ตอนที่ 1 :
http://ppantip.com/topic/35778470
ตอนที่ 2 :
http://ppantip.com/topic/35778691
ตอนที่ 3 :
http://ppantip.com/topic/35781579
ตอนที่ 4 :
http://ppantip.com/topic/35787091
ตอนที่ 5 : Sapporo – New Chitose (28 Oct 2016) + สรุปค่าใช้จ่าย
เช้านี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ในฮอกไกโด เครื่องออกจากสนามบิน New Chitose บ่ายสามมีเวลาเที่ยวได้อีกครึ่งวัน
วิวจากหน้าต่างห้องอาหารของโรงแรม
ทานอาหารเช้าเสร็จ Check-out โรงแรม แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ Locker ในสถานีรถไฟ หลังจากนั้นก็เดินไปชมสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโรสองที่ซึ่งก็คือหอนาฬิกา (Clock Tower) และอาคารรัฐบาลหลังเก่า (Former Hokkaido Government Office Building) ระหว่างทางที่เดินไปได้ก็ได้เห็นอะไรที่แปลกตา เพราะธรรมดาคนญี่ปุ่นจะไม่ทำอะไรทำนองนี้ (จอดรถทับทางม้าลาย) นานๆ ที่จึงจะได้มีโอกาสเก็บภาพทำนองนี้
ภาพอาคารรัฐบาลหลังเก่า
แต่จุดที่ผมใช้เวลาในการถ่ายภาพนานที่สุดกลายเป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้กับอาคารรัฐบาลหลังเก่านั้น เพราะทริปนี้เป็นทริปชมใบไม้เปลี่ยนสี ก็เลยเน้นภาพเหล่านี้เป็นพิเศษ
สามล้ออารมณ์ดีที่หน้าสวนสาธารณะ
พี่เลี้ยงพาเด็กๆ นั่งรถมาเที่ยวสวน
หลังจากนั้นก็เดินต่อไปที่หอนาฬิกา
เมื่อดูเวลาเห็นว่าใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่สถานีรถไฟซัปโปโร ตั้งใจไว้ว่าจะขึ้นรถไฟเที่ยว 11:35 น. ไปสนามบิน ภรรยาเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงชวนไปเดินร้านยูนิโคลที่ชั้น 5 ตึก ESTA (ตึกเดียวกันกับร้าน Big Camera ที่แวะไปดูเลนส์) กลับมาถึงสถานีประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซื้อตั๋วรถไฟไว้แล้วค่าตั๋วคนละ 1,070 เยน ไปเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ที่ Locker แล้วมายืนมองป้ายตรงทางที่จะเข้าไปในชานชลาว่ารถไฟเที่ยวที่เราต้องการจะไปนั้นต้องไปขึ้นที่ชานชลาเบอร์อะไร ปรกติแล้วบนป้ายจะมีขึ้นให้เห็นรถไฟหลายเที่ยวมากโดยเฉพาะขบวนที่จะไปสนามบิน (บนป้ายไฟจะมีรูปเครื่องบิน) แต่นี่อะไรกันไม่เห็นขบวนที่ไปสนามบินอยู่บนป้ายเลย และตรงทางเข้าก็ดูคนวุ่นวายไม่ปกติ ถามเจ้าหน้าที่รถไฟตรงทางเข้าเขาก็ชี้ให้ไปติดต่อที่ช่องขายตั๋ว เข้าคิวที่ช่องขายตั๋ว โชว์ตั๋วไปสนามบินให้เขาดู เขาบอกว่า “จะคืนเงินให้” อะไรนะ? ถามใหม่ “เกิดอะไรขื้น?” เขาบอกว่าเกิดอุบัติเหตุเส้นทางที่จะไปสนามบิน รถไฟงดวิ่งชั่วคราวเขาจะคืนเงินให้แล้วแนะให้ไปขึ้นรถบัสแทน พร้อมทั้งยื่นแผนที่แสดงจุดจอดรถบัส ซึ่งก็คือด้านทิศใต้ของสถานีเพียงแต่อยู่คนละด้านกับตึก ESTA
