คนพุทธ เคยคิดไหมว่า ใครสร้างเรา เกิดมาเพื่ออะไร จะไปไหนต่อ หลังตายไป!?

กระทู้คำถาม
ออกตัวก่อนครับ ผมเป็นมุสลิม ไม่ได้มีเจตนาจะมาแขวะ ถามแง่ลบ ดูหมิ่นใดๆ
ผมแค่สงสัยว่า ในเมื่ออิสลาม คริสต์ ยิว ก็เชื่อพระเจ้าองค์เดียว พระเจ้าไม่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ไม่เป็นรูปปั้น แตกต่างแค่ ศาสดาผู้ส่งสาส์น แนวและรูปแบบความเชื่อ  และระดับการศรัทธาเท่านั้น
แต่ของพุทธแตกต่างมากๆ ในเรื่อง พระเจ้า พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป
วัฏจักรของเวียนว่ายตายเกิด หรือ กรรม ทำไมไม่มี เรื่อง ชีวิตหลังความตาย
ผู้สร้างชีวิตเรา เหตุผลที่เราเกิดมา และเป็นวิทยปัญญาว่า การที่เราเป็นคนพุทธแล้วสามารถเป็นวิทยทาน เป็นบทเรียน แก่ศาสนิกอื่นๆ
อะไรบ้าง....แล้ว ที่เห็น การไหว้เซ่นต่างๆ  การครอบเชือกที่ต้นไม้ใหญ่  เหตุผลที่ต้องเผาศพโดยไม่ฝัง มีที่มาอย่างไร  ผมไม่ทราบจริงๆ ขอผู้รู้ตอบหน่อยครับ

ป.ล  ปัจจุบัน มุสลิมได้แตกแยกมาเป็น นิกายๆ และสิบๆ สาย
        มีทั้งสายรุนแรง สายเน้นศาสนปฏิบัติ เน้นฆราวาส เน้นการปลีกวิเวก
        สายตระกูลเดิม ฯลฯ สายที่พระเจ้ารับรองคือ สายผู้เจริญรอยตามศาสดา
        มูฮำหมัดตามวจนของท่านและอัลกุรอ่าน

        แล้วพุทธมีแตกแขนงเหมือนกันไหม นอกจาก เถรวาท มหายาน หินยาน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
คิดตั้งแต่จำความได้เลยครับ แต่ไม่ได้คิดว่าใครสร้างเรานะ
คิดว่าเราคือใคร เกิดมาทำอะไร

แต่ว่าแม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ เรื่องอดัมกับอีฟ เพราะแม่เป็นคริสต์
ตอนเด็ก ๆ ก็สวดมนต์คริสต์ตามแม่ ไปโบสถ์กับแม่บ่อย ๆ

แต่ยังรู้สึกไม่ได้คำตอบอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อเรารู้ว่าทุกคนต้องตาย
พอรู้นี่กลัวจนทำอะไรไม่ได้ นอนอกสั่นขวัญหายจนเช้าทุกคืน
สุดท้ายตัดสินใจว่าถ้ากลัวมากแต่หาคำตอบไม่ได้ ก็ศึกษามันก่อนดีกว่า
ว่าความตายคืออะไร เพราะเราก็คิดมาตลอดว่าตายแล้วสูญ เพราะมันจำก่อนเกิดมาไม่ได้

ไล่จากคริสต์ก่อนเลย เพราะตอนนั้นรู้แค่นี้เพราะแม่เล่าให้ฟัง
เปิดหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับโลกหลังความตายของคริสต์
มันก็แปลกดีที่หลาย ๆ คนประสบกับโลกหลังความตาย
ศึกษาไปก็กลัวไปนะ ไม่เคยเลิกกลัวความตายเลย

พอศึกษาไปเรื่อย ๆ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ ฯลฯ ไม่เคยศึกษาพุทธเลยให้ตายเถอะ
แต่พอไปได้คำตอบบางอย่าง คำพูดบางคำจากครูพุทธศาสนา (ซึ่งปกติไม่เคยฟังเลย)
แล้วก็เห็นข้อความจากโทรทัศน์ไม่กี่ประโยคแล้วมันสะดุดใจ เช่น ศีลคือความปกติของมนุษย์
เราก็ว่ามันแปลก เอาไปลองทำดู รู้สึกว่าอยากทำความดี อยากเป็นคนดี ทั้ง ๆ ที่รอบตัวไม่มีต้นแบบความดีเลย
แทบทุกคนโกหก แทบทุกคนฆ่าสัตว์ ฯลฯ พอคิดได้ดังนั้นเลยสะกิดใจ ลองไปหาหนังสือของพุทธดูบ้างเรื่องความตาย

ปรากฏว่ามีเยอะมาก ละเอียดยิบเชียว อ่านเท่าไรก็ไม่หมด มีเรื่องที่เราไม่เคยรู้มากมายเลย ทั้ง ๆ ที่เราเป็นชาวพุทธ
นี่กระมังใกล้เกลือกินด่าง สิ่งที่เราคิดว่าเรามีอยู่แล้ว เลยไม่ใส่ใจ เบื่อ ไม่อยากศึกษา อีกทั้งฝังใจกับพระไม่ดีตอนเด็ก
ทั้ง ๆ ที่พระดี ๆ ก็มีให้เห็น ก็เลยเริ่มเปิดใจศึกษาพุทธมากขึ้นทีละน้อย

