ออกจากเขื่อนขับรถย้อนกลับมาในเมืองครั้งนี้เห็นสะพานแดงหลบซ่อนอยู่ใกล้ๆ สะพานใหญ่ที่รถวิ่งข้ามมา จอดรถลงไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แล้วก็มุ่งหน้าไปทาง Sapporo
ภาพระหว่างทางก่อนเข้าเขตซัปโปโร
จุดสุดท้ายที่จะแวะก่อนไปคืนรถก็คือจุดชมวิวฮิซึจิกาโอกะ (Hitsujigaoka) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยฮอกไกโด เสียค่าผ่านประตูคน 520 เยน ในบริเวณนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ทำวิจัยทางการเกษตรของมหาวิทยาลัย (แต่ก่อนเป็น Sapporo Agricultural College) ในอดีตผู้ที่บุกเบิกงานที่ศูนย์วิจัยนี้คือ Professor Dr. William Clark ซึ่งใครมาที่นี่ก็มักจะมาถ่ายรูปกับรูปปั้นของท่านกันแทบทุกคน และที่อยู่ใกล้ๆ นั้นมีอาคารเล็กๆ อีกหลายหลัง อาทิเช่น Clark’s Chapel, Sapporo Snow Festival Museum, Austrian Pavilion และ Clark Event Hall
รูปปั้น Dr. Clark
ต้นแบบงานปฏิมากรรมน้ำแข็ง
หลังจากเดินชมและถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็ขับรถต่อมุ่งไปยังบริษัทรถเช่าที่อยู่ติดสถานีรถไฟ Sapporo (ด้านทิศเหนือ)
ถนนในเมืองซัปโปโร
ระหว่างทางแวะ Check-in โรงแรมที่จะนอนคืนนี้ คือโรงแรม BEST WESTERN Hotel Fino Sapporo (ตอนจองชื่อนี้ แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Hotel Mystays Sapporro Station) แต่เนื่องจากถึงก่อนเวลา Check-in (ก่อนบ่ายสาม) ก็เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนยังขึ้นห้องไม่ได้ แล้วรีบขับต่อไปยังบริษัทรถเช่าคืนรถเวลาบ่ายสองสิบห้า สรุปว่าค่าเช่ารถในครั้งนี้ (ค่าเช่าสามวันรวมค่าประกัน CDW) ราคา 29,549 เยน หรือประมาณ 10,000 บาท ส่วนค่าน้ำมันถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณพันกว่าบาทเท่านั้น
คืนรถแล้วเดินเที่ยวห้างบริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟซัปโปโร ลูกชายเพื่อนฝากซื้อเลนส์ ผมจึงพาเพื่อนไปดูที่ร้าน Big Camera (ในตึก ESTA) แต่ดูราคาแล้วไม่ได้ถูกกว่าเมืองไทย ผมจึงพาไปเช็คราคาอีกที่ที่ร้าน Yodobashi ซึ่งก็ราคาไม่ต่างกันสรุปว่าแพงกว่าเมืองไทย ระหว่างที่เดินแถวๆ นั้นได้สอบถาม Tourist Information ให้เขาช่วยแนะนำร้านซุชิหมุนใกล้ๆ นี้ เขาแนะว่าให้ขึ้นไปที่ชั้น 10 บนตึก Stella Place พร้อมทั้งบอกชื่อร้าน แต่เดินหากันวนไปวนมา เปลี่ยนลิฟท์โซนต่างๆ ก็แล้วก็ยังหาชั้น 10 ไม่พบ ในที่สุดต้องค้นชื่อร้านใน Google จึงเพิ่งรู้ว่าแท้จริงร้านอยู่ที่ชั้น 6 เราได้ข้อมูลผิดมาก็เลยเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไปถึงหน้าร้านคิวค่อนข้างยาวรีบไปต่อแถว (นั่งเก้าอี้) รอ นั่งไปได้สักพักเห็นคนที่มาที่หลังเขาถือใบอะไรบางอย่าง จึงเพิ่งรู้ว่าเรามาต่อแถวโดยที่ไม่ได้ไปกดบัตรคิว ดีนะที่เห็นไม่งั้นรออีกนานก็คงไม่ได้เข้าไปในร้าน
[CR] *** ขับรถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด (4)***
ตอนที่ 2 : http://ppantip.com/topic/35778691
ตอนที่ 3 : http://ppantip.com/topic/35781579
ตอนที่ 4 : Jozankei - Sapporo (27 Oct 2016)
วันนี้นัดกับเพื่อนว่าออกจากโรงแรมสายหน่อยก็ได้เพราะจาก Jozankei ไป Sapporo นั้นค่อนข้างจะใกล้ และจุดที่จะแวะเที่ยววันนี้ก็มีไม่กี่จุด คือมีสะพานแดง เขื่อน และจุดชมวิวฮิซึจิกาโอกะ (Hitsujigaoka) แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปถึงบริเวณ Sapporo Station ให้ไม่เกินบ่ายสองครึ่งเพราะจะต้องคืนรถเช่าที่นั่น หลังจาก Check-out โรงแรมแล้วก็ขับออกมาถ่ายรูปใบไม้แดงบริเวณใกล้ๆ โรงแรม ตรงนั้นมีศาลเจ้าและมีที่นั่งให้แช่เท้าด้วย
