มหากาพย์ ประสบการณ์การทำงานเรือสำราญ ตอนที่ 1

  
( เรือ 3 พี่น้อง คลาสโอเอซิส ของบริษัทรอยัลแคริบเรียน ซึ่งเป็นบริษัทที่สองที่เราเคยทำอยู่ด้วย เราอยู่ลำกลางมาก่อน)

     สวัสดีจ้า เราชื่อแต๋มค่ะ แต่ชื่อฝรั่งเรียกว่า Patty ย่อมาจากชื่อจริงที่ยาวมาก คือ ภัทริยาวดี Phattariyawadee ซึ่งเขียนให้ฝรั่งอ่าน แล้วเค้าอ่านออกเสียงไม่ได้ เลยเอามันสั้นๆ แต่กว่าจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ คือคนๆ เดียวกัน
     กว่าจะเขียนกระทู้นี้ได้ คิดอยู่ไม่นาน คือว่าอยากเขียนตั้งนาน หลายปีละ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ แต่พอดีเพื่อนขอมาและคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อรุ่นน้อง รุ่นหลาน หรือใครก็แล้วแต่อยากรู้ว่าวิถีชีวิตของคนเรือ คนที่ทำงานเรือสำราญนั้นเป็นอย่างไร เผื่อจะเอาไปประกอบการตัดสินใจได้บ้างนะคะ เพราะตัวเองก็เลยทำอยู่ 2 บริษัทค่ะ คือ คาร์นิวัลเป็นบริษัทแรก และรอยัลแคริบเบียนเป็นบริษัทที่สอง ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ได้แน่ๆ ล่ะ

** คำเตือน!! นี่เป็นการเขียนกระทู้พันทิป ครั้งแรกในชีวิต ภาษาการถ่ายทอดของคนเขียน จะตรงไปตรงมา ห้าวๆ อาจไม่สุภาพในทัศนคติของใครหลายคน ก็โปรดจงเข้าใจ งดดราม่านะคะ เพราะชีวิตลูกเรือก็ดราม่ามาพอแล้วค่ะ คำบางคำอาจจะทับศัพท์ภาษาอังกฤษไปเลย  ซึ่งทั้งหมดนี้ กลั่นกรองจากประสบการณ์หลายปี ตอนนี้ไม่ได้ทำงานที่เรืออีกแล้วค่ะ อยู่เป็นแม่บ้านและแม่ค้าออนไลน์ที่อเมริกา แต่ก็ยังคิดถึงงานเรืออยู่เพราะมันสนุกดี ขณะนี้เราอาศัยอยู่เมืองที่ตัวเองเคยทำงานเรือและผ่านไปมาอยู่เป็นประจำ อยู่ระหว่างท่าเรือใหญ่ๆ 2 ท่าเรือ คือ Miami และ Fort Lauderdale  ซึ่งเหมือนฝันที่เป็นจริงอีกครั้ง เพราะสมัยทำงานเรือ ชอบย่านนี้มาก คิดอยู่ในใจว่า คงจะดีเนอะ ถ้าเราได้มาตั้งหลักปักฐาน อาศัยอยู่แถวนี้ แล้วทุกวันนี้ก็นั่งรถผ่านไปมาก็เห็นเรือสำราญอยู่เป็นประจำ แวะไปเที่ยวไปหาพี่ๆ คนไทยที่ยังทำงานในเรืออยู่บ้างเป็นครั้งคราว
     อ้าวๆ พร่ามอยู่ซะนาน เริ่มซะทีสิ คนอ่านเค้าหรออยู่นะเฟ่ย งั้นเริ่มเลย!!
  