การเดินทางด้วยรถไฟไปสนามบินใช้เวลา 37 นาที แต่รถบัสใช้เวลามากกว่าเท่าตัวคือ 80 นาที งานนี้มีให้ตื่นเต้นอีกแล้ว ต้องรีบวิ่งลากกระเป๋าไปยังจุดที่จอดรถบัส แต่ภาพที่เห็นก็คือคิวคนที่รอขึ้นบัสไปสนามบินยาวน่าจะเกือบร้อยเมตร รอคิวกันเป็นแถวรูปตัวแอลคือหักมุมตามรูปตึก ตอนนั้นคิดในใจว่ากว่าจะไปถึงสนามบินคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง (รอขึ้นบัสครึ่งชั่วโมงนั่งบัสอีกชั่วโมงครึ่ง) ตอนที่ไปเข้าคิวนั้นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว ดูแล้วไม่สบายใจเลยกลัวว่าจะไปไม่ทันเครื่องบิน มีบางคนเหมือนกันที่เปลี่ยนใจไปเรียกแท็กซี่ที่มาจอดรออยู่ใกล้ๆ นั้น ผมอยู่ในคิวแต่ให้ภรรยาลองไปหาข้อมูลดูว่าราคาแท็กซี่ประมาณเท่าไหร่ แต่ปัญหาก็คือแท็กซี่พูดอังกฤษไม่ได้ แต่เธอก็ใช้วิธีเดาบอกผมว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าหมื่นเยน ทำไงดีล่ะเพราะว่าถ้าจะไปให้ทันก็มีวิธีเดียวคือแท็กซี่
ภรรยาเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่ง (อายุประมาณหกสิบกว่าๆ ตอนที่ชุลมุนเข้าคิวต่อแถวเมื่อกี๊เรายอมให้เธอเข้าคิวอยู่หน้าเรา) เธอเดินไปหาแท็กซี่ภรรยาผมก็เลยเดินตามไป พยายามจะสื่อให้เธอเข้าใจว่าเรามาแชร์รถแท็กซี่กันก็ได้ ซึ่งก็คิดว่าเธอคงจะเข้าใจนะ แต่กลายเป็นว่าพอเธอเห็นสาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง (อายุสามสิบกว่าๆ) เดินเข้าไปถามแท็กซี่ เธอก็เดินไปที่นั่นทันที อ้าว กลายเป็นยังนั้นไป เธอเจรจาอะไรบางอย่างกับสาวญี่ปุ่นแล้วก็หันมากวักมือเรียกเราสองคน ดีนะที่ลุงคนขับแท็กซี่แกใจดียอมรับผู้โดยสารเต็มโควต้า (สี่คน นั่งหน้าหนึ่งหลังสาม) และโชคดีที่ผู้โดยสารทั้งสี่คนนี้ไม่มีกระเป๋าใหญ่ก็เลยใส่ท้ายรถได้หมดทั้งสี่ใบ ยกเว้นสัมภาระติดตัว (กระเป็าถือ เป้ กระเป๋ากล้อง) ของใครของมันต้องรับผิดชอบกันเอง เข้ามานั่งในแท็กซี่แล้วก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าแท็กซี่ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมง ยังไงก็ไปทันแน่ๆ ผมลืมเล่าว่าอากาศเช้าวันนี้ค่อนข้างเย็น ผมกับภรรยาใส่เสื้อกันหนาวกันคนละ 2-3 ชั้น แต่ตอนนี้เป็นปลากระป๋องอยู่ในแท็กซี่ ทำไงดีเพราะมันเริ่มร้อนแล้วล่ะ จะถอดเสื้อหนาวออกก็ถอดไม่ได้ เพราะนั่งเบียดกันจนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ นึกภาพซิครับเป้และกระเป๋ากล้องวางอยู่บนตักนั่งเบียดกันสามคนไม่สามารถขยับตัวได้เลย แต่พอสิบนาทีผ่านไปก็ทนร้อนกันไม่ไหวจริงๆ ต้องค่อยๆ ช่วยกันลอกคราบออกทีละชั้นผลัดกันถอดเพราะไม่สามารถถอดเสื้อของตัวเองได้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดก็มาถึงสนามบิน ลุงคนขับแท็กซี่ส่งภาษาญี่ปุ่นซึ่งเดาว่าน่าจะถามว่าเราจะไป Terminal ไหน ผมบอกว่า "Terminal One" เขาฟังแล้วทำหน้างงๆ แต่เขาจอดให้คนญี่ปุ่นที่นั่งกับพวกผมลงก่อนที่ Domestic Terminal แอบดูว่าเธอจ่ายค่าแท็กซี่เท่าไหร่ เห็นเธอยื่นให้ 3,000 เยน ที่เหลือสามคนลงพร้อมกันที่ Terminal ต่อไป ผมสองคนส่งเงินให้ลุงแท็กซี่ 6,000 เยน แกพยักหน้าว่าใช่ แสดงว่าที่ดูเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว พวกผมมาถึงสนามบินบ่ายโมงสิบห้านาที มีเวลาเหลือเฟือไม่ต้องลุ้นเหมือนมารถบัส ผมเข้าไปใน Terminal เจอเจ้าหน้าที่สนามบินที่ Information Counter ก็ปล่อยไก่รอบสอง เพราะไปถามหา Terminal One เขาตอบกลับมาว่าที่นี่มี Terminal Domestic กับ Terminal International เท่านั้น Terminal Inter เขาย่อว่า “Terminal I” ตัวไอไม่ใช่เลขหนึ่งอย่างที่ผมคิด เพราะสนามบินเล็กมี Terminal ไปต่างประเทศแค่ Terminal เดียว!