ออกจากจุดที่หยุดถ่ายรูปก็ตั้งใจว่าจะแวะไปดูสะพานแดงที่อยู่ในบริเวณ Jozankei Onsen แต่หาไม่เจอก็เลยตามเลยมุ่งไปชมเขื่อนที่อยู่นอกเมืองก่อน วิวแถวเขื่อนก็สวยดีแต่อากาศค่อนข้างเย็นและลมแรง แต่ท้องฟ้าสดใสถูกใจตากล้อง
ออกจากเขื่อนขับรถย้อนกลับมาในเมืองครั้งนี้เห็นสะพานแดงหลบซ่อนอยู่ใกล้ๆ สะพานใหญ่ที่รถวิ่งข้ามมา จอดรถลงไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แล้วก็มุ่งหน้าไปทาง Sapporo
ภาพระหว่างทางก่อนเข้าเขตซัปโปโร
จุดสุดท้ายที่จะแวะก่อนไปคืนรถก็คือจุดชมวิวฮิซึจิกาโอกะ (Hitsujigaoka) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยฮอกไกโด เสียค่าผ่านประตูคน 520 เยน ในบริเวณนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ทำวิจัยทางการเกษตรของมหาวิทยาลัย (แต่ก่อนเป็น Sapporo Agricultural College) ในอดีตผู้ที่บุกเบิกงานที่ศูนย์วิจัยนี้คือ Professor Dr. William Clark ซึ่งใครมาที่นี่ก็มักจะมาถ่ายรูปกับรูปปั้นของท่านกันแทบทุกคน และที่อยู่ใกล้ๆ นั้นมีอาคารเล็กๆ อีกหลายหลัง อาทิเช่น Clark’s Chapel, Sapporo Snow Festival Museum, Austrian Pavilion และ Clark Event Hall
รูปปั้น Dr. Clark
ต้นแบบงานปฏิมากรรมน้ำแข็ง
หลังจากเดินชมและถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็ขับรถต่อมุ่งไปยังบริษัทรถเช่าที่อยู่ติดสถานีรถไฟ Sapporo (ด้านทิศเหนือ)
ถนนในเมืองซัปโปโร
ระหว่างทางแวะ Check-in โรงแรมที่จะนอนคืนนี้ คือโรงแรม BEST WESTERN Hotel Fino Sapporo (ตอนจองชื่อนี้ แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Hotel Mystays Sapporro Station) แต่เนื่องจากถึงก่อนเวลา Check-in (ก่อนบ่ายสาม) ก็เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนยังขึ้นห้องไม่ได้ แล้วรีบขับต่อไปยังบริษัทรถเช่าคืนรถเวลาบ่ายสองสิบห้า สรุปว่าค่าเช่ารถในครั้งนี้ (ค่าเช่าสามวันรวมค่าประกัน CDW) ราคา 29,549 เยน หรือประมาณ 10,000 บาท ส่วนค่าน้ำมันถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณพันกว่าบาทเท่านั้น
คืนรถแล้วเดินเที่ยวห้างบริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟซัปโปโร ลูกชายเพื่อนฝากซื้อเลนส์ ผมจึงพาเพื่อนไปดูที่ร้าน Big Camera (ในตึก ESTA) แต่ดูราคาแล้วไม่ได้ถูกกว่าเมืองไทย ผมจึงพาไปเช็คราคาอีกที่ที่ร้าน Yodobashi ซึ่งก็ราคาไม่ต่างกันสรุปว่าแพงกว่าเมืองไทย ระหว่างที่เดินแถวๆ นั้นได้สอบถาม Tourist Information ให้เขาช่วยแนะนำร้านซุชิหมุนใกล้ๆ นี้ เขาแนะว่าให้ขึ้นไปที่ชั้น 10 บนตึก Stella Place พร้อมทั้งบอกชื่อร้าน แต่เดินหากันวนไปวนมา เปลี่ยนลิฟท์โซนต่างๆ ก็แล้วก็ยังหาชั้น 10 ไม่พบ ในที่สุดต้องค้นชื่อร้านใน Google จึงเพิ่งรู้ว่าแท้จริงร้านอยู่ที่ชั้น 6 เราได้ข้อมูลผิดมาก็เลยเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไปถึงหน้าร้านคิวค่อนข้างยาวรีบไปต่อแถว (นั่งเก้าอี้) รอ นั่งไปได้สักพักเห็นคนที่มาที่หลังเขาถือใบอะไรบางอย่าง จึงเพิ่งรู้ว่าเรามาต่อแถวโดยที่ไม่ได้ไปกดบัตรคิว ดีนะที่เห็นไม่งั้นรออีกนานก็คงไม่ได้เข้าไปในร้าน
อาหารถูกใจ
ทานเสร็จเดินกลับโรงแรมเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้อง แล้วนั่งรถใต้ดินไปลงสถานี Susukino เดินย้อนกลับมาทางสถานี Odori เพราะบรรดาภรรยาอยากจะแวะไปร้านด๊องกี้ (Don Quijote) เดินจนเกือบถึงสถานี Odori จึงรู้ว่าน่าจะเลยร้านด๊องกี้มาแล้ว ต้องเดินย้อนกลับไปใหม่ (โอ้ยเหนื่อยใจ) อยู่ในนั้นเกือบชั่วโมงไม่มีของถูกใจ นั่งใต้ดินกลับมามือเปล่า อ่อนเปลี้ยเพลียแรงกลับโรงแรมนอน