อะแฮ่ม!!
นี่คือ review สถานที่ท่องเที่ยวครั้งแรกในชีวิตของเค้าเนอะ (ปกติถนัดแค่เขียนนิยาย...แฮ่)
หากผิดพลาดประการ ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยเน้อจ้า...
***ป.ล. อย่างที่บอกตรงหัวข้อว่านี่คือ Review เที่ยวเชียงใหม่แบบชิลล์ๆ โง่ๆ ฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงค่อนข้างตะกุกตะกัก โปรแกรมเที่ยวไม่มี ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวไม่มี รถโดยสารเที่ยวไม่มี (หาได้ก็โคตรแพงแสนแพง) ที่สำคัญ!! กล้องถ่ายภาพไม่มี ทุกภาพที่เจ้าของกระทู้ถ่ายไว้เพื่อเก็บเป็นความทรงจำจึงมาจาก iPhone 5s คู่ใจทั้งสิ้น (เก่าแก่ชิบ...) และภาพเกือบ 100% จะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ วิวทิวทัศน์ และของกิน***
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะคะ^^
สำหรับการเดินทางไปเที่ยว "เชียงใหม่" ครั้งแรกในชีวิตครั้งนี้เจ้าของกระทู้เดินทางพร้อมกับเพื่อนสาวซึ่งสนิทกันมาตั้งแต่สมัยประถม มัธยมฯยันมหา'ลัย
เรา 2 คนมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายโดยอาศัยตั๋วราคาประหยัดจากสายการบินแอร์เอเชีย (เที่ยวบินไม่ดึกมาก ประมาณ 2 ทุ่ม 25 นาที) จากท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ (เที่ยวบินตรงกระบี่-เชียงใหม่) บรรยากาศบนเครื่องขาไปนี่โคตรวังเวงมากๆ ค่ะ เพราะบนเครื่องบินลำใหญ่ยักษ์มีผู้โดยสารแค่ 97 คน (ไม่นับรวมลูกเรือและกัปตัน...เงียบหนักมาก) และเพื่อทำลายความเงียบ....ทันทีที่เครื่องบิน take off เจ้าของกระทู้งีบหลับเหมือนซ้อมตายในทันที
2 สาวใต้นักอยากเที่ยวดอยเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม 55 นาที (ดึกเนอะ...ง่วงด้วย) สำหรับคืนแรกที่ไปถึงเราเลือกจองห้องพักที่ "แอท นาธา เชียงใหม่ ชิค จังเกิล" ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.แม่ริม (ด้วยความหวังว่าใกล้ม่อนแจ่ม อาจจะหารถขึ้นไปบนม่อนแจ่มง่ายกว่านอนในตัวเมือง...ซึ่งความเป็นจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดมหันตร์) และสำหรับการหารถไปที่พักในคืนแรกเรา 2 คนใช้บริการรถรับ-ส่งจากทางโรงแรมค่ะ (เสียค่าบริการนอกนะคะ นี่ไม่ใช่การอวดรวยเพราะไม่มีความรวยให้อวด แต่มันคือการตัดสินใจแบบโง่ๆ ที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี สนใจแค่อยากกลับไปนอนไวๆ) แต่กว่ารถจากทางโรงแรมจะมารับนี่นานมากค่ะ โทร.จิก โทร.ตามตั้งหลายรอบแน่ะ (ได้ยินประโยคคำถามของ reception นี่มั่นใจเกินล้านว่าเขาลืมมารับพวกเราค่ะ) กว่าจะได้ขึ้นรถไปที่พักก็ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง (นั่งสัปหงกรอในสนามบินไปพลางๆ) ระหว่างทางพี่ผู้หญิงคนขับรถมารับก็ (อุตส่าห์) ใจดีแวะให้ซื้อหาของกินข้างทางแถวๆ "ถนนช้างเผือก" ค่ะ มื้อดึกคืนนั้นเจ้าของกระทู้และเพื่อนเลือกกินสุกี้แห้งรสชาติอร่อยมาก หมูนุ่มสุดๆ คุณภาพนี่เกินราคาขอยืนยัน (จำชื่อร้านไม่ได้นะคะ คนปรุงเป็นผู้หญิงค่ะ สวยด้วย)
