กระทู้อาจจะยาวหน่อยแต่อยากจะอธิบายให้รู้ทั้งหมดของชีวิตที่ผ่านมานะค่ะจะได้ช่วยกันวิเคราะห์ปัญหา
หนูเกิดในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวซึ่งพ่อแม่อาชีพทางวิทย์สุขภาพค่ะ สมัยเด็กหนูเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมากค่ะ เล่นๆไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
แต่สิ่งนึงที่ชอบทำมาแต่เด็กเลยคือวาดรูป ชอบดูTV champion และก็ชอบประดิษฐ์ของเล่น เช่น แอบเอาไม้กวาดมาตัดแล้วทำไม้กวาดบาร์บี้ ทำชุดกระดาษให้ตุ๊กตา ทำบ้านกระดาษให้คิตตี้ที่ได้มาจากก้นถ้วยไอติม
หนูมีน้อง1คนซึ่งเรียนเก่งมาก น้องมักมีเป้าหมายอยู่เสมอค่ะ สมัยนั้นพ่อจะคอยกระตุ้นให้ลูกๆตั้งใจเรียนโดยจะให้รางวัลเมื่อใครทำตามเป้าที่พ่อกำหนด
เป้า คือ น้องซึ่งได้ที่1อยู่แล้วต้องครองที่1 ต่อไปถึงจะได้รางวัล ส่วนหนูจะได้เมื่อได้ที่ดีขึ้นกว่าเดิม (ชีวิตพ่อแม่สมัยเด็กลำบากมากค่ะกว่าปีนมาได้ถึงจุดนี้เนื่องจากเป็นครอบครัวคนจีนและพ่อแม่ไม่มีเวลาดูลูกเยอะๆ บางวันแทบไม่มีเงินกินข้าวทุกคนต้องช่วยกันทำงาน พอมีอาชีพที่ดีจากการเรียนจึงอยากให้ลูกขยันให้มากๆ) สมัยนั้นหนูไม่เคยเข้าใจเลยค่ะ กับเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังเท่าไหร่ ชีวิตสุขสบาย ปิดเทอมก็เที่ยว มีของเล่นให้เล่น อยากกินขนมก็ขอพ่อ ดูการ์ตูน วาดรูปเล่นบ้าง อาจมีปัญหากับคุณครู เพื่อนๆ และสังคมผู้ใหญ่ภายนอกบ้าง (ไม่แน่ใจน่าจะเนื่องจากน้องเรียนเก่งมากจนไปแข่งขันเป็นตัวแทนจ.และพ่อแม่ก็เก่งด้วย) เด็กคนนี้เหมือนแกะดำในครอบครัว โดนเปรียบเทียบบ่อยๆ โดนแกล้งบ้าง ร้องไห้บ่อย(แม่เล่าอีกทีจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่) แม่จึงพาย้ายรร.ไปอีกที่ ซึ่งตอนนั้นเองหนูเริ่มชอบคณิตศาสตร์ เนื่องจากไปเจอคุณครูท่านนึงสอนสนุกมากและก็ได้เรียนพิเศษกับอ.ท่านนั้นรู้สึกสนใจกับคณิตมากขึ้น และก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้นด้วย ช่วยกันเรียน
จนกระทั้งเข้ามัธยมต้น สนใจเรื่องเรียนมากขึ้นเริ่มอยากได้คะแนนดีๆบ้าง แต่ก็ยังมีแม่ค่อยช่วยสอนวิชาท่องจำอยู่ ส่วนวิชาคณิตแม่เริ่มพาออกสนามตระเวรแข่งเหมือนน้องบ้างแล้ว ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้างถึงจะไม่ได้สูงเท่าน้องแต่ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าคณิตคะแนนสูงกว่า mean รวมไปถึงห้องและสายชั้นด้วย ช่วงนั้นอยู่ ม.3 แล้ว แม่เริ่มรู้สึกว่าจ.เล็กๆยังมีแหล่งศึกษาไม่มากพอ จึงบอกว่าจะย้ายจ.อื่นที่ใหญ่กว่าซึ่งเป็นจ.ที่แม่ทำงาน แต่เพื่อให้เราขยันจึงบอกว่าต้องสอบให้ติดที่จ.นั้นถ้าไม่ติดจะย้ายไปกับน้องแค่2คน (ในตอนนั้นแม่เลือกรร.ที่สอบเพียง2วิชา คือคณิตกับวิทย์ เนื่องจากeng หนูยังแย่อยู่) แต่ก็สอบติดมาได้แบบงงๆเพราะไม่ได้ชัวร์มาก แต่รู้สึกว่าคณิตทำได้เยอะอยู่
