ก่อนอื่นต้องบอกว่า พวกเราเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวสักเท่าไร ส่วนใหญ่ที่เดินทางไปต่างจังหวัด ก็จะเป็นการไปทำงานซะมากกว่า
แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราจะได้ไปเที่ยวอย่างเต็มที่
สถานที่พวกเราเลือกไปพักผ่อนหย่อนใจ คือ จังหวัดเชียงรายเพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ
อีกทั้งเชียงรายยังเป็นจังหวัดที่อยู่ติดทั้งลาวและพม่า ทำให้มีธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย
เริ่มต้นการเดินทาง ด้วยรถทัวร์ที่ศูนย์เดินรถนครชัยแอร์ ซึ่งพวกเราได้รถรอบ 19.45 น.
พอขึ้นรถกันเรียบร้อยทุกคนก็หลับกันหมด พอมารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นแสงแรกของวันที่พะเยาแล้ว เวลา ณ ตอนนั้น 7.00 น.
เดินทางมา 12 ชั่วโมงแล้ว นั่งจนเมื่อยแล้ววว ~~~~
พะเยามาเชียงรายใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง มาถึงที่ บขส.เชียงราย ประมาณ 8.00น. พอลงรถมา หันซ้าย หันหวา จะไปบ้านอาอี๊ยังไงดี ที่สถานีขนส่งเชียงรายเราสามารถเลือกใช้บริการ ทั้งรถแทกซี่ ที่มีอยู่ที่สถานีขนส่งเอง หรือ จะเลือก รถสองแถวสีฟ้านี่ก็ได้ โดยราคาที่เราต่อรองกับป้าออน(คนขับรถ) โดยเพื่อนเรามีคนนึงที่สามารถพูดเมืองได้ (พูดเหนือ) ต่อรองราคากับป้าจนได้ราคาที่ค่อนข้างถูกคือ 200 บาท เราไปกัน 6 คน คนละ 40 บาท
จากนั้นก็นั่งรถสองแถวเข้าเมืองเพื่อไปหาอาอี๊ของเพื่อน (1 ในสมาชิกเรามีญาติอยู่ที่เชียงราย )เพื่อที่จะเข้าไปเอารถที่จะใช้ขับไปเที่ยวเชียงราย ซึ่งเป็นรถ toyota vios เมื่ออ่านไปเรื่อยๆจะรู้ว่าเหตุผลที่เราทำไมต้องบอกรุ่นของรถไว้ก่อน เหมือนเป็นสปอยทริปเล็กๆ
พอเรามาถึงบ้านอาอี๊ แกก็ทำกับข้าวต้อนรับอย่างดีตามสไตล์คนเมือง เรียบง่ายแต่อร่อยมากกกกก มีทั้งข้าวเหนียว ไส้อั่ว แคปหมู หมูทอด ผัดผัก ต้มจืด และที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำพริกหนุ่ม เอาล่ะ รออะไรกันละ กินสิครับ !!! พอกินกันอิ่มหนำหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนงั้นเรานอนกันเลยดีกว่า พูดเล่น แฮร่!