พวกเรามาถึงที่พักตอนเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ จัดการรีบ check-in โดยไวเพราะความง่วงเริ่มแสดงกิริยาไม่น่ารักแล้ว บรรยากาศนี่ก็ควรค่าแก่การนอนที่สุดเพราะอุณหภูมิตอนนั้นอยู่ที่ 21 องศา (ถือว่าเย็นมากนะสำหรับสาวใต้ผู้คุ้นเคยกับดวงอาทิตย์และฝนฟ้าคะนองตลอดทั้งปี)
**ป.ล.ภาพภายในห้องพักไม่ได้ถ่ายนะคะ แอบขโมยรูปมาจากเพจโรงแรมค่ะ...แฮ่ (ยกเว้น!! ภาพสุดท้าย เจ้าของกระทู้เป็นคนถ่ายด้วยตัวเอง)**
Cr. Page FB: AtNata Chic Junle
[วันที่ 1 : การเริ่มต้น "เที่ยวเชียงใหม่" แบบจริงๆ จังๆ]
โปรแกรมแรกที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางคือ "ม่อนแจ่ม" และ "สะเมิง" อยากไปดูดอกไม้ สตอเบอรี่ ต้นไม้ ทุ่งข้าวสาลี ทุ่งดอกเก๊กฮวย และอีกบลาๆ ที่เป็นพวกพันธุ์ไม้ (พื้นฐานจิตใจไม่ได้รักธรรมชาติอะไรมากมายหรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบถ่ายภาพสรรพสิ่งเหล่านี้มากกว่าการเซลฟี่รูปตัวเอง) 555
สำหรับการเดินทางในเช้าวันแรกเรา 2 คนใช้บริการรถเหมาสีแดงของป้าเพ็ญเพื่อขึ้นไปดูหมอกบนม่อนแจ่ม ราคาเหมา 1 วันก็อยู่ที่ 1,500 บาท (ย้ำว่า 2 คนในราคาเหมา 1,500 บาท ถ้าหากไปหลายๆ คนก็ช่วยกันหาร ประหยัดกว่านี้เยอะ) น้าคนขับรถแดงมารับพวกเราตั้งแต่ 6 โมงครึ่งทั้งที่ตอนแรกนัดกับป้าเพ็ญไว้ 7 โมง ด้วยเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นว่า "น้าอยากพาไปดูทะเลหมอก ถ้าไปตอน 7 โมงมันหมดแล้ว" (ถามความสมัครใจของหนูหรือยังคะ?) เถียงได้แค่ในใจเพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ 5 โมงครึ่ง อาบน้ำ (น้ำเย็นมากๆๆๆ) แต่งตัว check-out ที่พัก ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ม่อนแจ่มในสภาพงัวเงีย สะลึมสะลือ
ไปถึงม่อนแจ่มประมาณ 06: 50 น. พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นภูเขา หมอกแทบหาไม่เจอแล้ว
ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว
ผลจากการตื่นสายทำให้พวกเรา 2 คนได้เห็นหมอกแบบกระปริบกระปรอยมากๆ (ถ้ามาเช้ามืดกว่านี้อาจจะสวยกว่านี้...รอรอบหน้าล่ะกัน) หลังจากได้เห็นหมอกแล้ว วินาทีต่อไปคือการตามล่าหาดอกไม้ตามความตั้งใจก่อนเดินทาง แต่ก็นั่นแหละ! เพราะมาแบบไม่เช็คเวลาและสภาพอากาศ ดอกไม้ยังไม่บาน ภาพที่ได้ออกมาจึงน้อยนิดยิ่งนัก T___T (คิดถึงแล้วแอบเสียใจเบาๆ) รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มค่ารถสักเท่าไหร่
ไม่มีดอกให้เห็นเลย...