พอขึ้นม.ปลาย มีกลุ่มเพื่อนสนิทมากๆกลุ่มนึง ซึ่งเค้าพาเรียนมาก ชีวิตหนักขึ้นเยอะต้องไปเรียนพิเศษไปเรียนนส.ที่รร.ทำการบ้านทั้ง2ที่ ตอนนั้นทุกคนมีเป้าหมายคือเข้ามหาลัยแล้ว ปกติแล้วสมัยเด็กมักมีเรียงความให้ทำว่าอยากเป็นอะไร หนูมักจะบอกกับรายงานแบบเขียนไปเพราะรู้จักอยู่แค่นี้คือ "หนูอยากเป็นหมอค่ะ^^" แต่นี่มันคือความจริงแล้วที่ต้องเลือก แว๊ปนึงนึกถึงครูคณิตเนื่องจากชอบสอนคณิตเพื่อน และยกตัวอย่างให้คนอื่นเข้าใจง่าย แต่พักหลังเนื่องจากวิชาวิทย์เริ่มแตกเป็น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ จึงเริ่มไปเน้นส่วนนั้นเพราะไม่รู้อะไรเยอะมากเลย คณิตเริ่มตกลงอาจไม่โดดเด่นเหมือนแต่ก่อนแต่ก็ยังokอยู่
(ส่วนตัวแล้วพ่อแม่ไม่ค่อยแนะนำครูเท่าไหร่เนี่องจากจบกันเยอะแต่มีคนรับจริงๆน้อยมาก อัตราว่างงานสูง) ณ ตอนนั้นรู้สึกชอบเพิ่มมา2วิชา คือ ฟิสิกส์ กับชีวะ เพราะอ.ติวเตอร์สอนสนุก ถึงจะไม่ได้เริดเรอแต่ก็ทำได้ดีเข้าใจด้วยตัวเอง บวกกับช่วงม.ปลายเริ่มสนิทกับแม่มากขึ้น ได้ไปอยู่ที่ทำงานแม่บ่อยขึ้น ได้เห็นบรรยากาศและการทำงานของแม่ รู้สึกน่าสนุก
คุณแม่เป็นทันตะ เวลากลับมาบ้านแม่จะต้องวัดfilmคนไข้ วาดรูปและวางแผน วันว่างๆก็จะเปิดดู catalogของทันตะ เลือกสียาง ไม่ก็ตัดยางแยกสี ทำบอร์ดเลือกสีให้คนไข้ ส่วนในห้องทำงานก็คุยสารทุกสุขดิบให้คนไข้ไม่กลัว คนไข้บางคนดีใจฟันสวยขึ้นก็เอาของมาฝากเอาขนมที่ทำเองมาให้ ทำให้รู้สึกอยากเป็นทันตะขึ้นมาก จึงไปศึกษาพบว่า คะแนนสูงมากกกกก ซึ่งเราทำทุกวิชาอยู่ระดับปานกลางและอังกฤษก็แย่มากๆๆๆแต่ที่ได้ก็มีแต่ grammar part สุดท้ายตอน ม.6 ก็ไม่ติดทันตะซักที่ จึงตัดสินใจไม่เรียนต่อ พยายามเก็บที่ยังไม่แม่น ถึงสิทธิ์ม.6จะหายไปเยอะมาก แต่ตอนนี้มุ่งเป้าแค่ทันตะที่ไหนก็ได้
ปรากฏว่าพอไปสอบรับตรงที่ม.เอกชนแห่งนึง ปรากฏว่าติดรอบแรกดีใจมากๆ เพราะตอนทำข้อสอบรู้สึกว่า engกับชีวะ ง้อยมากๆๆๆ ทำใจเตรียมสอบที่อื่นไปแล้วด้วย ทิ้งทุกอย่างแล้วไปเตรียมตัวสอบสัมพาษย์แล้วดันผ่านไปอีกทั้งๆที่เค้าสัมพาษย์eng (เนื่องจากเตรียมตัวไปแบบท่องแนะนำตัวทุกวันเลย) มีสอบความถนัดคือ แกะสบู่เป็นฟัน วาดรูปเหมือน กับวาดรูปที่กำหนดจากโจทย์ด้วย ผลปรากฏว่าผ่านไปได้ ตอนนั้นหนูดีใจมากค่ะ. จากคนที่ไม่เอาถ่านคนนึงแกะดำในครอบครัว มาได้ถึงจุดนี้ (ก่อนหน้านี้ก็มีท้อบ้างทำไมเราไม่ตั้งใจเรียนแต่เด็กๆเหมือนน้องเนี่ย แต่คุณพ่อมักจะบอกเสมอว่า สมัยเด็กๆพ่อก็เป็นเหมือนกัน พ่อก็เรียนไม่เก่ง ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่นสิ) หนูเชื่อมั้นเสมอ แล้วความฝันก็เป็นจริง.
ตอนที่ไปอ่านในพันทิปคนส่วนใหญ่มักบอกว่าที่นี่จบยากแต่หนูก็ไม่สนใจเชื่อมั่นว่าถ้าเราขยันซะอย่างเราต้องทำได้ดิ. พอขึ้นปี1มา ปัญหาใหม่ปรากฏขึ้น ที่นี่เรียนเป็น bilingual และหนูไม่ค่อยเก่ง eng เท่าไหร่. แต่ก็พยายามฝึกเพราะเพื่อนหนูบางส่วนเป็นเด็ก inter บอกคนก็เคยไปแลกเปลี่ยนมาก่อน. ตอนนั้นยังพอไปรอดอยู่เพราะยังมีความรู้ม.ปลายบางส่วนให้เดาบ้าง. แต่เมื่อเรียนมาจนถึง ปี2 คณะเริ่มมีเกณฑ์โหดบางอย่าง คือ จะมี 10 วิชาอรหันต์ ที่ต้องได้เกรดเฉลี่ยรวมกันได้ 2.00 ขึ้นไปถึงจะผ่าน. และวิชาที่ไม่ถึง50%จะได้ F โดยไม่มีการแก้ใดๆ คือตกรุ่นไปเรียนกับรุ่นน้องเลย