ผมโชคดีที่ Check-in ทางเว็ปมาแล้วก็เลยไม่ต้องไปต่อแถวยาว ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเดินซื้อของฝากในสนามบิน เครื่องออกจากซัปโปโรตามกำหนดการ แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวันเพื่อบินกลับไทย ก่อนจบการรีวิวทริปนี้ผมขอสรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ดังนี้ครับ
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ คนละ 14,120 บาท
ค่าเช่ารถ 10,000 บาท เฉลี่ยคนละ 2,500 บาท
ค่าโรงแรมสี่คืน (หนึ่งห้อง) 7,000 + 4,000 + 5,400 + 4,500 เฉลี่ยคนละ 10,450 บาท
ค่าใช้จ่ายกองกลางระหว่างทาง (Food + Fruit + Gasoline + etc.) เฉลี่ยคนละ 2,900 บาท
ค่าแท็กซี่ไปสนามบิน เฉลี่ยคนละ 1,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายต่อหัว 30,970 บาท
มีสถิติอีกอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลในทริปนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการถ่ายรูป ผมมีกล้องไปทั้งหมด 3 ตัว : (1) Sony RX100 M4 (2) Panasonic GX7 + เลนส์ 40-200 mm. (3) Panasonic GM1 + เลนส์ 9-18 mm. กล้องตัวแรกให้ภรรยาติดตัวไว้ ส่วนผมใช้ Panasonic เป็นหลัก
กล้องโซนี่ถ่ายภาพมา 672 รูป ที่ผมเลือกเอามาใช้งาน 137 รูป คิดเป็น 20.4 %
กล้องพานา GX7 ได้ภาพมา 806 รูป เลือกมาใช้งาน 168 รูป คิดเป็น 20.8 %
กล้องพานา GM1 ได้ภาพมา 317 รูป เลือกมาใช้งาน 59 รูป คิดเป็น 18.6 %
จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ได้เห็นว่าภาพที่ผมเลือกมานั้นมีเพียง 20 % ของจำนวนภาพทั้งหมด จากตัวเลขนี้ทำให้ผมมีโจทย์ในใจว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องถ่ายภาพมามากๆ แต่ให้ได้ภาพที่ดูดีมีจำนวนมากขึ้น นอกจากนั้นยังคิดต่อไปว่าถ้ามีเวลาผมอยากจะหาข้อมูลจากภาพที่ผม (ชอบ) เลือกมาเหล่านั้นว่าส่วนใหญ่แล้วผมถ่ายด้วยความยาวโฟกัสเท่าใด จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วผม (ชอบ) ถนัดกับเลนส์ตัวไหน บางทริปจะได้ไม่ต้องหิวกล้องและเลนส์ไปหลายตัวให้รกรุงรัง ใครที่สนใจอ่านข้อมูลทำนองนี้ บางทีตอนเขียนรีวิวช่วงที่แวะเที่ยวได้หวัน ถ้าผมขยันก็จะนำข้อมูลจากภาพมาลองวิเคราะห์ดู จนกว่าจะถึงวันนั้น ขอลากันตรงนี้นะครับ ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ติดตามอ่านมาทั้งห้าตอน
สวัสดีครับ . . .