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องจริงไหมครับ ฉะนั้นเรามาเริ่มสถานที่แรกที่เราไปกันเลยดีกว่า
วัดร่องขุ่น เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงรู้จักวัดนี้กันดีอยู่แล้ว จะเรียกว่าเป็นหนึ่งใน Landmark ของเชียงรายเลยก็ว่าได้ วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ช่วงสายๆ นักท่องเที่ยวเยอะมากและส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย และที่สำคัญคนไทยเข้าวัดฟรี !! แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติจะคิดค่าเข้าชมคนละ 50 บาท
ศิลปะในวัดร่องขุ่นเป็นศิลปะแบบร่วมสมัย ภายในโบสถ์จะมีภาพวาดบนฝาผนังแสดงถึง การเกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ แต่มันไม่ได้มีแค่รูปสัจธรรมเท่านั้น ยังมีรูปตัวการ์ตูนที่เราๆเคยดูด้วย เช่น โดเรมอน ซุปเปอร์แมน darth vader เป็นต้น แต่เสียดายเพราะในโบสถ์ห้ามถ่ายรูป แต่ถ้าใครอยากรู้ต้องลองไปดูศิลปะแบบโมเดิร์นของอาจารย์ เฉลิมชัย ได้รับลองไม่ผิดหวังแน่ๆ
สถานที่แห่งที่ 2 ที่พวกเราไป คือ Singha Park ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “ไร่บุญรอด” บอกเลยว่าเป็นที่ที่กว้างสุดลุกหูลุกตา มีพื้นที่ทั้งหมด 8,000 ไร่
(กว่าเกินไปนะ -_- 555 ) ในพื้นที่นี้มีหลายอย่างที่ให้เลือกเล่น เลือกดู อย่างเช่น ไร่ชาที่ปลูกเป็นแนวดูแล้วสวยงาม
นอกจากจะมีไร่ชาที่ปลูกเป็นแถวเป็นแนวแล้ว ยังมีพื้นที่ลานกว้างที่มีวิวด้านหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่ และในลานกว้างก็จะมีกิจกรรมให้คนที่มาท่องเที่ยวปั่นจักรยานไปตามทางเพื่อชมธรรมชาติด้วย แต่ถ้าใครขี้เกียจปั่นจักรยานก็สามารถขึ้นรถบัสของทาง Singha Park ได้นะ ซึ่งบนรถก็จะมีไกด์คอยบรรยาย ถ้าใครไปเชียงรายก็ลองไปดูสักครั้งนะ อาจจะติดใจธรรมชาติของที่นี่ก็ได้
เป็นทิวทัศน์ที่เหมาะกับการพักผ่อนสายตาดีจริงๆ
วิวระหว่างทางก็สวยไม่ใช่เล่นเลยนะครับ อิอิ
การเดินทางขึ้นไปบนภูชี้ฟ้า ทางค่อนข้างคดเคี้ยว และในพวกเราก็ไม่มีใครเคยขึ้นไป จึงต้องใช้ google map ในการนำทาง ต่อให้เป็นแค่ทางที่ขับตามไปเรื่อยๆก็ถึงแต่มันก็มีอุปสรรคอยู่หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางที่มืดจนมองอะไรไม่เห็น ความชำนาญทางในการขับ หรือแม้แต่ตัวรถเอง ซึ่งจำกันได้ไหมครับ อย่างที่ได้สปอยไว้แรกๆ ว่านี่ toyota vios นะ บรรทุกไป 6 คนพร้อมของ คือ 6 คนนี้ถ้าเป็นคนตัวเล็กๆ ก็ไม่มีผลอะไรมากกับการเดินทางขึ้นเา แต่พวกเรา size XL กันทั้งนั้น แต่รถเล็กก็สามารถขึ้นได้นะครับ 5555555
ต่อไปเราก็มาดูที่พักกันดีกว่า ที่พักของเรามีชื่อว่า “เฮือนดอกเสี้ยว” เป็นที่พักราคา 500 บาท /คน โดยในช่วงที่เราไปยังเป็นช่วงที่ก่อนจะเข้าฤดูการท่งอที่ยว คนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ ภายในห้องพัก ลักษณะเหมือนบ้านเลย ก็ มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ คือการที่มี 2 ห้องน้ำ เวลาเราไปกับเพื่อนๆ ส่วนตัวผมรู้สึกดีมากเลย เพราะจะลดเวลาในการเข้าห้องน้ำได้ด้วยนะเออ ซึ่งในห้องนอน 1 ห้องจะมี 2 เตียง และด้านบนของที่พักจะเป็นชั้นด่านฟ้า เอาไว้ดูวิว ซึ่งพอตกกลางคืนพวกเราก็มาคุยเล่น นั่งถ่ายภาพดาวบนดาดฟ้า