เริ่มต้นมาก็มีรุ่นพี่ที่ตกรุ่นลงมา 10 กว่าคนและมีรุ่นพี่ที่ผ่านมาแนะแนวว่าต้องเตรียมการไงบ้างขยันแค่ไหนต้องช่วยกันเรียน ทุกคนเริ่มเครียดมากขึ้นค่ะ. เปิดเทอมมาบรรยากาศเปลี่ยน. ทุกคนแข่งขันกันและพยายามดีดตัวเองมากๆเลยค่ะ. เราก็พยายามเหมือนกันเดิมทีวิชาเกี่ยวกับ preclinic ก็ยากอยู่แล้วยังเป็นสอบ eng ด้วยเราเลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่น บางวันเลือกที่จะไม่หลับไม่นอนเพราะคิดว่าเป็นเวลาเก็บแต้ม ชีวิตเริ่มโทรมหนักขึ้นแต่คะแนนก็ยังแย่อยู่ สุดท้ายคะแนนแย่มากๆเริ่มเครียดและเห็นความแตกต่างมากขึ้น (เพื่อนเรียนบ้าง บางทีก็พักแต่ทำไมเค้าถึงรอด) ทุกคนให้ความเห็นว่าเราเครียดไปแต่พอลองไม่เครียดดูไปไหนกับเพื่อนโน่นนี่ปรากฏว่ามันแย่กว่าเดิมอีก ชีวิตเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆเพื่อนเริ่มเห็นแล้วว่าเราแย่มากๆแล้ว ก็เริ่มมีติวมีอะไรบ้างแต่จะเป็นช่วงใกล้สอบเพราะเพื่อนเองก็อ่านไม่ทัน ซึ่งเราก็อ่านไม่ทันเหมือนกันเนื่องจากมันเรียนเยอะและจำเยอะ ถึงแม้จะลองเปลี่ยนวิธี คือ ถึงไม่ทันก็ต้องไปติวกับเพื่อนปรากฏว่าไอ้ที่ไม่ได้อ่านก็ฟังไม่ทันที่ไม่ได้ก็ไม่ได้ต่อไปถามเพื่อนมากๆการติวก็ไม่คืบหน้าแล้วก็พาเพื่อนดึกไปด้วย ยิ่งนอนน้อยสมองก็ยิ่งเบลอ. ยิ่งทำให้เรียนวันต่อๆไปไม่รู้เรื่อง. สุดท้ายคะแนนแย่มากจนคิดได้ว่าอันนี้ตกรุ่นแน่เพราะเทอม2หนักกว่านี้อีก จึงรีบดรอปวิชาที่คิดว่าแย่มากๆแล้ว. แล้วเอาเวลาไปอ่านวิชาที่ ok กว่าจะได้ทำให้สูงขึ้นอีก. แต่ปรากฏว่ายิ่งเครียดว่าจะทำให้สูง ยิ่งมีเวลามากเหมือนทำให้หนูคิดมากขึ้น. "ตกรุ่นแล้ว จะไม่ได้ไปต่อแล้ว". สุดท้ายคะแนนออกมาแย่มากค่ะคะแนนวิชาที่เหลือได้ D หมดเลย. ช่วงนั้นไปเจอเพื่อนกลุ่มนึงดีมากเลยค่ะ เค้าชวนหนูไปอ่านนส.ด้วย. รู้สึกความเครียดน้อยลง. เค้าสอนวิธีท่องทั้งหมดทุกตัวในชีดแล้วหลับตาพูดทั้งหมดในชีดทีละไสลด์ ตอนนั้นก็ลองทำแต่ใช้เวลามากเลยค่ะปวดหัวด้วย และผลมาคืออ่านไม่จบแต่ชีดที่อ่านคือเป๊ะมาก. รู้สึกว่าดีขึ้นเพราะpartที่ท่องมันตอบได้หมดเลยแบบอ่านแล้วกาเลยแต่บทที่ไม่ได้ท่องคือเละค่ะ. และเพื่อนก็ดีมากเวลาติวจะยกตัวอย่างให้เข้าใจแบบช้าๆแต่เพื่อนจะนอนดึกไปด้วย และถ้าท้อไปบ่นเค้าก็จะช่วยกันพูดให้ฮึดขึ้นมาอีก ตอนนั้นรู้สึกว่ามีเพื่อนอ่านนส.แล้ว เทอม2ชีวิตต้องดีขึ้นแน่เลย
พอเปิดมา เกิดปัญหาบางอย่างคือวิชาที่หนูดรอป(biochem)ไปตัวนึงต้องใช้เพื่อต่ออีกวิชาในเทอม2 อีกทั้งวิชาที่ดรอปนั้นถูกเปลี่ยนให้ไปเรียนกับปี1เทอม2 ซึ่งก่อนหน้านี้ ตอนหนูดรอปไม่มีอ.ท่านไหนบอกหนูก่อนเลยแม้กระทั่ง อ.ที่ปรึกษาหรือ อ.ประจำวิชา เคยถามถึงผลกระทบวิชาอื่นมาแล้วด้วย ตอนขอดรอป กับ ลงทะเบียนเรียน หนูจึงไม่ได้เรียนวิชาใหม่ตัวนั้นและ วิชาที่ดรอปหนูต้องไปเรียนกับน้องไม่งั้นปีหน้าหนูจะไม่ได้เรียนวิชาถัดไปเหมือนกัน แต่ดันไปเวลาเรียนซ้อนกับอีกตัวของเทอม2จึงไม่ได้เรียนเช่นกัน