[CR] *** ขับรถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด (5)***
ตอนที่ 2 : http://ppantip.com/topic/35778691
ตอนที่ 3 : http://ppantip.com/topic/35781579
ตอนที่ 4 : http://ppantip.com/topic/35787091
ตอนที่ 5 : Sapporo – New Chitose (28 Oct 2016) + สรุปค่าใช้จ่าย
เช้านี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ในฮอกไกโด เครื่องออกจากสนามบิน New Chitose บ่ายสามมีเวลาเที่ยวได้อีกครึ่งวัน
วิวจากหน้าต่างห้องอาหารของโรงแรม
ทานอาหารเช้าเสร็จ Check-out โรงแรม แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ Locker ในสถานีรถไฟ หลังจากนั้นก็เดินไปชมสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโรสองที่ซึ่งก็คือหอนาฬิกา (Clock Tower) และอาคารรัฐบาลหลังเก่า (Former Hokkaido Government Office Building) ระหว่างทางที่เดินไปได้ก็ได้เห็นอะไรที่แปลกตา เพราะธรรมดาคนญี่ปุ่นจะไม่ทำอะไรทำนองนี้ (จอดรถทับทางม้าลาย) นานๆ ที่จึงจะได้มีโอกาสเก็บภาพทำนองนี้
ภาพอาคารรัฐบาลหลังเก่า
แต่จุดที่ผมใช้เวลาในการถ่ายภาพนานที่สุดกลายเป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้กับอาคารรัฐบาลหลังเก่านั้น เพราะทริปนี้เป็นทริปชมใบไม้เปลี่ยนสี ก็เลยเน้นภาพเหล่านี้เป็นพิเศษ
สามล้ออารมณ์ดีที่หน้าสวนสาธารณะ
พี่เลี้ยงพาเด็กๆ นั่งรถมาเที่ยวสวน
หลังจากนั้นก็เดินต่อไปที่หอนาฬิกา
เมื่อดูเวลาเห็นว่าใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่สถานีรถไฟซัปโปโร ตั้งใจไว้ว่าจะขึ้นรถไฟเที่ยว 11:35 น. ไปสนามบิน ภรรยาเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงชวนไปเดินร้านยูนิโคลที่ชั้น 5 ตึก ESTA (ตึกเดียวกันกับร้าน Big Camera ที่แวะไปดูเลนส์) กลับมาถึงสถานีประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซื้อตั๋วรถไฟไว้แล้วค่าตั๋วคนละ 1,070 เยน ไปเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ที่ Locker แล้วมายืนมองป้ายตรงทางที่จะเข้าไปในชานชลาว่ารถไฟเที่ยวที่เราต้องการจะไปนั้นต้องไปขึ้นที่ชานชลาเบอร์อะไร ปรกติแล้วบนป้ายจะมีขึ้นให้เห็นรถไฟหลายเที่ยวมากโดยเฉพาะขบวนที่จะไปสนามบิน (บนป้ายไฟจะมีรูปเครื่องบิน) แต่นี่อะไรกันไม่เห็นขบวนที่ไปสนามบินอยู่บนป้ายเลย และตรงทางเข้าก็ดูคนวุ่นวายไม่ปกติ ถามเจ้าหน้าที่รถไฟตรงทางเข้าเขาก็ชี้ให้ไปติดต่อที่ช่องขายตั๋ว เข้าคิวที่ช่องขายตั๋ว โชว์ตั๋วไปสนามบินให้เขาดู เขาบอกว่า “จะคืนเงินให้” อะไรนะ? ถามใหม่ “เกิดอะไรขื้น?” เขาบอกว่าเกิดอุบัติเหตุเส้นทางที่จะไปสนามบิน รถไฟงดวิ่งชั่วคราวเขาจะคืนเงินให้แล้วแนะให้ไปขึ้นรถบัสแทน พร้อมทั้งยื่นแผนที่แสดงจุดจอดรถบัส ซึ่งก็คือด้านทิศใต้ของสถานีเพียงแต่อยู่คนละด้านกับตึก ESTA
