็นแชมป์นั้น จำเป็นที่จะต้องมีแต้มให้ได้ 90 แต้มขึ้นไป ถึงจะมีโอกาสแน่นอน ในการก้าวขึ้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีฤดูกาลไหนเลยที่ทีมรองแชมป์(ตามตาราง2ช่องหลัง) จะทำคะแนนได้มากกว่า 89 แต้ม มีเพียงครั้งเดียวในฤดูกาล 2011-12 ที่แชมป์อย่างแมนซิตี้และรองแชมป์อย่างแมนยูมีแต้มเท่ากันที่ 89 แต้ม ต้องตัดสินกันด้วยลูกได้เสีย

    แต่ถึงการที่จะให้ได้ 90 แต้มจริงๆ นั่นเป็นเรื่องที่ยากสุดๆ และแทบเป็นไปได้ไม่ได้เลย สำหรับลิเวอร์พูลและระดับการแข่งขันกันเองของทีมในพรีเมียร์ลีคตอนนี้ ที่เข้มข้นสูสีมากขึ้นไม่ว่าจะพบกับคู่แข่งทีมเล็กหรือทีมใหญ่ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เชิงสถิติ เพราะ 11 นัดที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลได้มา 26 แต้ม หรือค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.36 แต้มต่อนัด และถ้าคิดต่อไปจนครบ 38 นัด โอกาสที่จะได้ 90 แต้มก็ยังมีอยู่ (ตามตรรกะนี้ได้ 89.68 แต้ม)

    และถ้าลองลดเป้าหมายมาที่ความเป็นไปได้สำหรับแต้มที่น่าจะพอมีโอกาสได้แชมป์ แทนที่จะได้แชมป์แน่นอนล่ะ แต้มจะเหลืออยู่ที่เท่าไร ที่ทีมลิเวอร์พูลต้องทำให้ได้ถึงจะพอมีโอกาส ซึ่งหลักคิดผมก็ง่ายๆ แค่เอาแต้มทีมแชมป์ของทุกปีมารวมกันและหาค่าเฉลี่ยออกมาก็เท่านั้น ซึ่งค่าเฉลี่ยของทีมที่พอมีหวังในการลุ้นแชมป์ คือ 85.47 แต้ม ลดจากโอกาสการได้แชมป์แน่นอนไปแค่ 5 แต้ม แต่เหมือนเป็นงานเบาขึ้นอีกเป็นกอง ในความรู้สึกของกองเชียร์อย่างผม

    และด้วยหลักการคิดเกณฑ์แบบนี้ หากตีออกมาเป็นผลการแข่งขันที่ลิเวอร์พูลต้องทำให้ได้ล่ะ จะเป็นอย่างไรบ้าง..? ซึ่งก็ได้เกณฑ์ออกมาไม่เป็นที่น่าหนักใจเกินไปนัก ที่เกณฑ์เฉลี่ยชี้ว่า หากลิเวอร์พูลอยากเป็นแชมป์ ทั้งฤดูกาล ต้องชนะ 25.85 นัด เสมอ 7.92 นัด แพ้ 4.23 นัด และจากผลงานที่ผ่านมา 11 นัด ผลงานของลิเวอร์พูลตอนนี้ก็ดีกว่าค่าเฉลี่ยที่ว่ามานี้ ทุกอย่าง  เพราะจากผลงาน 11 นัดแปรเป็นค่าเฉลี่ย 38 นัด จะเท่ากับ ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้ จะชนะ 27.65 นัด เสมอ 6.90 นัด และแพ้ 3.45 นัด

นั้นคือสัญญาณบ่งชี้ทางด้านสถิติ ว่าปีนี้ลิเวอร์พูลอาจมีแต้มเพียงพอต่อการเป็นแชมป์


    ก่อนจะว่าต่อไป ก็ขอคั่นรายการด้วยการแถมข้อมูลตารางคะแนน 10 ฤดูกาลล่าสุด พร้อมด้วยตารางคะแนนของทีมแชมป์เมื่อผ่านไป 11 นัดของทีมแชมป์  ใน 10 ฤดูกาลล่าสุดไปด้วย เพื่อมีใครอยากลองดูและเปรียบเทียบด้วยตนเอง

2006-07    Manchester United    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2007-08    Manchester United    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2008-09    Manchester United    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2009-10    Chelsea    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2010-11    Manchester United    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2011-12    Manchester City    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2012-13    Manchester United    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2013-14    Manchester City    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2014-15    Chelsea    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    
2015-16    Leicester City    [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

       จบโฆษณาคั่นรายการก็กลับมาว่ากันต่อว่า แน่นอนมันอาจจะเร็วไป ที่จะคิดไกลไปถึงการเป็นแชมป์ หากมองแค่ปัจจัยหลักซึ่งในที่นี้ คือเรื่องแต้มเพียงอย่างเดียว โดยไม่มองปัจจัยรองเรื่องอื่นๆประกอบด้วย ซึ่งผมนั้นก็รู้ดี และตั้งใจจะรวบรวมข้อมูลอื่นๆที่ว่านี้มาแสดงประกอบทัศนะส่วนตัวในกะทู้ต่อๆไปเรื่อยๆอยู่แล้ว ส่วนวันนี้ที่ผมยังออกมาตั้งกะทู้เรื่องนี้ก็เพราะว่า อ่านข่าวระยะหลังๆมา เห็นบรรดาข่าวอดีตนักเตะ หรือกองอวย ออกมาดาหน้ายกย่องว่าปีนี้เรามีสิทธิ์คว้าแชมป์ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติของทีมที่ทำผลงงานได้ดี ไม่ใช่การโยนความกดดันใส่ทีมของคล้อปแต่อย่างใด เพราะกูรูเกจิ จากหลายๆค่ายหลายๆสื่อ ก็ออกมาชี้ว่าปีนี้หงส์แดง"มีสิทธิ์"กันทั้งนั้นแล้ว