ตอนแรกๆเหมือนจะพอไปได้เนื่องจากวิชามันน้อยกว่าคนอื่นเวลาอ่านก็อยู่คนเดียวบ้างอ่านกับเพื่อนบ้าง แต่พอมิดเทอมเพื่อนก็เริ่มเรียนไม่รอดเพราะเทอม2มันยากมากๆค่ะ ยากกว่านี้อีกเพื่อนเริ่มตกมีนคะแนนแย่ลงอ่านไม่ทันแล้ว หนูก็ต้องกลับมาอ่านคนเดียวแต่ยังใช้วิธีที่เพื่อนบอกก็ดีอยู่ค่ะแต่มันช้าอยู่และก็ปวดหัวด้วย. คะแนนก็จะประมาณเดิมคือใต้มีนนิดนึง ทั้งๆที่มีเวลามากกว่าเพื่อนคนอื่น (ช่วงหลังๆเริ่มได้ยินข่าวว่าเพื่อนเครียดมากคะแนนแย่แล้วอาจติดF ร้องไห้ด้วยก็ยิ่งรู้สึกแย่รู้สึกผิดมากๆ) และแล้วเทอม2ก็ผ่านไปสุดท้ายได้ C มาตัวนึงที่เหลือยัง D อยู่ D+ บ้าง แต่มีวิชาคณะคือ dental anatomyได้ C+
พอปิดเทอมเพื่อนทุกคนเหมือนปล่อยผีหลังอยู่ในนรกกันนาน ไปเที่ยวกันแหลกเพราะจะปิดเทอมยาวแค่ปีนี้ปีเดียว ช่วงปิดเทอมพึ่งมาสังเกตตัวเองว่าโทรมไปเยอะมาก นน.ขึ้นมาเกือบ10kg. เนื่องจากเครียดแล้วกินตลอด แม่จึงพาปฏิวัติตัวเอง กินครีน+ออกกำลังกายทุกวัน จนเปิดเทอมลดลงจนปกติดีแล้วและสุขภาพจิตก็ดีขึ้นด้วยมีแรงสู้ต่อ (ตอนที่ปิดเทอมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเก่าด้วย แล้วก็พึ่งมารู้ว่านี่มันไม่ใช่ชีวิตมหาลัยปกติแล้ว อ่านหนังสือมันไม่จำเป็นต้องท่องไรขนาดนั้น แล้วแม่ก็เล่าสมัยเรียนให้ฟัง แม่ก็มีออกไปไหนบ้างมีคนตกมหาลัยก็มีแก้กันแล้วเพื่อนๆก็ช่วยกันติวเพราะคนอื่นก็ว่างแล้ว)
เปิดเทอม เพื่อนในกลุ่มทุกคนขึ้นปี3 ไปได้รวมถึงเพื่อนตอนนั้นจะแย่ด้วย ก็โล่งขึ้น แต่นรกยังคงเกิดขึ้นเมื่อรู้มาว่ามีรุ่นนี้ตกรุ่นมามากถึง60กว่าคน รวมถึงคนเก่งๆในเทอม1ด้วย บรรยากาศเครียดกว่าเดิมเนื่องจากรุ่นน้องก็กลัวด้วยรุ่นพี่ที่ตกมาก็กลัวตกอีกด้วย อีกทั้งมีรุ่นพี่ที่เคยตกรุ่นที่แล้วตกมาเรียนรุ่นนี้อีกประมาณ2-3คน เพื่อนหลายคนที่ตกมาเพราะคะแนนไม่ถึงบางคนก็ตกวิชาเทอม2 ส่วนใหญ่จึงหวังกันให้ได้A ส่วนรุ่นน้องก็กลัวตกแบบพี่ ยิ่งทำให้คะแนนสูงกันเข้าไปอีก ครั้งนี้ก็เหมือนเดิมคือได้ประมาณmeanแบบต่ำกว่ามีทั้งๆที่นอนดึกท่องหลายรอบ เข้าใจหมด หลายครั้งที่แอบคิดถึงสมัยรุ่งโรดวัยเด็ก และพอคิดคะแนนที่มีอยู่คาดเดาไปถึงเทอม2 เป้าคือB+ถึงจะผ่าน ซึ่งตอนนี้อยู่ต่ำกว่าmean และมีสูงอ.มีแนวโน้มจะตบmeanลงโดยข้อสอบจะยากขึ้นอีก และยังมีปี3บ่นมาว่าmeanสู้กว่าปี2อีก ทุกอย่างเข้ามาประเดประดัง ทนไม่ไหวจนร้องไห้จะเป็นบ้าบ่อยชีวิตเริ่มกลับมาอ้วนโทรมอีกแต่คะแนนก็ยังไม่ดีพอสุดท้าย แม่ก็โทรมาเตือนสติ ออกเถอะลูก ตอนขึ้นคลีนิกจะยิ่งกว่านี้อีกนะ เลยตัดสินใจออก พอวางชีดลงรู้สึกได้เลยว่าชีวิตว่างมากอยากทำไรก็ทำ พอไปบอกเพื่อนๆ เพื่อนสนิทก็ให้กำลังใจบางคนก็เสียใจ รุ่นน้องก็ตกใจ แต่ตอนนั้นคือดีใจมากๆไม่มีความรู้สึกเสียใจเลยเนื่องจากมันทุกข์มาตลอด(ที่ผ่านมา3ปีร้องไห้ทุกปี มากที่สุดก็ช่วงปี2ก่อนดรอปครั้งแรกเป็นต้นไป) ตอนนั้นคิดแต่ว่าชั้นจะเปลี่ยนสายงานชั้นจะเน้นคณิต ฟิสิกส์
แต่พอกลับบ้านมาอ่านหนังสือใหม่กลับรู้สึกแย่มากเพราะตอนนี้ถึงจะเก่ง eng มากขึ้นกว่าแต่ก่อน กล้าที่จะอ่านประโยคยาวๆได้ ถึงแม้จะมีศัพท์แค่ปกติธรรมดากับทางการแพทย์ที่พอมีบ้าง แต่เนื้อหาม.ปลายรวมถึงคณิตและgrammarที่ชอบและทำได้ดีลืมหมดแล้ว แถมหนังสือที่เรียนมาก็ขายไปหมดแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเรียนอะไรไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยค่ะ ตอนนี้อายุ22ปี แล้วค่ะถ้าเทียบกับเพื่อนก็คือปี4ใกล้จบแล้วค่ะ