ลิงทำไงถึงได้ไปทำงานเรื่อสำราญ ?? :
     เนื่องด้วยสมัยเรียนนั้น เรียนคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม รุ่นที่3 ของคณะเลย มีอาจารย์ที่คณะ ท่านได้มีประสบการณ์ไปทำงานที่เรือสำราญมาก่อน ท่านเลยเอามาเปิดโลกทัศน์ให้นิสิต-นักศึกษา เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อาจารย์เรียกเข้าไปคุยและให้แนะนำ แม้จะผ่านมา 11 ปี แต่ยังจำได้ขึ้นใจ แล้วอาจารย์ก็เอาโพสต์การ์ดรูปเรือสำราญไว้ให้เราหนึ่งใบ เชื่อมั้ยคะว่า ณ ตอนที่อาจารย์เปิดเว็ปให้และเอารูปให้เราดูนั้น จินตการของเรามันไปไกลมาก ฝันไปแล้วว่าตัวเองได้ทำงานสาย food and beverage (แผนกอาหารและเครื่องดื่ม) ในเรือสำราญไปแล้ว ซึ่งอาจารย์เองก็ได้แนะนำบริษัทจัดหางานเรือสำราญที่อยู่ในกรุงเทพให้เราได้รู้จักอีกด้วย ก็ต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์รังสรรค์และอาจารย์คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคามทุกท่าน มา ณ​ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ( Law of Attraction หรือกฎของแรงดึงดูด เริ่มก่อตัว)     แต่สำหรับใครที่ไม่ได้จบการท่องเที่ยวการโรงแรมหรือทำงานสายนี้มาก่อน ทุกวันนี้เค้ามีคอร์สอบรบกันด้วยนะคะ ลองค้นหาดู หรือติดต่อบริษัทที่เราสมัครไปทำงาน คือ CTI Bangkok ได้ค่ะ


(และนี่ก็เป็นรูปที่คล้ายๆ กับที่ตัวเองเอาปิดฝาผนังไว้ น่าจะอยู่ในกรุที่บ้านที่เมืองไทย)

      หลังจากที่เรียนจบ เราก็ไปทำงานที่โรงแรมก่อน เพราะว่าถ้าจะสมัครงานเรือนั้น ต้องมีประสบการณ์ในโรงแรม 4-5 ดาว หรือสายบริการก่อนในระดับนึง อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป สมัยนั้นนะ เมื่อปี 2006 และเราก็ไปทำงานอยู่โรงแรม Evason  Hideaway ที่ปราณบุรี จ.ประจวบฯ ซึ่งตอนนี้กลายเป็น โรงแรมในเครือเชอราตันไปแล้วมั้ง ตอนนั้นหัวหิน ปราณบุรี คนยังไม่พลุกพล่านหรือรถติดขนาดนี้ เป็นการทำงานที่มีความสุขและสนุกมากในช่วงหนึ่งของชีวิต ยังคิดถึงเพื่อนๆพี่ๆ  ที่ทำงานด้วยกันอยู่เสมอ

     ระหว่างที่ทำงานอยู่นั้นก็เก็บเอารูปโพส์ตการ์ดรูปเรือสำราญที่อาจารย์ได้เอาไว้ให้นั้น แปะติดไว้ข้างฝา ดูมันอยู่ทุกวี่วัน  ฝันๆไป งานมโนเริ่มมาอีกละ พึ่งรู้ว่า การมโนภาพหรือจินตนาการนั้นมันเป็นกฏดึงดูดที่ดีอีกอย่างหนึ่ง แต่อย่าไปซีเรียสกับมันมากค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ทำงานเก็บเงินและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปวันๆ


    (รูปตอนรับปริญญา จบใหม่ๆ จ้า )

     ทำงานไปยังไม่ครบปีเลยค่ะ ได้แค่ 6 เดือนกว่าๆ ก็เห็นพี่ๆ ในแผนกเดียวกันเค้าคุยกันเรื่องสัมภาษณ์งานเรือสำราญ เพราะเค้าโดนเรียกสัมภาษณ์ แต่ตัวเราก็ยังไม่ได้ไปทิ้งแม้กระทั่งใบสมัครไว้เลย แต่ด้วยความใจกล้าหน้าด้าน สอดรู้สอดเห็น หรือเรียกบ้านๆ ว่า ชอบเผือก 555
ก็เลยขอติดสอยห้อยตามไปกับพี่ๆ เค้า และแล้วประสบการณ์การไปตายเอาดาบหน้า ก็เริ่มสะสมมาตั้งแต่ตอนนั้น