ดอกทานตะวันกลางไร่สตอเบอรี่
อย่าถามว่าชื่อดอกอะไร เพราะไม่รู้จักเหมือนกัน
มีแค่นี้จริงๆ
บทเรียนจากการไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำให้ภาพที่ได้มาน้อยนิดยิ่งนัก แน่นอนว่าไม่สมดุลกับระยะเวลาในการเดินดูโน้นดูนี่เลย อ๊ะ!! แต่อย่างน้อย (แค่อย่างน้อย) เจ้าของกระทู้ก็ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น นั่นคือ...
"ดอกซากุระเมืองไทย" หรือ "พญาเสือโคร่ง" รึป่าวนะ???
ช่วงนี้กำลังเริ่มออกดอกแล้วค่ะ แต่จะบานสวยและเยอะมากๆ ช่วงเดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็จะเย็นกว่านี้ด้วย เผลอๆ อาจจะเป็นเลขตัวเดียว
หลังกินแห้วกระป๋องโตผิดหวังจากการไม่บานของดอกไม้ แห้วกระป๋องต่อไปที่เจ้าขงกระทู้กินคือผิดหวังที่สตอเบอรี่ไม่ออกผล มีแค่ดอกสีขาวๆ เล็กๆ 3-4 ดอกโผล่ออกมาให้เจ็บใจเล่น (ซวยซ้ำ ซวยซ้อน)
ไร่สตอเบอรี่บนม่อนแจ่ม
มีแค่ดอก...
เจ้าของกระทู้และเพื่อนใช้เวลาเดินเก็บภาพใบไม้ (ดอกไม้ไม่มีนี่...) บนม่อนแจ่มจนเกือบ 8 โมง ก่อนจะเดินไปดูร้านค้าของชาวบ้านซึ่งวางเรียงรายบริเวณด้านหน้า เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นขายเสื้อผ้า เครื่องประดับและผลไม้ ราคานี่ก็ไม่แพงนะคะถ้าหากเทียบกับในเมือง มีของให้เลือกเยอะด้วย ที่สำคัญ!! ต่อราคาง่ายด้วย 555 แต่ร้านเครื่องดื่มบนม่อนแจ่มนี่ขายแพงนะคะ โกโก้เย็นแก้วนึงตั้ง 80 บาทแน่ะ (เขาไม่อนุญาตให้นำเครื่องดื่มและอาหารจากข้างนอกเข้าไปกิน)
ขาลงจากม่อนแจ่มน้าคนขับรถพาแวะดูวิวที่ "ม่อนวิวงาม" ค่ะ อากาศตอนเกือบๆ 9 โมงบนดอยนี่ยังเย็นอยู่นะ (แต่ได้ข่าวว่าในเมืองร้อน) ม่อนวิวงามนี่ไม่มีอะไรให้ดูมากค่ะ เพราะพื้นที่ส่วนนี้เขาเปิดให้บริการเป็นที่พัก ที่กางเต็นท์และร้านอาหาร และแว่วๆ มาว่าตอนนี้กำลังเริ่มปลูกดอกทานตะวันให้เต็มทั้งม่อน อีก 2 เดือนข้างหน้าคงได้เห็น "ทุ่งทานตะวันม่อนวิวงาม"
อีก 2 เดือนข้างหน้าคงจะเหลืองอร่ามทั้งม่อน
"ดอกบัวตอง" ก็มี
ดอกอะไรไม่รู้ แต่ชอบมุมนี้
สูดกลิ่นทานตะวันบนม่อนวิวงามเป็นที่เรียบร้อยสถานีต่อไปคือ "สวนองุ่นอีเดน" สวนองุ่นขนาดเล็กริมทางขึ้นม่อนแจ่ม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโครงการหลวงมากนัก (ซึ่งเราจะแวะโครงหลวงฯสถานีถัดไป ตามโปรแกรมที่น้าคนขับรถแจ้งไว้ระหว่างทาง) วันที่ไปนี่เจ้าของกระทู้ได้เข้าชมแค่ 1 แปลง เพราะแปลงอื่นๆ ผลยังไม่โตเต็มที่ แต่สามารถเก็บภาพแปลงข้างๆ ได้นะคะ (พวงองุ่นห้อยเต็มเลย)
***ป.ล.บริเวณด้านหน้าสวนมีร้านขายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นขายด้วยนะคะ ราคาไม่แพงเหมือนกัน ของมีเยอะด้วย แต่ซื้อเยอะไม่ได้เพราะไม่สามารถแบกขึ้นเครื่องได้หมด***
พร้อมเก็บ
ยังเขียวอยู่เลย...
เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว
ออกจาก "สวนองุ่นอีเดน" เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางป้ายหน้า "สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" หรือ "QUEEN SIRIKIT BOTANIC GARDEN" (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมน้าคนขับรถไม่แวะโครงการหลวงหนองหอย ทั้งๆ ที่บอกโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว T___T)
สำหรับสายชอบดอกไม้และพันธุ์ไม้อย่างเจ้าของกระทู้สวนแห่งนี้คือสวรรค์ชั้น 7 เลยแหละ 555 ก่อนเข้าก็ต้องจ่ายธรรมเนียมคนละ 40 บาทนะคะ รถคันละ 100 บาท (รวมคนขับ) หรือถ้าใครไม่อยากเอารถส่วนตัวเข้าไป QSBG เขาก็มีรถรางคอยให้บริการนะคะ
บัตรเข้าชมสวนพฤกษศาสตร์ฯ
จุดแรกที่เรา 2 คนแวะชมคือ "Canopy Walkway" หรือ "เส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้" ซึ่งมีความยาวที่สุดในประเทศไทย ราวๆ ประมาณ 400 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 20 เมตรค่ะ (มองลงไปด้านล่างแอบหวิวๆ นะ)
Cr. ท่องเที่ยวสะดุดตา (ขออนุญาตยืมรูปนะคะ บังเอิญไม่ได้ถ่ายภาพสะพานเอาไว้^^)
จำชื่อดอยไม่ได้แล้ว
เดินไปเรื่อยๆ จะเจอจุดชมวิว 360 องศามองเห็นผืนป่าสีเขียวได้กว้างไกลมากค่ะ แต่เจ้าของกระทู้ไม่กล้ายืนนานมันเสียว เพราะพื้นบริเวณนั้นเป็นกระจกค่ะ (เขาจำกัดพื้นที่การยืนนะคะ 5 คน/ตร.ม.)
มองไกลๆ สวยมาก
[CR] [Review] เที่ยวเชียงใหม่แบบชิลล์ๆ โง่ๆ (ครั้งแรกในชีวิต)
นี่คือ review สถานที่ท่องเที่ยวครั้งแรกในชีวิตของเค้าเนอะ (ปกติถนัดแค่เขียนนิยาย...แฮ่)
หากผิดพลาดประการ ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยเน้อจ้า...