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ทำอย่างไรดี
หนูเกิดในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวซึ่งพ่อแม่อาชีพทางวิทย์สุขภาพค่ะ สมัยเด็กหนูเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมากค่ะ เล่นๆไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
แต่สิ่งนึงที่ชอบทำมาแต่เด็กเลยคือวาดรูป ชอบดูTV champion และก็ชอบประดิษฐ์ของเล่น เช่น แอบเอาไม้กวาดมาตัดแล้วทำไม้กวาดบาร์บี้ ทำชุดกระดาษให้ตุ๊กตา ทำบ้านกระดาษให้คิตตี้ที่ได้มาจากก้นถ้วยไอติม
หนูมีน้อง1คนซึ่งเรียนเก่งมาก น้องมักมีเป้าหมายอยู่เสมอค่ะ สมัยนั้นพ่อจะคอยกระตุ้นให้ลูกๆตั้งใจเรียนโดยจะให้รางวัลเมื่อใครทำตามเป้าที่พ่อกำหนด
เป้า คือ น้องซึ่งได้ที่1อยู่แล้วต้องครองที่1 ต่อไปถึงจะได้รางวัล ส่วนหนูจะได้เมื่อได้ที่ดีขึ้นกว่าเดิม (ชีวิตพ่อแม่สมัยเด็กลำบากมากค่ะกว่าปีนมาได้ถึงจุดนี้เนื่องจากเป็นครอบครัวคนจีนและพ่อแม่ไม่มีเวลาดูลูกเยอะๆ บางวันแทบไม่มีเงินกินข้าวทุกคนต้องช่วยกันทำงาน พอมีอาชีพที่ดีจากการเรียนจึงอยากให้ลูกขยันให้มากๆ) สมัยนั้นหนูไม่เคยเข้าใจเลยค่ะ กับเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังเท่าไหร่ ชีวิตสุขสบาย ปิดเทอมก็เที่ยว มีของเล่นให้เล่น อยากกินขนมก็ขอพ่อ ดูการ์ตูน วาดรูปเล่นบ้าง อาจมีปัญหากับคุณครู เพื่อนๆ และสังคมผู้ใหญ่ภายนอกบ้าง (ไม่แน่ใจน่าจะเนื่องจากน้องเรียนเก่งมากจนไปแข่งขันเป็นตัวแทนจ.และพ่อแม่ก็เก่งด้วย) เด็กคนนี้เหมือนแกะดำในครอบครัว โดนเปรียบเทียบบ่อยๆ โดนแกล้งบ้าง ร้องไห้บ่อย(แม่เล่าอีกทีจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่) แม่จึงพาย้ายรร.ไปอีกที่ ซึ่งตอนนั้นเองหนูเริ่มชอบคณิตศาสตร์ เนื่องจากไปเจอคุณครูท่านนึงสอนสนุกมากและก็ได้เรียนพิเศษกับอ.ท่านนั้นรู้สึกสนใจกับคณิตมากขึ้น และก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้นด้วย ช่วยกันเรียน
จนกระทั้งเข้ามัธยมต้น สนใจเรื่องเรียนมากขึ้นเริ่มอยากได้คะแนนดีๆบ้าง แต่ก็ยังมีแม่ค่อยช่วยสอนวิชาท่องจำอยู่ ส่วนวิชาคณิตแม่เริ่มพาออกสนามตระเวรแข่งเหมือนน้องบ้างแล้ว ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้างถึงจะไม่ได้สูงเท่าน้องแต่ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าคณิตคะแนนสูงกว่า mean รวมไปถึงห้องและสายชั้นด้วย ช่วงนั้นอยู่ ม.3 แล้ว แม่เริ่มรู้สึกว่าจ.เล็กๆยังมีแหล่งศึกษาไม่มากพอ จึงบอกว่าจะย้ายจ.อื่นที่ใหญ่กว่าซึ่งเป็นจ.ที่แม่ทำงาน แต่เพื่อให้เราขยันจึงบอกว่าต้องสอบให้ติดที่จ.นั้นถ้าไม่ติดจะย้ายไปกับน้องแค่2คน (ในตอนนั้นแม่เลือกรร.ที่สอบเพียง2วิชา คือคณิตกับวิทย์ เนื่องจากeng หนูยังแย่อยู่) แต่ก็สอบติดมาได้แบบงงๆเพราะไม่ได้ชัวร์มาก แต่รู้สึกว่าคณิตทำได้เยอะอยู่