     เมื่อถึงบริษัทจัดหางาน CTI Bangkok ที่พี่ๆ เค้ามาสัมภาษณ์กัน เราเองก็แต่งตัวมาและเตรียมเอกสารมาพร้อมเหมือนกัน อย่างกะตัวเองถูกเรียกมาสัมภาษณ์ด้วยซะงั้น แต่ด้วยความใจกล้าหน้าด้านที่เต็มเปี่ยม เราเลยขอพี่ๆ เจ้าหน้าที่บริษัทนั้นกรอกใบสมัครและขอสัมภาษณ์ได้มั้ย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว  ซึ่งคนสัมภาษณ์ก็คือ Mr. Ian เป็นตัวแทนของบริษัท Carnival Cruise Line ค่ะ และเราก็ได้รับอนุญาตจริงๆ  ต้องขอขอบคุณพี่อารมณ์และพี่เบนซ์ด้วยค่ะ ที่ใจดีให้เด็กบ้านนอก หน้าด้านคนนี้ได้เข้าสัมภาษณ์แต่ต้องรอให้คนอื่นที่มาตามคิวเค้าเสร็จหมดแล้ว   ถือเป็นการสัมภาษณ์ที่ตื่นเต้นมากๆ สัมภาษณ์ว่าอะไรนั้นก็ค่อยหลังไมค์มาคุยกันต่อนะคะ เดี๋ยวมันจะเป็นโคตรมหากาพย์ สัมภาษณ์เสร็จแล้ว พี่ๆ เค้าก็ไล่ให้เรากลับไปทำงานก่อนตามปกติค่ะ เดี๋ยวส่งข่าวไป ปล่อยให้เราลุ้นๆๆ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ

     ได้... ไม่ได้... ได้.. ไม่ได้.. เกิดคำถามในใจตัวเอง ระหว่างทำงาน ถึงแม้จะไม่ได้ก็ไม่ซีเรียสค่ะ แอบปลอบตัวเอง เฮ่ๆ เพราะเรายังวัยละอ่อนอยู่เลย ถือว่าทดสอบการสัมภาษณ์ไปในตัว  และแล้ว CTI ก็โทรมาค่ะ  

        woman......ฮัลโหล ฮัลโหล น้องภัทริยาวดี หรืออะไรที่ชื่อยาวๆ ใช่มั้ยคะ
        อมยิ้ม02...อ่อ ใชคะ
        woman.... น้องคะ น้องผ่านการสัมภาษณ์นะคะ เดี๋ยวน้องจะต้องมาดำเนินเอกสารเรื่องวีซ่าและอื่นๆ นะคะ บลาๆๆๆ
        อมยิ้ม02 OMG!! ค่ะ ๆ พี่ ( พูดอะไรต่อไม่ออก ตื่นเต้นและดีใจสุดๆ ) ได้แต่ตอบค่ะ ๆ



( รูปนี้สมัยทำงานอยู่โรงแรมเอวาซอน ช่วงใกล้จะ last day หรือจะออกแล้ว )

      เมื่อได้รับการยืนยันว่าเราจะได้ไปแน่นอนแล้ว และเอกสารเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เริ่มยื่นใบลาออกที่โรงแรมเดิมค่ะ แอบเศร้าเลย ณ ตอนนั้น   ส่วนเรื่องเอกสารการขอวีซ่านั้นและระยะเวลาในการดำเนินการนั้นอยู่ราวๆ 1-2 เดือน ต้องทำวีซ่าของสองประเทศคือ วีซ่าของอเมริกา เพราะบริษัทเรือเป็นบริษัทของอเมริกันแต่ล่องอยู่ในยุโรป และวีซ่าเชงเก้นของโซนยุโรป ที่เราจะต้องเดินทางไปถึงเป็นที่แรก และทำงานอยู่ในสัญญาจ้างแรก   ค่าใช้จ่าย รวมค่าตั๋วเครื่องบินและอื่นๆ ทั้งเงินติดตัวไปด้วย ก็อยุ่ราวๆ 6-8 หมื่นบาทค่ะ จำได้ไม่เป๊ะเท่าไหร่ ว่าทำงานโรงแรมแล้วมีเงินมาจ่ายพอรึ ขอตอบเลยว่าไม่ค่ะ กู้หรือยืมสิคะ เริ่มกลายเป็นคนมีเครดิตอีกละ แต่ทำไงได้ละเนอะ คิดว่ามันคือการลงทุน อิอิ