ปล.ที่ห้องน้ำของเฮือนดอกเสี้ยวมีเครื่องทำน้ำอุ่นนะคร้าบบ เพื่อนๆ ที่ขึ้นดอยไปแล้วกลัวการอาบน้ำบนดอย เลิกกลัวไปได้เลย ร้อนเร็วทันใจ
ทางขึ้นไปภูชี้ฟ้าจะขึ้นได้สองทาง ซึ่งพวกเราขึ้นทางบ้านร่มฟ้าทองซึ่งใกล้กับที่พักของเรา โดยมีรถที่ป้าเจ้าของเฮือนดอกเสี้ยวติดต่อไว้ให้ ซึ่งรถมารับเวลาตีห้าครึ่ง เมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อม พี่คนขับก็เหยียบชนิดล้อฟรีไม่ติงนัง ขึ้นไปยังจุดหมายอย่างชำนาญ ซึ่งบอกได้เลยว่าทางขึ้นไปภูชี้ฟ้า เป็นทางที่ชันและคดเคี้ยวมาก
โชคร้ายหน่อยวันที่เราไปนั้นเมฆค่อนข้างเยอะบดบังพระอาทิตย์ที่เราตั้งใจจะไปดู แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยัง
มีทะเลหมอกให้ชื่นชม แถมเมฆยังเปิดช่องให้แสงสาดลง เอาน่าาาา มันก็สวยดีนะ เหมือนขึ้นไปอยู่อีกโลกนึงเลย
เป็นภาพตอนที่ หมอกเคลื่อนที่ข้ามสันเขา น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายวิดิโอได้ เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้ามาก
ขาลงจากภูเราก็ดันลงมาผิดทางนะครับ จริงๆรถรอเราอยู่ที่ฝั่งบ้านร่มฟ้าทอง แต่พี่คนขับก็ยังใจดีขับวนมารับเรา แถมยังได้เพื่อนร่วมทางที่ดันลงมาผิดทางเหมือนเรากลับไปด้วย
อ้อออ ที่ตั้ง gprs ไว้ที่ส่วนจัดการต้นน้ำหงาวงาวเพราะว่าเป็นเส้นทางที่ผ่านที่พักของเราพอดี
***ถัดจากภูชี้ฟ้าไป 23 กิโลเมตร ก็จะถึงดอยผาตั้ง ใครเที่ยวจนติดลมก็ไปต่อได้นะครับ เดี๋ยวนี้ทางดีแล้วแถมทางไปง่ายด้วยครับ
***เส้นทางจากในเมืองไปถึงภูชี้ฟ้าใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงครึ่ง ข้อแนะนำคือควรขึ้นไปให้ถึงที่พักก่อนมืดเพราะทางไม่มีไฟมืดและอันตรายมากๆ
***ถ้าจะไปเที่ยวเชียงรายควรมีวันหยุดสัก 4-5 วันถึงจะเที่ยวอย่างเต็มอิ่ม เพราะการเดินทางไปแต่ละสถานที่ค่อนข้างใช้เวลา
ค่าใช้จ่ายภายในทริป (มีผู้เข้าร่วมทริปทั้งหมด 6 คน )
ค่ารถทัวร์ไป - กลับ กรุงเทพ-เชียยงราย 1400 บาท / คน
ค่าเข้าชมวัดร่องขุ่น ฟรี (เฉพาะคนไทย)
ค่ารถ 2 แถว 32 บาท / คน
ค่ารถขึ้นไปภูชี้ฟ้า 60 บาท / คน
ค่าอาหารเฮือนดอกเสี้ยว ฟรี
ค่าที่พักเฮือนดอกเสี้ยว 500 บาท / คน
ค่าจ้างนำทางขึ้นภูชี้ฟ้า ไม่กำหนดราคา (ให้ได้ตามใจ)
[CR] Backpack Trip ก็เรียนมันล้า ภูชี้ฟ้าอยู่เชียงราย
แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราจะได้ไปเที่ยวอย่างเต็มที่
สถานที่พวกเราเลือกไปพักผ่อนหย่อนใจ คือ จังหวัดเชียงรายเพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ
อีกทั้งเชียงรายยังเป็นจังหวัดที่อยู่ติดทั้งลาวและพม่า ทำให้มีธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย
เริ่มต้นการเดินทาง ด้วยรถทัวร์ที่ศูนย์เดินรถนครชัยแอร์ ซึ่งพวกเราได้รถรอบ 19.45 น.