พอขึ้นม.ปลาย มีกลุ่มเพื่อนสนิทมากๆกลุ่มนึง ซึ่งเค้าพาเรียนมาก ชีวิตหนักขึ้นเยอะต้องไปเรียนพิเศษไปเรียนนส.ที่รร.ทำการบ้านทั้ง2ที่ ตอนนั้นทุกคนมีเป้าหมายคือเข้ามหาลัยแล้ว ปกติแล้วสมัยเด็กมักมีเรียงความให้ทำว่าอยากเป็นอะไร หนูมักจะบอกกับรายงานแบบเขียนไปเพราะรู้จักอยู่แค่นี้คือ "หนูอยากเป็นหมอค่ะ^^" แต่นี่มันคือความจริงแล้วที่ต้องเลือก แว๊ปนึงนึกถึงครูคณิตเนื่องจากชอบสอนคณิตเพื่อน และยกตัวอย่างให้คนอื่นเข้าใจง่าย แต่พักหลังเนื่องจากวิชาวิทย์เริ่มแตกเป็น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ จึงเริ่มไปเน้นส่วนนั้นเพราะไม่รู้อะไรเยอะมากเลย คณิตเริ่มตกลงอาจไม่โดดเด่นเหมือนแต่ก่อนแต่ก็ยังokอยู่
(ส่วนตัวแล้วพ่อแม่ไม่ค่อยแนะนำครูเท่าไหร่เนี่องจากจบกันเยอะแต่มีคนรับจริงๆน้อยมาก อัตราว่างงานสูง) ณ ตอนนั้นรู้สึกชอบเพิ่มมา2วิชา คือ ฟิสิกส์ กับชีวะ เพราะอ.ติวเตอร์สอนสนุก ถึงจะไม่ได้เริดเรอแต่ก็ทำได้ดีเข้าใจด้วยตัวเอง บวกกับช่วงม.ปลายเริ่มสนิทกับแม่มากขึ้น ได้ไปอยู่ที่ทำงานแม่บ่อยขึ้น ได้เห็นบรรยากาศและการทำงานของแม่ รู้สึกน่าสนุก
คุณแม่เป็นทันตะ เวลากลับมาบ้านแม่จะต้องวัดfilmคนไข้ วาดรูปและวางแผน วันว่างๆก็จะเปิดดู catalogของทันตะ เลือกสียาง ไม่ก็ตัดยางแยกสี ทำบอร์ดเลือกสีให้คนไข้ ส่วนในห้องทำงานก็คุยสารทุกสุขดิบให้คนไข้ไม่กลัว คนไข้บางคนดีใจฟันสวยขึ้นก็เอาของมาฝากเอาขนมที่ทำเองมาให้ ทำให้รู้สึกอยากเป็นทันตะขึ้นมาก จึงไปศึกษาพบว่า คะแนนสูงมากกกกก ซึ่งเราทำทุกวิชาอยู่ระดับปานกลางและอังกฤษก็แย่มากๆๆๆแต่ที่ได้ก็มีแต่ grammar part สุดท้ายตอน ม.6 ก็ไม่ติดทันตะซักที่ จึงตัดสินใจไม่เรียนต่อ พยายามเก็บที่ยังไม่แม่น ถึงสิทธิ์ม.6จะหายไปเยอะมาก แต่ตอนนี้มุ่งเป้าแค่ทันตะที่ไหนก็ได้
ปรากฏว่าพอไปสอบรับตรงที่ม.เอกชนแห่งนึง ปรากฏว่าติดรอบแรกดีใจมากๆ เพราะตอนทำข้อสอบรู้สึกว่า engกับชีวะ ง้อยมากๆๆๆ ทำใจเตรียมสอบที่อื่นไปแล้วด้วย ทิ้งทุกอย่างแล้วไปเตรียมตัวสอบสัมพาษย์แล้วดันผ่านไปอีกทั้งๆที่เค้าสัมพาษย์eng (เนื่องจากเตรียมตัวไปแบบท่องแนะนำตัวทุกวันเลย) มีสอบความถนัดคือ แกะสบู่เป็นฟัน วาดรูปเหมือน กับวาดรูปที่กำหนดจากโจทย์ด้วย ผลปรากฏว่าผ่านไปได้ ตอนนั้นหนูดีใจมากค่ะ. จากคนที่ไม่เอาถ่านคนนึงแกะดำในครอบครัว มาได้ถึงจุดนี้ (ก่อนหน้านี้ก็มีท้อบ้างทำไมเราไม่ตั้งใจเรียนแต่เด็กๆเหมือนน้องเนี่ย แต่คุณพ่อมักจะบอกเสมอว่า สมัยเด็กๆพ่อก็เป็นเหมือนกัน พ่อก็เรียนไม่เก่ง ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่นสิ) หนูเชื่อมั้นเสมอ แล้วความฝันก็เป็นจริง.
ตอนที่ไปอ่านในพันทิปคนส่วนใหญ่มักบอกว่าที่นี่จบยากแต่หนูก็ไม่สนใจเชื่อมั่นว่าถ้าเราขยันซะอย่างเราต้องทำได้ดิ. พอขึ้นปี1มา ปัญหาใหม่ปรากฏขึ้น ที่นี่เรียนเป็น bilingual และหนูไม่ค่อยเก่ง eng เท่าไหร่. แต่ก็พยายามฝึกเพราะเพื่อนหนูบางส่วนเป็นเด็ก inter บอกคนก็เคยไปแลกเปลี่ยนมาก่อน. ตอนนั้นยังพอไปรอดอยู่เพราะยังมีความรู้ม.ปลายบางส่วนให้เดาบ้าง. แต่เมื่อเรียนมาจนถึง ปี2 คณะเริ่มมีเกณฑ์โหดบางอย่าง คือ จะมี 10 วิชาอรหันต์ ที่ต้องได้เกรดเฉลี่ยรวมกันได้ 2.00 ขึ้นไปถึงจะผ่าน. และวิชาที่ไม่ถึง50%จะได้ F โดยไม่มีการแก้ใดๆ คือตกรุ่นไปเรียนกับรุ่นน้องเลย