***ป.ล. อย่างที่บอกตรงหัวข้อว่านี่คือ Review เที่ยวเชียงใหม่แบบชิลล์ๆ โง่ๆ ฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงค่อนข้างตะกุกตะกัก โปรแกรมเที่ยวไม่มี ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวไม่มี รถโดยสารเที่ยวไม่มี (หาได้ก็โคตรแพงแสนแพง) ที่สำคัญ!! กล้องถ่ายภาพไม่มี ทุกภาพที่เจ้าของกระทู้ถ่ายไว้เพื่อเก็บเป็นความทรงจำจึงมาจาก iPhone 5s คู่ใจทั้งสิ้น (เก่าแก่ชิบ...) และภาพเกือบ 100% จะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ วิวทิวทัศน์ และของกิน***
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะคะ^^
สำหรับการเดินทางไปเที่ยว "เชียงใหม่" ครั้งแรกในชีวิตครั้งนี้เจ้าของกระทู้เดินทางพร้อมกับเพื่อนสาวซึ่งสนิทกันมาตั้งแต่สมัยประถม มัธยมฯยันมหา'ลัย
เรา 2 คนมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายโดยอาศัยตั๋วราคาประหยัดจากสายการบินแอร์เอเชีย (เที่ยวบินไม่ดึกมาก ประมาณ 2 ทุ่ม 25 นาที) จากท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ (เที่ยวบินตรงกระบี่-เชียงใหม่) บรรยากาศบนเครื่องขาไปนี่โคตรวังเวงมากๆ ค่ะ เพราะบนเครื่องบินลำใหญ่ยักษ์มีผู้โดยสารแค่ 97 คน (ไม่นับรวมลูกเรือและกัปตัน...เงียบหนักมาก) และเพื่อทำลายความเงียบ....ทันทีที่เครื่องบิน take off เจ้าของกระทู้งีบหลับเหมือนซ้อมตายในทันที
2 สาวใต้นักอยากเที่ยวดอยเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม 55 นาที (ดึกเนอะ...ง่วงด้วย) สำหรับคืนแรกที่ไปถึงเราเลือกจองห้องพักที่ "แอท นาธา เชียงใหม่ ชิค จังเกิล" ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.แม่ริม (ด้วยความหวังว่าใกล้ม่อนแจ่ม อาจจะหารถขึ้นไปบนม่อนแจ่มง่ายกว่านอนในตัวเมือง...ซึ่งความเป็นจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดมหันตร์) และสำหรับการหารถไปที่พักในคืนแรกเรา 2 คนใช้บริการรถรับ-ส่งจากทางโรงแรมค่ะ (เสียค่าบริการนอกนะคะ นี่ไม่ใช่การอวดรวยเพราะไม่มีความรวยให้อวด แต่มันคือการตัดสินใจแบบโง่ๆ ที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี สนใจแค่อยากกลับไปนอนไวๆ) แต่กว่ารถจากทางโรงแรมจะมารับนี่นานมากค่ะ โทร.จิก โทร.ตามตั้งหลายรอบแน่ะ (ได้ยินประโยคคำถามของ reception นี่มั่นใจเกินล้านว่าเขาลืมมารับพวกเราค่ะ) กว่าจะได้ขึ้นรถไปที่พักก็ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง (นั่งสัปหงกรอในสนามบินไปพลางๆ) ระหว่างทางพี่ผู้หญิงคนขับรถมารับก็ (อุตส่าห์) ใจดีแวะให้ซื้อหาของกินข้างทางแถวๆ "ถนนช้างเผือก" ค่ะ มื้อดึกคืนนั้นเจ้าของกระทู้และเพื่อนเลือกกินสุกี้แห้งรสชาติอร่อยมาก หมูนุ่มสุดๆ คุณภาพนี่เกินราคาขอยืนยัน (จำชื่อร้านไม่ได้นะคะ คนปรุงเป็นผู้หญิงค่ะ สวยด้วย)