พอขึ้นรถกันเรียบร้อยทุกคนก็หลับกันหมด พอมารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นแสงแรกของวันที่พะเยาแล้ว เวลา ณ ตอนนั้น 7.00 น.
เดินทางมา 12 ชั่วโมงแล้ว นั่งจนเมื่อยแล้ววว ~~~~
พะเยามาเชียงรายใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง มาถึงที่ บขส.เชียงราย ประมาณ 8.00น. พอลงรถมา หันซ้าย หันหวา จะไปบ้านอาอี๊ยังไงดี ที่สถานีขนส่งเชียงรายเราสามารถเลือกใช้บริการ ทั้งรถแทกซี่ ที่มีอยู่ที่สถานีขนส่งเอง หรือ จะเลือก รถสองแถวสีฟ้านี่ก็ได้ โดยราคาที่เราต่อรองกับป้าออน(คนขับรถ) โดยเพื่อนเรามีคนนึงที่สามารถพูดเมืองได้ (พูดเหนือ) ต่อรองราคากับป้าจนได้ราคาที่ค่อนข้างถูกคือ 200 บาท เราไปกัน 6 คน คนละ 40 บาท
จากนั้นก็นั่งรถสองแถวเข้าเมืองเพื่อไปหาอาอี๊ของเพื่อน (1 ในสมาชิกเรามีญาติอยู่ที่เชียงราย )เพื่อที่จะเข้าไปเอารถที่จะใช้ขับไปเที่ยวเชียงราย ซึ่งเป็นรถ toyota vios เมื่ออ่านไปเรื่อยๆจะรู้ว่าเหตุผลที่เราทำไมต้องบอกรุ่นของรถไว้ก่อน เหมือนเป็นสปอยทริปเล็กๆ
พอเรามาถึงบ้านอาอี๊ แกก็ทำกับข้าวต้อนรับอย่างดีตามสไตล์คนเมือง เรียบง่ายแต่อร่อยมากกกกก มีทั้งข้าวเหนียว ไส้อั่ว แคปหมู หมูทอด ผัดผัก ต้มจืด และที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำพริกหนุ่ม เอาล่ะ รออะไรกันละ กินสิครับ !!! พอกินกันอิ่มหนำหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนงั้นเรานอนกันเลยดีกว่า พูดเล่น แฮร่!