แต่การศึกษาพุทธนี่ไม่ง่ายเลย เพราะมีโจทย์ยาก ๆ เชื่อยาก ๆ อยู่มาก
ถ้าว่าเรื่องปาฏิหารย์ ศาสนาอื่นสู้ไม่ได้เลยครับ ไม่แปลกที่บางคนจะบอกว่าพระไตรปิฎกนี่แต่งแทบทั้งเล่ม

แต่สิ่งที่แปลกคือ คำสอนของพุทธกลับเชื่อมโยงกันอย่างแปลกประหลาด แถมหลาย ๆ คำสอนก็นำมาทำแล้วเห็นผลด้วย
และมันก็อยู่ปน ๆ กับปาฏิหาริย์ได้แบบไม่ขัดแย้งกัน บางอย่างก็ไม่รู้จะใส่มาทำไม ใครจะเชื่อ
ศาสนาพุทธนี่ไม่ได้สอนให้เชื่อเลย แต่กลับมีเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อเลยอยู่มาก แต่มันกลับถูกย้ำซ้ำ ๆ ในตำราเหมือนเป็นสิ่งสำคัญ

ต่อมาก็ได้อ่านหนังสือประวัติเกี่ยวกับพระเกจิต่าง ๆ ซึ่งมันก็เหมือนในตำราเลย คือมีแต่เรื่องพิสดาร
แต่ที่สำคัญมันเป็นประสบการณ์ตรงของพระอาจารย์เหล่านั้น เราก็เก็บ ๆ ไว้ ยังไม่เชื่อ แต่เริ่มอยากศึกษามากขึ้น

พอได้บวช ได้ปฏิบัติธรรม ถึงได้เข้าใจ ว่าตัวเรานี่รู้อะไรน้อยมาก แก่นของศาสนาพุทธไม่ได้อยู่ในตำรา
ตำราเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น รู้ตำราแล้วต้องเอามาทำ ทำแล้วต้องทำให้มาก ทำให้มากแล้วต้องให้เห็นผล
พอเห็นผลแล้วนั่นล่ะจึงนำไปใช้ได้ และตอบตัวเองได้ว่า ไม่มีศาสนาใดในโลกนี้ที่เราจะต้องศึกษาอีกแล้ว
ไม่มีเรื่องอะไรเลยที่ศาสนาพุทธให้คำตอบไม่ได้ และไม่มีเรื่องอะไรเลยที่ตอบแล้วไม่หายสงสัย
เว้นแต่ผู้ตอบรู้ไม่จริงเท่านั้นแหละ

ในศาสนาพุทธก็มีผู้สร้างนะครับ แต่ต่างจากศาสนาอื่นโดยสิ้นเชิง เพราะหลัก ๆ แล้ว
ถ้าจะมีใครสร้างเรามา ก็ตัวเราเองนี่แหละ ตัวเรานี่แหละคือพระเจ้า เมื่อฝึกฝนตัวเองอย่างดีแล้ว
ก็จะเป็นได้ทั้งพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พระอริยเจ้า กันเลยทีเดียว ที่ไม่ได้เรื่องกันอยู่นี่ ก็เพราะกิเลสที่อยู่ในใจ
กิเลสหรืออวิชชาก็มาช่วยสร้างด้วยเหมือนกัน

ถ้าจะมีสิ่งใดที่เกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีใครสร้าง สิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องมีแค่หนึ่งเดียวและฝ่ายเดียว
เราทุกคนสามารถกำเนิดมาได้ด้วยวิธีนั้นเช่นกัน ศาสนาพุทธตอบเรื่องนี้ได้หมดจด
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจได้และยังไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะตราบที่เรายังไม่กำจัดกิเลสให้หมดไป
ความไม่รู้จริง ก็จะยังไม่หายไปจากใจ ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงมุ่งเน้นให้ทุกคนปฏิบัติเพื่อความหมดกิเลส
มากกว่าจะเน้นให้รู้อะไรเยอะ ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้จิตใจไม่สงบและกิเลสมากขึ้นนั่นเอง

ปาฏิหาริย์ ไม่ขัดกับคำสอนของพุทธ เพียงแต่ไม่ใช่แก่นสาร
วิทยาศาสตร์ ไม่ขัดกับคำสอนของพุทธ เพียงแต่เป้าหมายคนละอย่าง พึ่งพาอาศัยกันได้
คนศาสนาอื่น ไม่ขัดกับคำสอนของพุทธ เพราะพุทธไม่ได้มองว่าใครศาสนาอะไร แต่มองว่า ใครทำอะไร
พุทธศาสนาเน้นให้ขัดอย่างเดียว คือขัดใจให้ใส พอใจใสแล้ว อะไร ๆ มันก็กระจ่างแจ้งไปหมด

แม้พุทธจะแตกแขนงไปมากเพราะความถนัดของแต่ละท่าน แต่จุดหลักแล้วก็ยังเหมือนเดิม
หากต่างฝ่ายต่างมุ่งศึกษาแนวทางของตนให้ดี สุดท้ายก็จะมาพบกัน ณ จุดเดียวกัน นี่คือความอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่