พวกเรามาถึงที่พักตอนเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ จัดการรีบ check-in โดยไวเพราะความง่วงเริ่มแสดงกิริยาไม่น่ารักแล้ว บรรยากาศนี่ก็ควรค่าแก่การนอนที่สุดเพราะอุณหภูมิตอนนั้นอยู่ที่ 21 องศา (ถือว่าเย็นมากนะสำหรับสาวใต้ผู้คุ้นเคยกับดวงอาทิตย์และฝนฟ้าคะนองตลอดทั้งปี)
**ป.ล.ภาพภายในห้องพักไม่ได้ถ่ายนะคะ แอบขโมยรูปมาจากเพจโรงแรมค่ะ...แฮ่ (ยกเว้น!! ภาพสุดท้าย เจ้าของกระทู้เป็นคนถ่ายด้วยตัวเอง)**
[วันที่ 1 : การเริ่มต้น "เที่ยวเชียงใหม่" แบบจริงๆ จังๆ]
โปรแกรมแรกที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางคือ "ม่อนแจ่ม" และ "สะเมิง" อยากไปดูดอกไม้ สตอเบอรี่ ต้นไม้ ทุ่งข้าวสาลี ทุ่งดอกเก๊กฮวย และอีกบลาๆ ที่เป็นพวกพันธุ์ไม้ (พื้นฐานจิตใจไม่ได้รักธรรมชาติอะไรมากมายหรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบถ่ายภาพสรรพสิ่งเหล่านี้มากกว่าการเซลฟี่รูปตัวเอง) 555
สำหรับการเดินทางในเช้าวันแรกเรา 2 คนใช้บริการรถเหมาสีแดงของป้าเพ็ญเพื่อขึ้นไปดูหมอกบนม่อนแจ่ม ราคาเหมา 1 วันก็อยู่ที่ 1,500 บาท (ย้ำว่า 2 คนในราคาเหมา 1,500 บาท ถ้าหากไปหลายๆ คนก็ช่วยกันหาร ประหยัดกว่านี้เยอะ) น้าคนขับรถแดงมารับพวกเราตั้งแต่ 6 โมงครึ่งทั้งที่ตอนแรกนัดกับป้าเพ็ญไว้ 7 โมง ด้วยเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นว่า "น้าอยากพาไปดูทะเลหมอก ถ้าไปตอน 7 โมงมันหมดแล้ว" (ถามความสมัครใจของหนูหรือยังคะ?) เถียงได้แค่ในใจเพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ 5 โมงครึ่ง อาบน้ำ (น้ำเย็นมากๆๆๆ) แต่งตัว check-out ที่พัก ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ม่อนแจ่มในสภาพงัวเงีย สะลึมสะลือ
ผลจากการตื่นสายทำให้พวกเรา 2 คนได้เห็นหมอกแบบกระปริบกระปรอยมากๆ (ถ้ามาเช้ามืดกว่านี้อาจจะสวยกว่านี้...รอรอบหน้าล่ะกัน) หลังจากได้เห็นหมอกแล้ว วินาทีต่อไปคือการตามล่าหาดอกไม้ตามความตั้งใจก่อนเดินทาง แต่ก็นั่นแหละ! เพราะมาแบบไม่เช็คเวลาและสภาพอากาศ ดอกไม้ยังไม่บาน ภาพที่ได้ออกมาจึงน้อยนิดยิ่งนัก T___T (คิดถึงแล้วแอบเสียใจเบาๆ) รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มค่ารถสักเท่าไหร่
บทเรียนจากการไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำให้ภาพที่ได้มาน้อยนิดยิ่งนัก แน่นอนว่าไม่สมดุลกับระยะเวลาในการเดินดูโน้นดูนี่เลย อ๊ะ!! แต่อย่างน้อย (แค่อย่างน้อย) เจ้าของกระทู้ก็ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น นั่นคือ...