การเดินทางด้วยรถไฟไปสนามบินใช้เวลา 37 นาที แต่รถบัสใช้เวลามากกว่าเท่าตัวคือ 80 นาที งานนี้มีให้ตื่นเต้นอีกแล้ว ต้องรีบวิ่งลากกระเป๋าไปยังจุดที่จอดรถบัส แต่ภาพที่เห็นก็คือคิวคนที่รอขึ้นบัสไปสนามบินยาวน่าจะเกือบร้อยเมตร รอคิวกันเป็นแถวรูปตัวแอลคือหักมุมตามรูปตึก ตอนนั้นคิดในใจว่ากว่าจะไปถึงสนามบินคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง (รอขึ้นบัสครึ่งชั่วโมงนั่งบัสอีกชั่วโมงครึ่ง) ตอนที่ไปเข้าคิวนั้นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว ดูแล้วไม่สบายใจเลยกลัวว่าจะไปไม่ทันเครื่องบิน มีบางคนเหมือนกันที่เปลี่ยนใจไปเรียกแท็กซี่ที่มาจอดรออยู่ใกล้ๆ นั้น ผมอยู่ในคิวแต่ให้ภรรยาลองไปหาข้อมูลดูว่าราคาแท็กซี่ประมาณเท่าไหร่ แต่ปัญหาก็คือแท็กซี่พูดอังกฤษไม่ได้ แต่เธอก็ใช้วิธีเดาบอกผมว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าหมื่นเยน ทำไงดีล่ะเพราะว่าถ้าจะไปให้ทันก็มีวิธีเดียวคือแท็กซี่
ภรรยาเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่ง (อายุประมาณหกสิบกว่าๆ ตอนที่ชุลมุนเข้าคิวต่อแถวเมื่อกี๊เรายอมให้เธอเข้าคิวอยู่หน้าเรา) เธอเดินไปหาแท็กซี่ภรรยาผมก็เลยเดินตามไป พยายามจะสื่อให้เธอเข้าใจว่าเรามาแชร์รถแท็กซี่กันก็ได้ ซึ่งก็คิดว่าเธอคงจะเข้าใจนะ แต่กลายเป็นว่าพอเธอเห็นสาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง (อายุสามสิบกว่าๆ) เดินเข้าไปถามแท็กซี่ เธอก็เดินไปที่นั่นทันที อ้าว กลายเป็นยังนั้นไป เธอเจรจาอะไรบางอย่างกับสาวญี่ปุ่นแล้วก็หันมากวักมือเรียกเราสองคน ดีนะที่ลุงคนขับแท็กซี่แกใจดียอมรับผู้โดยสารเต็มโควต้า (สี่คน นั่งหน้าหนึ่งหลังสาม) และโชคดีที่ผู้โดยสารทั้งสี่คนนี้ไม่มีกระเป๋าใหญ่ก็เลยใส่ท้ายรถได้หมดทั้งสี่ใบ ยกเว้นสัมภาระติดตัว (กระเป็าถือ เป้ กระเป๋ากล้อง) ของใครของมันต้องรับผิดชอบกันเอง เข้ามานั่งในแท็กซี่แล้วก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าแท็กซี่ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมง ยังไงก็ไปทันแน่ๆ ผมลืมเล่าว่าอากาศเช้าวันนี้ค่อนข้างเย็น ผมกับภรรยาใส่เสื้อกันหนาวกันคนละ 2-3 ชั้น แต่ตอนนี้เป็นปลากระป๋องอยู่ในแท็กซี่ ทำไงดีเพราะมันเริ่มร้อนแล้วล่ะ จะถอดเสื้อหนาวออกก็ถอดไม่ได้ เพราะนั่งเบียดกันจนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ นึกภาพซิครับเป้และกระเป๋ากล้องวางอยู่บนตักนั่งเบียดกันสามคนไม่สามารถขยับตัวได้เลย แต่พอสิบนาทีผ่านไปก็ทนร้อนกันไม่ไหวจริงๆ ต้องค่อยๆ ช่วยกันลอกคราบออกทีละชั้นผลัดกันถอดเพราะไม่สามารถถอดเสื้อของตัวเองได้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดก็มาถึงสนามบิน ลุงคนขับแท็กซี่ส่งภาษาญี่ปุ่นซึ่งเดาว่าน่าจะถามว่าเราจะไป Terminal ไหน ผมบอกว่า "Terminal One" เขาฟังแล้วทำหน้างงๆ แต่เขาจอดให้คนญี่ปุ่นที่นั่งกับพวกผมลงก่อนที่ Domestic Terminal แอบดูว่าเธอจ่ายค่าแท็กซี่เท่าไหร่ เห็นเธอยื่นให้ 3,000 เยน ที่เหลือสามคนลงพร้อมกันที่ Terminal ต่อไป ผมสองคนส่งเงินให้ลุงแท็กซี่ 6,000 เยน แกพยักหน้าว่าใช่ แสดงว่าที่ดูเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว พวกผมมาถึงสนามบินบ่ายโมงสิบห้านาที มีเวลาเหลือเฟือไม่ต้องลุ้นเหมือนมารถบัส ผมเข้าไปใน Terminal เจอเจ้าหน้าที่สนามบินที่ Information Counter ก็ปล่อยไก่รอบสอง เพราะไปถามหา Terminal One เขาตอบกลับมาว่าที่นี่มี Terminal Domestic กับ Terminal International เท่านั้น Terminal Inter เขาย่อว่า “Terminal I” ตัวไอไม่ใช่เลขหนึ่งอย่างที่ผมคิด เพราะสนามบินเล็กมี Terminal ไปต่างประเทศแค่ Terminal เดียว!