       ตำแหน่งที่จะไปทำงานในเรือสำราญนั้น คือ Assitant Waitress หรือผู้ช่วยเด็กเสริฟ นี่ล่ะค่ะ รายได้อยู่ประมาณ $1200 และมากกว่านั้น
และเรือที่จะได้ไปลงคือ Carnival Freedom ของบริษัท Carnival  มีท่าเรือหลัก อยุ่ที่เมือง Civictavacia(ชิวิคตาแวคเกีย) ประเทศอิตาลี ค่ะ  



(รูปเพื่อนสนิทและเพื่อนเรียนมหาลัยมาด้วยกัน มาส่งที่สนามบิน ก่อนบินไปทำงานคอนแทรคแรก)

   เมื่อการเดินทางผจญภัยต่างแดนได้เริ่มต้นขึ้น  ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตกันเลยทีเดียวกับ เดินทางไปกับเพื่อนสาวร่วมชะตากรรมอีก 2 คน เพื่อนคนนึงเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย คณะเดียวกันและสนิทชิดเชื้อกันมาก่อน และอีกคนก็พึ่งมารู้จักตอนทำวีซ่าเชงเก้นที่สถานทูตอิตาลีด้วยกัน แล้วทั้งสามเลยเป็นเพื่อนฮักกันมาจนทุกวันนี้

   รวบรัดตัดตอน ทันทีที่เดินทางถึงประเทศอิตาลี หลังจากนั่งเครื่องมาจนปวดก้น เราทั้งสามต้องติดสอยห้อยตามกันไปทุกที่ ก็ถือว่าโชคดีมาก ที่การไปครั้งนั้นไม่ได้ฉายเดี่ยว เพราะมีเรื่องให้น่ากังวลอยู่หลายอย่าง เช่น

  ร้องไห้- ห้องน้ำหญิงของอิตาลี มีผู้ชายหน้าตาถึกทมึฬเป็นคนทำความสะอาด นึกสภาพออกมั้ยคะว่า ไอ้เด็กผู้หญิงสามตัว เอ้ย สามคน ใสๆ ซื่อๆ จากเมืองบางกอก ตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับฝรั่ง ที่ต้องออกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาครั้งแรก พอปวดฉี่ รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ แต่กลับเห็นผู้ชายหนวดเครา หน้าตาค่อนข้างไปทางน่ากลัว อย่างกับจะมาคุมบ่อน มายืนมองหน้าเราอยู่ แล้วเค้าก็มองเราแบบไม่คลาดสายตาด้วยนะ โอ้ยยย อิแม่ ข้อยละย่าน  (อ้าวตกลาวซะงั้น 555) หมายถึงเริ่มกลัว

  Facepalm พนักงานและผู้คนในสนามบินอิตาลีไม่ค่อยจะมีใครพูดภาษาอังกฤษกันได้เลย แม้กระทั่งประชาสัมพันธ์ก็อธิบายจนเมื่อมือ เอ่อก็งงอยู่ว่า นี่ภาษาอังกฤษของพวกเราทั้งสามคนมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอวะ ก็พอดีต้องถามเค้าว่าที่จอดรถรับพนักงานเรือสำราญอยู่ตรงไหน เค้าก็ชี้บอกให้ไปหาเค๊าน์เตอร์รถเช่า เง้ออออ อารมณ์ว่าเข้าใจนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย แล้วเค้าต้องการความช่วยเหลือเลยจริงๆ

