ดอยอ่างขาง : พาเดินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ณ ดอยอ่างขาง เชียงใหม่ เขียนโดย อาย กมลเนตร เรืองศรี :)



เครดิต http://www.adaymagazine.com/travels/iwasthere-65

ดอยอ่างขาง เป็นอย่างไรในความคิดของคุณผู้อ่าน

ถ้าลองหาข้อมูลดูในอินเทอร์เน็ตจะพบว่าดอยอ่างขางเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในช่วงฤดูหนาว ด้วยอากาศบนยอดดอยที่ลดลงต่ำกว่าปกติจนบางครั้งลดไปจนถึงเลขตัวเดียว ธรรมชาติที่สวยงาม ภูเขาสีเขียวๆ ที่มองไปไกลๆ จนสุดลูกหูลูกตา ไม้ดอกและไม้ผลนานาพันธุ์ที่หาดูไม่ได้ตามพื้นราบ แถมยังมีวิถีชีวิตและประเพณีต่างๆ ของชาวเขาอีก 4 ชนเผ่าให้ดูแล้วยิ้มตามไปอีกด้วย

ฉันไม่เคยไปดอยอ่างขางเลย

ดังนั้น ดอยอ่างขางในทริป เดินทางพ่อ ของ โครงการสานต่อที่พ่อทำ จึงเป็นการมาเยือนดอยอ่างขางครั้งแรกในชีวิตของฉัน




ดอยอ่างขาง เป็นอย่างที่ฉันบอกไว้ในย่อหน้าแรกจริงๆ อุณหภูมิของวันที่ 28 ตุลาคม 2559 เป็น 20 องศาในตอนกลางวัน และ 14 องศาในตอนกลางคืน ทุกวันนี้อ่างขางสวยและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาเที่ยวอ่างขางได้มากกว่าแต่ก่อนจริงๆ

แต่เมื่อ 40 กว่าปีก่อน อ่างขางไม่ได้เป็นอย่างในทุกวันนี้ อ่างขางคือพื้นที่ที่มีการปลูกไร่ฝิ่นเยอะมาก สาเหตุก็คือชาวเขาปลูกฝิ่นไว้สำหรับเป็นยารักษาโรค แต่คนกรุงเทพฯ ในตอนนั้นขึ้นมาส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกฝิ่นเพิ่มและก็รับซื้อฝิ่นจากชาวเขา เนื่องจากตอนนั้นกฎหมายเรื่องฝิ่นยังมาไม่ถึงพื้นที่บนดอยอ่างขาง และฝิ่นเองก็เป็นสารเสพติดที่คนกรุงเทพฯ ต้องการ ทำให้ชาวบ้านต้องไปทำลายพื้นที่ป่ามากขึ้นเพื่อขยายพื้นที่ปลูกฝิ่น จากป่าที่เคยเป็นป่าก็ถูกลุกล้ำเป็นการทำไร่เลื่อนลอย ไม่นานดอยอ่างขางก็กลายเป็นภูเขาหัวโล้น



เรื่องราวที่ได้ฟังจากวิทยากรเป็นเรื่องน่าเศร้า

และเป็นเรื่องน่าเศร้ากว่า เมื่อเราได้ฟังมันในตอนที่วันนี้ เราไม่มีคนคนนั้นที่คอยอยู่เบื้องหลังการพลิกดอยอ่างขางจากไร่ฝิ่นสู่ไร่ชาอย่างทุกวันนี้แล้ว

คนคนนั้นคือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือพระราชาของประเทศไทย แต่คนไทยรวมทั้งชาวเขาสนิทใจที่จะเรียกท่านว่า พ่อหลวงมากกว่า

เพราะ พ่อ คือคนที่ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง เรากล้าใช้คำนี้ พ่อ คือ คนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ดอยอ่างขางและฝางให้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะยากและใช้เวลานานนับสิบปีก็ตาม





นอกจากจะได้เดินดูสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สวน ๘๐ ปี และได้ฟังข้อมูลเชิงลึกจากพี่มนตรี วิทยากรประจำทริปแล้ว กิจกรรมที่ฉันกับผู้ร่วมทริปอีก 20 ชีวิตได้ทำร่วมกัน คือ การลงพื้นที่จริงในวันที่สองของทริป พวกเราได้เดินตามเส้นทางธรรมชาติที่เป็นการเดินตามรอยพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 บนพื้นที่ของไร่ชา 2000 ระยะทาง 5 - 6 กิโลเมตรที่เราต้องเดินเท้าบนทางราบก็ดูไกลแล้วสำหรับคนเมืองที่ไม่ค่อยได้เดินอย่างพวกเรา แต่นี่เราเดินบนเส้นทางธรรมชาติ เดินบนภูเขาที่มีฝนตกในตอนเช้า คงไม่ต้องพูดถึงว่าเส้นทางจะเฉอะแฉะและลื่นแค่ไหน ในระหว่างที่เดินไป พวกเราก็ต้องคอยดูแลกันและกัน เพราะเราเดินกันหลายคน มีน้องๆ บางคนลื่นล้มบ้าง ก็ต้องช่วยดูแลประคับประคองกันไปให้ถึงเป้าหมาย

“พ่อทำขนาดนี้ทำไม จริงๆ พ่ออยู่ในวังก็น่าจะสบายกว่านี้ตั้งเยอะ” นี่เป็นเสียงความคิดของฉันเอง มันดังอยู่ในหัวหลายครั้งมากๆ ตลอดการเดิน ฉันไม่ได้ถามออกไป ไม่มีใครได้ยินคำถามของฉัน ฉันไม่ต้องพยายามหาคำตอบ เพราะคำตอบมันอยู่ในระหว่างทางที่ฉันเดินอยู่แล้ว



วันที่ 29 ตุลาคม 2559 ฉันเดินอยู่บนเส้นทางที่พ่อเคยเดิน แต่เป็นทางที่ดีขึ้นมากกว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เส้นทางที่จะพาฉันไปสู่จุดแลนด์มาร์กของดอยอ่างขาง สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยมาก ที่ไม่ควรพลาดในช่วงฤดูหนาว ด้วยอากาศบนยอดดอยที่ลดลงต่ำกว่าปกติจนบางครั้งลดไปจนถึงเลขตัวเดียว ธรรมชาติที่สวยงาม ภูเขาสีเขียวๆ ที่มองไปไกลๆ จนสุดลูกหูลูกตา ไม้ดอกและไม้ผลนานาพันธุ์ที่หาดูไม่ได้ตามพื้นราบ แถมยังมีวิถีชีวิตและประเพณีต่างๆ ของชาวเขาอีก 4 ชนเผ่าให้ดูแล้วยิ้มตามไปอีกด้วย

และฉันยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้พูดคุยกับชาวเขาเหล่านั้น แล้วเขาบอกว่าเขารักในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะอะไร

สำหรับฉัน อ่างขางไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวอีกต่อไป

แต่อ่างขางเป็นเหมือนสถานที่ประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความทรงจำดีๆ ของฉันและผู้ร่วมเดินทางทุกคนที่ เดินทางพ่อ ฉันสัญญาว่าฉันจะสานต่อที่พ่อทำ

ฉันรักที่นี่..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่