ผมโชคดีที่ Check-in ทางเว็ปมาแล้วก็เลยไม่ต้องไปต่อแถวยาว ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเดินซื้อของฝากในสนามบิน เครื่องออกจากซัปโปโรตามกำหนดการ แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวันเพื่อบินกลับไทย ก่อนจบการรีวิวทริปนี้ผมขอสรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ดังนี้ครับ
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ คนละ 14,120 บาท
ค่าเช่ารถ 10,000 บาท เฉลี่ยคนละ 2,500 บาท
ค่าโรงแรมสี่คืน (หนึ่งห้อง) 7,000 + 4,000 + 5,400 + 4,500 เฉลี่ยคนละ 10,450 บาท
ค่าใช้จ่ายกองกลางระหว่างทาง (Food + Fruit + Gasoline + etc.) เฉลี่ยคนละ 2,900 บาท
ค่าแท็กซี่ไปสนามบิน เฉลี่ยคนละ 1,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายต่อหัว 30,970 บาท
มีสถิติอีกอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลในทริปนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการถ่ายรูป ผมมีกล้องไปทั้งหมด 3 ตัว : (1) Sony RX100 M4 (2) Panasonic GX7 + เลนส์ 40-200 mm. (3) Panasonic GM1 + เลนส์ 9-18 mm. กล้องตัวแรกให้ภรรยาติดตัวไว้ ส่วนผมใช้ Panasonic เป็นหลัก
กล้องโซนี่ถ่ายภาพมา 672 รูป ที่ผมเลือกเอามาใช้งาน 137 รูป คิดเป็น 20.4 %
กล้องพานา GX7 ได้ภาพมา 806 รูป เลือกมาใช้งาน 168 รูป คิดเป็น 20.8 %
กล้องพานา GM1 ได้ภาพมา 317 รูป เลือกมาใช้งาน 59 รูป คิดเป็น 18.6 %
จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ได้เห็นว่าภาพที่ผมเลือกมานั้นมีเพียง 20 % ของจำนวนภาพทั้งหมด จากตัวเลขนี้ทำให้ผมมีโจทย์ในใจว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องถ่ายภาพมามากๆ แต่ให้ได้ภาพที่ดูดีมีจำนวนมากขึ้น นอกจากนั้นยังคิดต่อไปว่าถ้ามีเวลาผมอยากจะหาข้อมูลจากภาพที่ผม (ชอบ) เลือกมาเหล่านั้นว่าส่วนใหญ่แล้วผมถ่ายด้วยความยาวโฟกัสเท่าใด จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วผม (ชอบ) ถนัดกับเลนส์ตัวไหน บางทริปจะได้ไม่ต้องหิวกล้องและเลนส์ไปหลายตัวให้รกรุงรัง ใครที่สนใจอ่านข้อมูลทำนองนี้ บางทีตอนเขียนรีวิวช่วงที่แวะเที่ยวได้หวัน ถ้าผมขยันก็จะนำข้อมูลจากภาพมาลองวิเคราะห์ดู จนกว่าจะถึงวันนั้น ขอลากันตรงนี้นะครับ ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ติดตามอ่านมาทั้งห้าตอน
สวัสดีครับ . . .