โดนัลด์ ทรัมป์ ช็อกโลกด้วย“ทวิตเตอร์”

ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา เป็นปรากฎการณ์ “ ช็อกโลก” หักปากกานักวิเคราะห์ และผลสำรวจทุกสำนัก ที่ฟันธงว่า ไม่มีทางที่เขาจะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 พฤศติกายนได้ จะแพ้ฮิลลารี่ คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครต มากหรือน้อยเท่านั้น
       
       ผลการเลือกตั้งกลับกลายเป็นฮิลลารี่ คลินตันที่แพ้อย่างขาดลอยให้กับทรัมป์ ในวัย 70 ปีที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการเมือง หรือ ราชการมาก่อน ทั้งยังมีแนวความคิดที่อนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ดูถูกผู้หญิง เหยียดผิว ไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ “ค่านิยม” ที่นักการเมิองยุคนียึดถือ
       
       โดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดบทบาทตัวเองเป็น “ คนนอก” ที่ต่อต้าน ต่อสู้ กับ “ โครงสร้าง -ระบบ “ ของกลุ่มอำนาจเดิม เขาคือ ตัวแทนของคนอเมริกันที่รู้สึกโกรธแค้นกับระบบที่เป็นอยู่ คือคนที่สัญญาว่า จะนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการไล่คนต่างชาติที่เข้ามาแย่งงานทำออกไป ห้ามผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมเข้าประเทศ เลิกข้อตกลงการค้าที่ทำให้ธุรกิจอเมริกันเสียเปรียบ ลดภาษี ฯลฯ
       
       ภาพลักษณ์นี้ ได้ใจ คนอเมริกันที่เป็นคนผิวขาวที่เป็นชนชั้นกลาง และผู้ใช้แรงงาน ที่ออกมาเลือกตั้งมากเป็นประวัติการณ์ เทคะแนนให้โดนัลด์ ทรัมป์ เดินเข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างพลิกความคาดหมาย
       
       การรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ ไม่ให้ความสำคัญกับ การใช้อาสาสมัครเคาะปะตูหาเสียง การทุ่มงบโฆษณา ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของการรณรงค์ทุกครั้งที่ผ่านมา ทรัมป์ใช้งบประมาณในการหาเสียงแค่ 91 ล้านดอลลาร์ เทียบกับงบประมาณของฮิลลารี่ที่สูงถึง 374 ล้านดออลาร์ ผลที่ได้นับว่าคุ้มค่ามาก
       
       เครื่องมือที่เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จในการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์คือ โซเชียล มีเดีย โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรัมป์ใช้เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้สนับสนุนตัวเขา จนเกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่มีผู้ติดตามมากถึง 12 ล้านคน
       
        @realDonaldTrump ซึ่งเป็นบัญชีทวิตเตอร์ของทรัมป์ คือ สื่อในมือที่ทรัมป์ใช้พูดคุยกับผู้ติดตามที่เห็นด้วยกับเขา เสมือนการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว สองต่อสอง ข้อความสั้นๆ 140 ตัวอักษร ซึ่งมีทั้งเรื่องโจมตี เยาะเย้ย ดูถูกคู่แข่ง การคุยโม้ โอ้อวดในความเก่งกาจของตัวเอง ถูกส่งต่อหรือรีทวิตนับล้านๆครั้ง หลายๆครั้งที่ข้อความในทวิตเตอรถูกสื่อทีวี หนังสือพิมพ์ นำไปวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้โดนัล ทรัมป์ ยึดครองพื้นที่สื่อได้ดดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย
       
       ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ชื่อของทรัปม์ถุกอ้างถึงในการสนทนาผ่านทวิตเตอร์ถึง 130 ล้านครั้ง ในขณะที่ชื่อของฮิลลารี่ คลินตันถูกอ้างถึงเพียง 37 ล้านครั้งเท่านั้น
       
       ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทุกคน ทั้งในรอบการแข่งขันเป็นตัวแทนพรรค และหลังจากได้รับการเสนอชื่อจากพรรคแล้ว ใช้โซเชียล มีเดียกันทุกคน ต่างกันตรงที่ใครใช้มากน้อยกว่ากัน และใช้อย่างไร โดยเฉลี่ย ทรัมป์ ทวิตวันละ 12 ครั้ง ในวันที่มีเรื่องใหญ่ๆ อาจทวิตถึง 50 กว่าครั้ง
       
       แน่นอนว่า การส่งทวิตเตอร์วันละหลายๆครั้งเช่นนี้ เจ้าตัวไมได้เขียนเองทั้งหมด ต้องมีทีมงานช่วยส่งให้ด้วย ทวิตเตอร์ที่ส่งมาจากไอโฟน จะเป็นการส่งโดยทีมงาน ซึ่งข้อความจะสุภาพ มักจะมีรูป และลิงค์ ถ้าเป็นทวิตเตอร์ที่ส่งมาจากซัมซุง กาแล็กซี่ นั่นคือ ทรัมป์เขียนเอง ข้อความก้จะก้าวร้าว โจมตี ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม
       
       คนที่ติดตามทวิตเตอร์ของทรัมป์ ไม่สนใจหรอกว่า ทรัมป์จะมีพฤติกรรมอย่างไร จะมีทัศนคติที่เหยียดผิด ดูถูกเพศตรงข้ามอย่างไร ในโลกโซเชียลมีเดีย โดนัลด์ ทรัมป์เป็นคนที่พวกเขาเข้าถึง พูดคุยได้แบบเข้าถึงตัวตลอดเวลา
       
       ก่อนวันลงคะแนนไม่กี่วัน ทีมงานของทรัมป์ ตัดสินใจห้ามทรัมป์ใช้ทวิตเตอร์ เพราะเกรงว่า เขาจะส่งข้อความที่อาจจะเป็นผลลบต่อคะแนนนิยม ในช่วงโค้งสุดท้ายที่ผลสำรวจระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นรองคลินตัน
       
       ประธานาธิบดีบารัก โอบามา นำเรื่องนี้ไปเยาะเย้ยทรัมป์ ระหว่างการปราศรัย ช่วยคลินตันหาเสียงที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดาว่า คนที่แค่บริหารจัดการทวิตเตอร์ของตัวเองยังทำไม่ได้ จะไว้วางใจให้ถือรหัสขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างไร
       
       ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ทำให้โลกตกตะลึง หักล้างคำพูดของโอบามาที่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ทวิตเตอร์ไม่เป็นลงอย่างสิ้นเชิง

       http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9590000112763

มีใครตามอ่าน twitter ของ Trump บ้างไหมคะ? เราเองไม่มีบัญชี twitter นะ เเต่ก็ชอบเข้าไปอ่านหน้าของเขาเหมือนกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่