เริ่มต้นมาก็มีรุ่นพี่ที่ตกรุ่นลงมา 10 กว่าคนและมีรุ่นพี่ที่ผ่านมาแนะแนวว่าต้องเตรียมการไงบ้างขยันแค่ไหนต้องช่วยกันเรียน ทุกคนเริ่มเครียดมากขึ้นค่ะ. เปิดเทอมมาบรรยากาศเปลี่ยน. ทุกคนแข่งขันกันและพยายามดีดตัวเองมากๆเลยค่ะ. เราก็พยายามเหมือนกันเดิมทีวิชาเกี่ยวกับ preclinic ก็ยากอยู่แล้วยังเป็นสอบ eng ด้วยเราเลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่น บางวันเลือกที่จะไม่หลับไม่นอนเพราะคิดว่าเป็นเวลาเก็บแต้ม ชีวิตเริ่มโทรมหนักขึ้นแต่คะแนนก็ยังแย่อยู่ สุดท้ายคะแนนแย่มากๆเริ่มเครียดและเห็นความแตกต่างมากขึ้น (เพื่อนเรียนบ้าง บางทีก็พักแต่ทำไมเค้าถึงรอด) ทุกคนให้ความเห็นว่าเราเครียดไปแต่พอลองไม่เครียดดูไปไหนกับเพื่อนโน่นนี่ปรากฏว่ามันแย่กว่าเดิมอีก ชีวิตเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆเพื่อนเริ่มเห็นแล้วว่าเราแย่มากๆแล้ว ก็เริ่มมีติวมีอะไรบ้างแต่จะเป็นช่วงใกล้สอบเพราะเพื่อนเองก็อ่านไม่ทัน ซึ่งเราก็อ่านไม่ทันเหมือนกันเนื่องจากมันเรียนเยอะและจำเยอะ ถึงแม้จะลองเปลี่ยนวิธี คือ ถึงไม่ทันก็ต้องไปติวกับเพื่อนปรากฏว่าไอ้ที่ไม่ได้อ่านก็ฟังไม่ทันที่ไม่ได้ก็ไม่ได้ต่อไปถามเพื่อนมากๆการติวก็ไม่คืบหน้าแล้วก็พาเพื่อนดึกไปด้วย ยิ่งนอนน้อยสมองก็ยิ่งเบลอ. ยิ่งทำให้เรียนวันต่อๆไปไม่รู้เรื่อง. สุดท้ายคะแนนแย่มากจนคิดได้ว่าอันนี้ตกรุ่นแน่เพราะเทอม2หนักกว่านี้อีก จึงรีบดรอปวิชาที่คิดว่าแย่มากๆแล้ว. แล้วเอาเวลาไปอ่านวิชาที่ ok กว่าจะได้ทำให้สูงขึ้นอีก. แต่ปรากฏว่ายิ่งเครียดว่าจะทำให้สูง ยิ่งมีเวลามากเหมือนทำให้หนูคิดมากขึ้น. "ตกรุ่นแล้ว จะไม่ได้ไปต่อแล้ว". สุดท้ายคะแนนออกมาแย่มากค่ะคะแนนวิชาที่เหลือได้ D หมดเลย. ช่วงนั้นไปเจอเพื่อนกลุ่มนึงดีมากเลยค่ะ เค้าชวนหนูไปอ่านนส.ด้วย. รู้สึกความเครียดน้อยลง. เค้าสอนวิธีท่องทั้งหมดทุกตัวในชีดแล้วหลับตาพูดทั้งหมดในชีดทีละไสลด์ ตอนนั้นก็ลองทำแต่ใช้เวลามากเลยค่ะปวดหัวด้วย และผลมาคืออ่านไม่จบแต่ชีดที่อ่านคือเป๊ะมาก. รู้สึกว่าดีขึ้นเพราะpartที่ท่องมันตอบได้หมดเลยแบบอ่านแล้วกาเลยแต่บทที่ไม่ได้ท่องคือเละค่ะ. และเพื่อนก็ดีมากเวลาติวจะยกตัวอย่างให้เข้าใจแบบช้าๆแต่เพื่อนจะนอนดึกไปด้วย และถ้าท้อไปบ่นเค้าก็จะช่วยกันพูดให้ฮึดขึ้นมาอีก ตอนนั้นรู้สึกว่ามีเพื่อนอ่านนส.แล้ว เทอม2ชีวิตต้องดีขึ้นแน่เลย
พอเปิดมา เกิดปัญหาบางอย่างคือวิชาที่หนูดรอป(biochem)ไปตัวนึงต้องใช้เพื่อต่ออีกวิชาในเทอม2 อีกทั้งวิชาที่ดรอปนั้นถูกเปลี่ยนให้ไปเรียนกับปี1เทอม2 ซึ่งก่อนหน้านี้ ตอนหนูดรอปไม่มีอ.ท่านไหนบอกหนูก่อนเลยแม้กระทั่ง อ.ที่ปรึกษาหรือ อ.ประจำวิชา เคยถามถึงผลกระทบวิชาอื่นมาแล้วด้วย ตอนขอดรอป กับ ลงทะเบียนเรียน หนูจึงไม่ได้เรียนวิชาใหม่ตัวนั้นและ วิชาที่ดรอปหนูต้องไปเรียนกับน้องไม่งั้นปีหน้าหนูจะไม่ได้เรียนวิชาถัดไปเหมือนกัน แต่ดันไปเวลาเรียนซ้อนกับอีกตัวของเทอม2จึงไม่ได้เรียนเช่นกัน