       ขนาดพวกอคติฝั่งหัวอย่างแกร์รี่ เนวิล ยังบอกเลย ว่าปีนี้คือโอกาสดีที่สุดของหงส์แดง ในเมืองไทยคอลัมน์นิสต์สายวิปริตโรคจิต คลั่งผีเข้าเส้น อย่าง บอ.บู๋ ก็ยังออกมาเขียนในคอลัมน์ตัวเองเลย ว่าปีนี้หงส์นี้แหละ ตัวเต็ง ของจริง ในตอนนี้ คงยังมีแต่กองเชียร์เราเองเท่านั้นแหละ ที่ออกแนวทำเป็นเหนียม เหมือนจะอาย ที่ไม่กล้าบอกว่าทีมรักของตัวเองเป็นทีม"ลุ้นแชมป์"

       สำหรับผมนั้น ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอายกับความคาดหวังของตัวเอง หากต้องเอ่ยออกมาให้ตรงกับที่ใจคิดว่า อยากให้ลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคฤดูกาลนี้ ซึ่งมันเป็นความคาดหวังที่คิดซ้ำๆเหมือนเดิมอยู่ทุกทีทุกฤดูกาลอยู่แล้ว ผมจำได้ว่าเริ่มต้นเชียร์ลิเวอร์พูลตั้งแต่ฤดูกาล 1988-89 ที่พลาดท่าแพ้ในนัดสุดท้าย ปล่อยให้อาเซน่อลคว้าแชมป์ไปครองได้ในปีนั้นแหละ เลยเริ่มต้นตั้งความหวังตังแต่นั้นเป็นต้นมา และก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่สมหวัง คือปีต่อมาในฤดูกาล 1989-90 ในสมัยที่ยังเป็นดิวิชั่น 1 เดิมอยู่เลย ที่ตั้งความหวังกับทีมรัก แล้วลิเวอร์พูลทำผลงานได้ประสบความสำเร็จ

       หลังจากนั้นมา ถึงจะหวังแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แต่มันก็ไม่เคยทำให้แฟนบอลอย่างผมเลิกหวัง หรือต้องอายที่จะตั้งความหวังเหมือนเดิมเรื่อยไป เพราะความหวังของผมมันไม่ด้ำผิดคิดร้ายต่อใคร ไม่ได้ก่อความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมืองใดๆทั้งสิ้น มันเป็นเพียงการเปล่งเสียงออกมาจากลิ้นไก่ หรือเขียนข้อความออกมาให้ตรงกับที่ใจคิดก็เท่านั้นเอง

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงภาพๆหนึ่ง คือภาพนี้



       ซึ่งเจตนารมณ์ของภาพในฐานะแฟนบอลนั้นน่ายกย่อง แต่กลับถูกตราหน้าจ้องจะเอามาทำให้อับอายด้วยน้ำมือของแฟนบอลอีกเช่นกัน ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีนัยยะอะไรลึกลับไปกว่า การแสดงออกมาอย่างที่ใจคิดในฐานะมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่รักชอบฟุตบอล ก็เท่านั้นเอง การเอาภาพที่พวกเขาแสดงออกอย่างจริงใจ มาใช้ดูถูกดูแคลนคนอื่นอย่างที่ทำๆกันอยู่นี้แหละ ที่“น่าอับอาย” ซะมากกว่า

       และผมยิ่งไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องออกมาตำหนิใคร หากใครผู้นั้นแสดงความคาดหวังของตัวเองออกมา เพราะความคาดหวังของคนอื่นๆนั้น ก็ไม่ได้จะทำร้ายหรือทำลายความรู้สึกของผมแต่อย่างใด แม้ว่าใครคนนั้นจะคาดหวังในแบบที่เหมือนหรือไม่เหมือนกันกับผม มันก็ไม่ได้สร้างความกดดัน หรือบีบคั้นให้ผมมีชีวิตอยู่บนโลกสีฟ้าใบนี้ต่อไปไม่ได้ซะเมื่อไหร่

       ที่จริงแล้ว หากคิดให้ดี ความคาดหวังของแฟนบอลนั้น มันคือ ความรักความรู้สึกในด้านดีๆ ที่ผู้คนมอบให้กับทีมที่เขารักหรือชื่นชอบ ไม่ใช่การส่งมอบแรงกดดันหรือสิ่งบีบคั้นใดๆเลย หากผู้ที่ได้รับหรือสัมผัสได้ถึงความคาดหวังของคนอื่น รู้จักตั้งมั่นอยู่กับความคิดของตนเอง และตามความเห็นผมมันจึงเป็นเรื่องเกินความจำเป็นหากต้องมีใครมาคอยระแวดระวังป้องกัน หรือมาคอยห้ามปรามคนอื่นไม่ให้แสดงความคาดหวังของใครผู้ใดผู้หนึ่งออกมา

       และด้วยข้อสรุปที่ผมว่ามานี้ มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร หากใครคนหนึ่งเช่นผม จะคาดหวังให้ Red Machine เครื่องจักรสีแดงทำผลงานได้ร้อนแรงและต่อเนื่องสม่ำเสมอจนเข้าป้ายจนกลายเป็นทีมแชมป์พรีเมีย์ลีคไปในท้ายที่สุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่