  เม่าตกอับ ต้องโทรกลับหาบริษัท CTI ที่เมืองไทย เพราะพวกเราไม่เห็นมีใครมารับและหาที่จอดรถบัสพนักงานไม่เจอด้วย เมื่อโทรกลับไทยโดยตู้สาธารณะหยอดเหรียญนั่นล่ะ หมดไวเป็นบ้า โอว้ คิดในใจพวกเราจะโดนหลอกมั้ยเนี่ย แต่พี่ๆ ที่บริษัท CTI เค้าก็ติดต่อ พนักงานบนเรือที่เกี่ยวข้องให้แล้ว เค้าก็บอกว่าให้ไปขึ้นรถบัส แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ของเรือมาคอยรับที่ท่าเรือ อยากจะร้องไห้ ก็มันไม่ค่อยมีใครมันสื่อสารภาษาอังกฤษเลย จนพวกเราเดินไปถามที่เคาน์เตอร์รถแท็กซี่ เหมือนคุยจะเข้าใจกันดี ก็ด้วยความที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองคิดว่านั่งแท๊กซี่มันก็น่าจะโอเคกว่านั่งรถบัส และเรื่องของเรื่องก็ทางที่จอดรถบัสไม่เจอจริงๆ เลยตกลงว่านั่งแท็กซี่ไปท่าเรือ
แล้วพนักงานที่เค๊าน์เตอร์บอกว่าค่ารถเหมาไปเลย 50 ยูโร ตามที่เราเข้าใจกัน สามสาวเราก็ปรึกษากัน ก็โอเควะ 50 ก็ 50 ปะๆๆ

          พวกเราสามสาวก็พากันนั่งแท๊กซี่ ซึ่งแท๊กซี่ที่ว่าก็เป็นรถเบนซ์ซะด้วย วุ้ยยย อะไรจะมาดีแท้ๆๆ คิดในใจ แต่รถมันก็ไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไหร่หรอกนะ นั่งๆ ไปก็ดูวิวทิวทัศน์ไป มองหน้ากันไป เริ่มห่างและนานออกไป เออ มันก็ไกลเหมือนกันนะเนี่ย ระหว่างทางก็ชวนแท๊กซี่คุย ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปตามประสา และแล้วพวกเราก็ถึงท่าเรือ เฮ้ออออ โล่งอก  แต่เดี๋ยวก่อนจุดพีคอยู่ตรงนี้!!!!!

        หลังจากคนขับแท๊กซี่ช่วยยกกระเป๋าของเราทั้งสามลง แล้วเราก็กำลังควักตังค์ออกมาจ่ายค่ารถ ก็บอกเค้าไปว่า "นี่ 50 ยูโรนะคะ " แล้วคนขับก็บอกกับพวกเราว่า " ไม่ใช่ๆ !!!! 50 ยูโรนี่หมายถึง ต่อคนนะพวกเธอ  ทั้งหมด 3 คน ก็ 150 ยูโร นะครับ "
         โอ้ห่านเอ้ย!!! พวกเราโดนหลอกซะแล้วหรือว่าคุยกันไม่รู้เรื่องวะเนี่ย ได้แต่มองหน้ากัน ทำหน้าเศร้าๆ และมองดูที่กระเป๋าเงินตัวเอง ซึ่งก็ต่างพากันไม่ได้แลกตังค์กันมาเยอะเท่าไหร่ และแล้วก็ต้องจ่ายเงินให้คนขับไป และเหลือเงินติดตัวกันคนละไม่เท่าไหร่
งานก็ยังไม่ได้ทำ เงินก็ไม่มีสำรองละ เฮ้ออออออ ถอดหายใจยาวๆๆๆๆๆ Welcome to Italy!!! และตรูจะรอดมั้ยเนี่ย คิดในใจ

แล้วชีวิตและชะตากรรมของเราจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไปในคะ พาพันง่วง


(หน้าตาเราทั้งสามคนที่มาตายเอาดาบหน้าด้วยกัน โดน2สาวโวยแน่ๆ  555)

ตอนที่ 2 คลิกลิงค์นี้ค่ะ > http://ppantip.com/topic/35781776
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่