ตอนแรกๆเหมือนจะพอไปได้เนื่องจากวิชามันน้อยกว่าคนอื่นเวลาอ่านก็อยู่คนเดียวบ้างอ่านกับเพื่อนบ้าง แต่พอมิดเทอมเพื่อนก็เริ่มเรียนไม่รอดเพราะเทอม2มันยากมากๆค่ะ ยากกว่านี้อีกเพื่อนเริ่มตกมีนคะแนนแย่ลงอ่านไม่ทันแล้ว หนูก็ต้องกลับมาอ่านคนเดียวแต่ยังใช้วิธีที่เพื่อนบอกก็ดีอยู่ค่ะแต่มันช้าอยู่และก็ปวดหัวด้วย. คะแนนก็จะประมาณเดิมคือใต้มีนนิดนึง ทั้งๆที่มีเวลามากกว่าเพื่อนคนอื่น (ช่วงหลังๆเริ่มได้ยินข่าวว่าเพื่อนเครียดมากคะแนนแย่แล้วอาจติดF ร้องไห้ด้วยก็ยิ่งรู้สึกแย่รู้สึกผิดมากๆ) และแล้วเทอม2ก็ผ่านไปสุดท้ายได้ C มาตัวนึงที่เหลือยัง D อยู่ D+ บ้าง แต่มีวิชาคณะคือ dental anatomyได้ C+
พอปิดเทอมเพื่อนทุกคนเหมือนปล่อยผีหลังอยู่ในนรกกันนาน ไปเที่ยวกันแหลกเพราะจะปิดเทอมยาวแค่ปีนี้ปีเดียว ช่วงปิดเทอมพึ่งมาสังเกตตัวเองว่าโทรมไปเยอะมาก นน.ขึ้นมาเกือบ10kg. เนื่องจากเครียดแล้วกินตลอด แม่จึงพาปฏิวัติตัวเอง กินครีน+ออกกำลังกายทุกวัน จนเปิดเทอมลดลงจนปกติดีแล้วและสุขภาพจิตก็ดีขึ้นด้วยมีแรงสู้ต่อ (ตอนที่ปิดเทอมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเก่าด้วย แล้วก็พึ่งมารู้ว่านี่มันไม่ใช่ชีวิตมหาลัยปกติแล้ว อ่านหนังสือมันไม่จำเป็นต้องท่องไรขนาดนั้น แล้วแม่ก็เล่าสมัยเรียนให้ฟัง แม่ก็มีออกไปไหนบ้างมีคนตกมหาลัยก็มีแก้กันแล้วเพื่อนๆก็ช่วยกันติวเพราะคนอื่นก็ว่างแล้ว)
เปิดเทอม เพื่อนในกลุ่มทุกคนขึ้นปี3 ไปได้รวมถึงเพื่อนตอนนั้นจะแย่ด้วย ก็โล่งขึ้น แต่นรกยังคงเกิดขึ้นเมื่อรู้มาว่ามีรุ่นนี้ตกรุ่นมามากถึง60กว่าคน รวมถึงคนเก่งๆในเทอม1ด้วย บรรยากาศเครียดกว่าเดิมเนื่องจากรุ่นน้องก็กลัวด้วยรุ่นพี่ที่ตกมาก็กลัวตกอีกด้วย อีกทั้งมีรุ่นพี่ที่เคยตกรุ่นที่แล้วตกมาเรียนรุ่นนี้อีกประมาณ2-3คน เพื่อนหลายคนที่ตกมาเพราะคะแนนไม่ถึงบางคนก็ตกวิชาเทอม2 ส่วนใหญ่จึงหวังกันให้ได้A ส่วนรุ่นน้องก็กลัวตกแบบพี่ ยิ่งทำให้คะแนนสูงกันเข้าไปอีก ครั้งนี้ก็เหมือนเดิมคือได้ประมาณmeanแบบต่ำกว่ามีทั้งๆที่นอนดึกท่องหลายรอบ เข้าใจหมด หลายครั้งที่แอบคิดถึงสมัยรุ่งโรดวัยเด็ก และพอคิดคะแนนที่มีอยู่คาดเดาไปถึงเทอม2 เป้าคือB+ถึงจะผ่าน ซึ่งตอนนี้อยู่ต่ำกว่าmean และมีสูงอ.มีแนวโน้มจะตบmeanลงโดยข้อสอบจะยากขึ้นอีก และยังมีปี3บ่นมาว่าmeanสู้กว่าปี2อีก ทุกอย่างเข้ามาประเดประดัง ทนไม่ไหวจนร้องไห้จะเป็นบ้าบ่อยชีวิตเริ่มกลับมาอ้วนโทรมอีกแต่คะแนนก็ยังไม่ดีพอสุดท้าย แม่ก็โทรมาเตือนสติ ออกเถอะลูก ตอนขึ้นคลีนิกจะยิ่งกว่านี้อีกนะ เลยตัดสินใจออก พอวางชีดลงรู้สึกได้เลยว่าชีวิตว่างมากอยากทำไรก็ทำ พอไปบอกเพื่อนๆ เพื่อนสนิทก็ให้กำลังใจบางคนก็เสียใจ รุ่นน้องก็ตกใจ แต่ตอนนั้นคือดีใจมากๆไม่มีความรู้สึกเสียใจเลยเนื่องจากมันทุกข์มาตลอด(ที่ผ่านมา3ปีร้องไห้ทุกปี มากที่สุดก็ช่วงปี2ก่อนดรอปครั้งแรกเป็นต้นไป) ตอนนั้นคิดแต่ว่าชั้นจะเปลี่ยนสายงานชั้นจะเน้นคณิต ฟิสิกส์
แต่พอกลับบ้านมาอ่านหนังสือใหม่กลับรู้สึกแย่มากเพราะตอนนี้ถึงจะเก่ง eng มากขึ้นกว่าแต่ก่อน กล้าที่จะอ่านประโยคยาวๆได้ ถึงแม้จะมีศัพท์แค่ปกติธรรมดากับทางการแพทย์ที่พอมีบ้าง แต่เนื้อหาม.ปลายรวมถึงคณิตและgrammarที่ชอบและทำได้ดีลืมหมดแล้ว แถมหนังสือที่เรียนมาก็ขายไปหมดแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเรียนอะไรไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยค่ะ ตอนนี้อายุ22ปี แล้วค่ะถ้าเทียบกับเพื่อนก็คือปี4ใกล้จบแล้วค่ะ