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องจริงไหมครับ ฉะนั้นเรามาเริ่มสถานที่แรกที่เราไปกันเลยดีกว่า
วัดร่องขุ่น เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงรู้จักวัดนี้กันดีอยู่แล้ว จะเรียกว่าเป็นหนึ่งใน Landmark ของเชียงรายเลยก็ว่าได้ วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ช่วงสายๆ นักท่องเที่ยวเยอะมากและส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย และที่สำคัญคนไทยเข้าวัดฟรี !! แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติจะคิดค่าเข้าชมคนละ 50 บาท
ศิลปะในวัดร่องขุ่นเป็นศิลปะแบบร่วมสมัย ภายในโบสถ์จะมีภาพวาดบนฝาผนังแสดงถึง การเกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ แต่มันไม่ได้มีแค่รูปสัจธรรมเท่านั้น ยังมีรูปตัวการ์ตูนที่เราๆเคยดูด้วย เช่น โดเรมอน ซุปเปอร์แมน darth vader เป็นต้น แต่เสียดายเพราะในโบสถ์ห้ามถ่ายรูป แต่ถ้าใครอยากรู้ต้องลองไปดูศิลปะแบบโมเดิร์นของอาจารย์ เฉลิมชัย ได้รับลองไม่ผิดหวังแน่ๆ
สถานที่แห่งที่ 2 ที่พวกเราไป คือ Singha Park ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “ไร่บุญรอด” บอกเลยว่าเป็นที่ที่กว้างสุดลุกหูลุกตา มีพื้นที่ทั้งหมด 8,000 ไร่
(กว่าเกินไปนะ -_- 555 ) ในพื้นที่นี้มีหลายอย่างที่ให้เลือกเล่น เลือกดู อย่างเช่น ไร่ชาที่ปลูกเป็นแนวดูแล้วสวยงาม
นอกจากจะมีไร่ชาที่ปลูกเป็นแถวเป็นแนวแล้ว ยังมีพื้นที่ลานกว้างที่มีวิวด้านหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่ และในลานกว้างก็จะมีกิจกรรมให้คนที่มาท่องเที่ยวปั่นจักรยานไปตามทางเพื่อชมธรรมชาติด้วย แต่ถ้าใครขี้เกียจปั่นจักรยานก็สามารถขึ้นรถบัสของทาง Singha Park ได้นะ ซึ่งบนรถก็จะมีไกด์คอยบรรยาย ถ้าใครไปเชียงรายก็ลองไปดูสักครั้งนะ อาจจะติดใจธรรมชาติของที่นี่ก็ได้
เป็นทิวทัศน์ที่เหมาะกับการพักผ่อนสายตาดีจริงๆ
วิวระหว่างทางก็สวยไม่ใช่เล่นเลยนะครับ อิอิ
การเดินทางขึ้นไปบนภูชี้ฟ้า ทางค่อนข้างคดเคี้ยว และในพวกเราก็ไม่มีใครเคยขึ้นไป จึงต้องใช้ google map ในการนำทาง ต่อให้เป็นแค่ทางที่ขับตามไปเรื่อยๆก็ถึงแต่มันก็มีอุปสรรคอยู่หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางที่มืดจนมองอะไรไม่เห็น ความชำนาญทางในการขับ หรือแม้แต่ตัวรถเอง ซึ่งจำกันได้ไหมครับ อย่างที่ได้สปอยไว้แรกๆ ว่านี่ toyota vios นะ บรรทุกไป 6 คนพร้อมของ คือ 6 คนนี้ถ้าเป็นคนตัวเล็กๆ ก็ไม่มีผลอะไรมากกับการเดินทางขึ้นเา แต่พวกเรา size XL กันทั้งนั้น แต่รถเล็กก็สามารถขึ้นได้นะครับ 5555555