ช่วงนี้กำลังเริ่มออกดอกแล้วค่ะ แต่จะบานสวยและเยอะมากๆ ช่วงเดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็จะเย็นกว่านี้ด้วย เผลอๆ อาจจะเป็นเลขตัวเดียว
หลังกินแห้วกระป๋องโตผิดหวังจากการไม่บานของดอกไม้ แห้วกระป๋องต่อไปที่เจ้าขงกระทู้กินคือผิดหวังที่สตอเบอรี่ไม่ออกผล มีแค่ดอกสีขาวๆ เล็กๆ 3-4 ดอกโผล่ออกมาให้เจ็บใจเล่น (ซวยซ้ำ ซวยซ้อน)
เจ้าของกระทู้และเพื่อนใช้เวลาเดินเก็บภาพใบไม้ (ดอกไม้ไม่มีนี่...) บนม่อนแจ่มจนเกือบ 8 โมง ก่อนจะเดินไปดูร้านค้าของชาวบ้านซึ่งวางเรียงรายบริเวณด้านหน้า เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นขายเสื้อผ้า เครื่องประดับและผลไม้ ราคานี่ก็ไม่แพงนะคะถ้าหากเทียบกับในเมือง มีของให้เลือกเยอะด้วย ที่สำคัญ!! ต่อราคาง่ายด้วย 555 แต่ร้านเครื่องดื่มบนม่อนแจ่มนี่ขายแพงนะคะ โกโก้เย็นแก้วนึงตั้ง 80 บาทแน่ะ (เขาไม่อนุญาตให้นำเครื่องดื่มและอาหารจากข้างนอกเข้าไปกิน)
ขาลงจากม่อนแจ่มน้าคนขับรถพาแวะดูวิวที่ "ม่อนวิวงาม" ค่ะ อากาศตอนเกือบๆ 9 โมงบนดอยนี่ยังเย็นอยู่นะ (แต่ได้ข่าวว่าในเมืองร้อน) ม่อนวิวงามนี่ไม่มีอะไรให้ดูมากค่ะ เพราะพื้นที่ส่วนนี้เขาเปิดให้บริการเป็นที่พัก ที่กางเต็นท์และร้านอาหาร และแว่วๆ มาว่าตอนนี้กำลังเริ่มปลูกดอกทานตะวันให้เต็มทั้งม่อน อีก 2 เดือนข้างหน้าคงได้เห็น "ทุ่งทานตะวันม่อนวิวงาม"
สูดกลิ่นทานตะวันบนม่อนวิวงามเป็นที่เรียบร้อยสถานีต่อไปคือ "สวนองุ่นอีเดน" สวนองุ่นขนาดเล็กริมทางขึ้นม่อนแจ่ม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโครงการหลวงมากนัก (ซึ่งเราจะแวะโครงหลวงฯสถานีถัดไป ตามโปรแกรมที่น้าคนขับรถแจ้งไว้ระหว่างทาง) วันที่ไปนี่เจ้าของกระทู้ได้เข้าชมแค่ 1 แปลง เพราะแปลงอื่นๆ ผลยังไม่โตเต็มที่ แต่สามารถเก็บภาพแปลงข้างๆ ได้นะคะ (พวงองุ่นห้อยเต็มเลย)
***ป.ล.บริเวณด้านหน้าสวนมีร้านขายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นขายด้วยนะคะ ราคาไม่แพงเหมือนกัน ของมีเยอะด้วย แต่ซื้อเยอะไม่ได้เพราะไม่สามารถแบกขึ้นเครื่องได้หมด***
ออกจาก "สวนองุ่นอีเดน" เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางป้ายหน้า "สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" หรือ "QUEEN SIRIKIT BOTANIC GARDEN" (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมน้าคนขับรถไม่แวะโครงการหลวงหนองหอย ทั้งๆ ที่บอกโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว T___T)
สำหรับสายชอบดอกไม้และพันธุ์ไม้อย่างเจ้าของกระทู้สวนแห่งนี้คือสวรรค์ชั้น 7 เลยแหละ 555 ก่อนเข้าก็ต้องจ่ายธรรมเนียมคนละ 40 บาทนะคะ รถคันละ 100 บาท (รวมคนขับ) หรือถ้าใครไม่อยากเอารถส่วนตัวเข้าไป QSBG เขาก็มีรถรางคอยให้บริการนะคะ
จุดแรกที่เรา 2 คนแวะชมคือ "Canopy Walkway" หรือ "เส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้" ซึ่งมีความยาวที่สุดในประเทศไทย ราวๆ ประมาณ 400 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 20 เมตรค่ะ (มองลงไปด้านล่างแอบหวิวๆ นะ)
เดินไปเรื่อยๆ จะเจอจุดชมวิว 360 องศามองเห็นผืนป่าสีเขียวได้กว้างไกลมากค่ะ แต่เจ้าของกระทู้ไม่กล้ายืนนานมันเสียว เพราะพื้นบริเวณนั้นเป็นกระจกค่ะ (เขาจำกัดพื้นที่การยืนนะคะ 5 คน/ตร.ม.)