ประวัติวัน “ฮาโลวีน”

วัฒนธรรมเกี่ยวกับ ภูติ ผีและวิญญาณนั้นมีอยู่ทุกที่ ทั่วโลกแต่มีประเพณีที่ได้รับความนิยมอย่างมากนั่นคือ “วันฮาโลวีน” ซึ่งตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงปาร์ตี้สนุกสนานไปแล้ว
ฮาโลวีนคืนเทศการที่คนไทยคงนึกถึงการแต่งตัวเป็น ภูติ ผี ไปปาร์ตี้กัน หรือจะเป็นภาพที่มีเด็กๆแต่งตัวกันเพื่อขอลูกอมจากบ้านต่างๆที่เรามองว่าน่ารักน่าชัง แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าวันฮาโลวีนมีความหมายจริงว่าอย่างไร
ฮาโลวีนเชื่อว่ามีที่มาจากการฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย และชาวเซลท์เชื่อว่ามิติคนตายกับคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิต จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแต่งกายเป็นผี ปีศาจเพื่อให้ปลอดภัยจากวิญญาณที่หาร่างใหม่ แต่มีนักวิชาการบางส่วนที่เชื่อว่า ฮาโลวีน นั้นกำเนิดขึ้นแยกกับชาวเซลท์ และมีเหง้าจากศาสนาคริสต์เพียงอย่างเดียว
เดิมเทศกาลฮาโลวีนจัดขึ้นเฉพาะในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และประเทศข้างเคียงเท่านั้น แต่เมื่อชาวไอริช และชาวสกอต ได้อพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1840 จึงได้นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติด้วย และถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติอย่างมาก จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้
ธรรมเนียมที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆนั่นคือการขอขนมหรือ “ทริค ออ ทรีท”  เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวัน "All Souls" พวกเขาจะเดินร้องขอ "ขนมสำหรับวิญญาณ" จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น  ในสมัยโบราณมีการกล่าวขานกันว่าเด็ก ๆ ที่ไม่ได้ขนมจะแกล้งเจ้าของบ้าน เช่น ใส่ไข่ดิบในตู้จดหมายในคืนเทศกาลฮาโลวีน คนส่วนใหญ่จึงมีขนมและลูกกวาดเตรียมไว้เพื่อจะไม่ต้องโดนผี (เด็กๆ) แกล้ง และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นลูกอมแทน(ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%95)
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่พอเห็นปุ๊บก็จะนึกถึงฮาโลวีนเลยก็คือหัวฟักทอง “แจ๊ก โอแลนเทิร์น” ตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช กล่าวถึง แจ๊กจอมตืด ซึ่ง วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ "ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก" แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ๊กตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะลงนรก เพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดมิด และหนาวเย็น และแจ๊กได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอร์นิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น  แต่ในอเมริกาเหนือสามารถหาฟักทองได้ง่ายกว่าหัวผักกาด ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าจึงหันมาแกะสลักฟักทองแทนหัวผักกาดและได้เป็นสัญลักษณ์ของฮาโลวีนมาถึงปัจจุบัน (ที่มา http://www.educatepark.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AE%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%99/)
จะเห็นได้ว่า “เทศการ” ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในพื้นที่นั้นๆและได้ปฏิบัติกันมาจนเป็น ประเพณี ซึ่งมีคุณค่าควรแก่การรักษา “รากเหง้า”  ของที่นั้นๆและเป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ที่จะสืบสานความดีงามไว้ หากย้อนมาดูในประเทศเราเองก็รับเอาประเพณีและวัฒนธรรมมาอย่าหลากหลายจนอาจลืมไปว่าเราเองก็มีของดีที่ควรรักษาไว้เช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่