ต่อไปเราก็มาดูที่พักกันดีกว่า ที่พักของเรามีชื่อว่า “เฮือนดอกเสี้ยว” เป็นที่พักราคา 500 บาท /คน โดยในช่วงที่เราไปยังเป็นช่วงที่ก่อนจะเข้าฤดูการท่งอที่ยว คนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ ภายในห้องพัก ลักษณะเหมือนบ้านเลย ก็ มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ คือการที่มี 2 ห้องน้ำ เวลาเราไปกับเพื่อนๆ ส่วนตัวผมรู้สึกดีมากเลย เพราะจะลดเวลาในการเข้าห้องน้ำได้ด้วยนะเออ ซึ่งในห้องนอน 1 ห้องจะมี 2 เตียง และด้านบนของที่พักจะเป็นชั้นด่านฟ้า เอาไว้ดูวิว ซึ่งพอตกกลางคืนพวกเราก็มาคุยเล่น นั่งถ่ายภาพดาวบนดาดฟ้า
ปล.ที่ห้องน้ำของเฮือนดอกเสี้ยวมีเครื่องทำน้ำอุ่นนะคร้าบบ เพื่อนๆ ที่ขึ้นดอยไปแล้วกลัวการอาบน้ำบนดอย เลิกกลัวไปได้เลย ร้อนเร็วทันใจ
ทางขึ้นไปภูชี้ฟ้าจะขึ้นได้สองทาง ซึ่งพวกเราขึ้นทางบ้านร่มฟ้าทองซึ่งใกล้กับที่พักของเรา โดยมีรถที่ป้าเจ้าของเฮือนดอกเสี้ยวติดต่อไว้ให้ ซึ่งรถมารับเวลาตีห้าครึ่ง เมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อม พี่คนขับก็เหยียบชนิดล้อฟรีไม่ติงนัง ขึ้นไปยังจุดหมายอย่างชำนาญ ซึ่งบอกได้เลยว่าทางขึ้นไปภูชี้ฟ้า เป็นทางที่ชันและคดเคี้ยวมาก
โชคร้ายหน่อยวันที่เราไปนั้นเมฆค่อนข้างเยอะบดบังพระอาทิตย์ที่เราตั้งใจจะไปดู แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยัง
มีทะเลหมอกให้ชื่นชม แถมเมฆยังเปิดช่องให้แสงสาดลง เอาน่าาาา มันก็สวยดีนะ เหมือนขึ้นไปอยู่อีกโลกนึงเลย
เป็นภาพตอนที่ หมอกเคลื่อนที่ข้ามสันเขา น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายวิดิโอได้ เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้ามาก
ขาลงจากภูเราก็ดันลงมาผิดทางนะครับ จริงๆรถรอเราอยู่ที่ฝั่งบ้านร่มฟ้าทอง แต่พี่คนขับก็ยังใจดีขับวนมารับเรา แถมยังได้เพื่อนร่วมทางที่ดันลงมาผิดทางเหมือนเรากลับไปด้วย
อ้อออ ที่ตั้ง gprs ไว้ที่ส่วนจัดการต้นน้ำหงาวงาวเพราะว่าเป็นเส้นทางที่ผ่านที่พักของเราพอดี
***ถัดจากภูชี้ฟ้าไป 23 กิโลเมตร ก็จะถึงดอยผาตั้ง ใครเที่ยวจนติดลมก็ไปต่อได้นะครับ เดี๋ยวนี้ทางดีแล้วแถมทางไปง่ายด้วยครับ
***เส้นทางจากในเมืองไปถึงภูชี้ฟ้าใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงครึ่ง ข้อแนะนำคือควรขึ้นไปให้ถึงที่พักก่อนมืดเพราะทางไม่มีไฟมืดและอันตรายมากๆ
***ถ้าจะไปเที่ยวเชียงรายควรมีวันหยุดสัก 4-5 วันถึงจะเที่ยวอย่างเต็มอิ่ม เพราะการเดินทางไปแต่ละสถานที่ค่อนข้างใช้เวลา
ค่าใช้จ่ายภายในทริป (มีผู้เข้าร่วมทริปทั้งหมด 6 คน )
ค่ารถทัวร์ไป - กลับ กรุงเทพ-เชียยงราย 1400 บาท / คน
ค่าเข้าชมวัดร่องขุ่น ฟรี (เฉพาะคนไทย)
ค่ารถ 2 แถว 32 บาท / คน
ค่ารถขึ้นไปภูชี้ฟ้า 60 บาท / คน
ค่าอาหารเฮือนดอกเสี้ยว ฟรี
ค่าที่พักเฮือนดอกเสี้ยว 500 บาท / คน
ค่าจ้างนำทางขึ้นภูชี้ฟ้า ไม่กำหนดราคา (ให้ได้ตามใจ)