By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
หมายเหตุ บทความอาจเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์บางส่วน
ทิ้งช่วงนานถึง 10 พอดีสำหรับหนังสมุดมรณะอย่าง Death Note ที่นับตั้งแต่ปิดฉากลงใน Death Note: The Last Name ในปี 2006 จนตอนนี้ ได้มีหนังภาคต่อตามมาเสียที (ขอไม่นับ L: Change The World ที่เหมือนเป็นภาคแยกของ แอล แบบเดี่ยว ๆเสียมากกว่า)
Death Note: Light Up the New World ที่เป็นเรื่องราว 10 ปีให้หลังจากที่ ไลท์ ยางามิ หรือ คิระ ได้เสียชีวิต มีเดธโน้ตได้ตกลงมาที่โลกมนุษย์ 6 เล่มด้วยกัน โดยมีตัวละครหลัก 3 ตัวเป็นตัวแปล คือ ริวซากิ ทายาทผู้ที่มาสืบทอดเจตนารมณ์ของ แอล ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ชิเงน ผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ ที่หวังจะรวบรวมสมุดมรณะทั้งหมด เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของ ไลท์ ยางามิ และ มิชิมา นายตำรวจหนุ่มผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องสมุดมรณะ ตัวแปลทั้งสามต้องชิงไหวพริบและทำงานแข่งกับเวลาโดยมีเป้าหมายคือเพื่อแย่งชิงสมุดโน้ตทั้ง 6 เล่มไว้ครอบครอง เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง
- ไม่ว่าใครจะคิดถึงหนังชุดเดธโน้ตหรือไม่ ผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ดีใจมาก ๆเมื่อได้ยินข่าวว่าจะมีหนังภาคต่อออกมาอีก เพราะบุญเก่าหรือหนังสองภาคแรกสำหรับข้าพเจ้าเมื่อสิบปีก่อน ที่ในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยหัดดูหนังนั้นเป็นอะไรที่สนุกและประทับใจเหลือเกิน และอาจเพราะอ่านมังงะของเรื่องนี้ ที่ในเวลานั้นกำลังฮิตติดลมบนก็เป็นได้ (แต่เพื่อนบางคนบอกว่าดีสู้ฉบับมังงะไม่ได้ แต่เราว่าก็ดีคนละแบบ สรุปคือเถียงกันทั้งคาบเรียน จนโดนครูด่า จบ.)
- ในเมื่อภาคล่าสุด จะหันกลับมาเล่าเรื่องของเดธโน้ตแบบจริงจัง(ไม่ใช่ภาคแยกหรือแค่เรื่องที่เกี่ยวข้อง) และต่อกับสองภาคแรกจริง ๆแม้จะเป็นการแต่งเรื่องขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยไม่อิงเรื่องราวจากมังงะอีกแล้ว อย่างน้อยก็หวังในใจว่าผู้สร้างทีมเดิม (แต่เปลี่ยนผู้กำกับ) น่าจะสร้างสรรค์เรื่องราวมันส์ ๆ ให้ท่านได้ดูกันแน่ ๆ แต่ผลที่ออกมา.. กลับพบเจอแต่รอยร้าวเล็ก ๆเต็มไปหมด
- เพราะเนื้อหาใน 2 ภาคแรกนั้นมีเรื่องราวอันแข็งแรงและขยายโครงสร้างของเรื่องราวไปได้ไกลสุดกู่ (ก็อย่างที่คนอ่านมังงะรู้กันดี เพราะหลังจากแอลพลาดท่าให้ไลท์และตายไป ก็มีผู้สืบทอดมาสู้รบชิงไหวชิงพริบกับไลท์ต่อทันทีอีก 2 คน) ดังนั้นสิ่งที่ผู้สร้างต้องทำในหนังสองภาคแรก คือตัดทอน หรือรวบรัดเหตุการณ์หลาย ๆเหตุการณ์มารวมกันให้จบภายในหนังสองภาค หนังทั้งสองภาคจึงเข้มข้นและเปี่ยมด้วยข้อมูลและแผนต่าง ๆที่ขบเคี่ยวกัน นอกจากนั้นยังคิดง่าย ไม่เล่นท่ายากด้วยการเล่าอะไรเยอะแยะมากมายหลายประเด็น เพราะพี่แกยึดประเด็นการต่อสู้ทางความคิดของ ไลท์ และ แอล กันท่าเดียว เป็นจุดตั้งต้น และถือว่าคิดถูก เพราะคนดูที่เคยอ่านมังงะจะรู้ว่าเรื่องนี้มันสนุกมากก็เพราะสองคนนี้มันสู้กันด้วยปัญญานี่แหละ
- ปัญหาของภาคใหม่ คือการยัดประเด็น และสร้างเรื่องราวให้ดูใหญ่โตมากกก (ภาคนี้มีสมุด 6 เล่ม … สองภาคแรกมีแค่ 2 เล่ม กว่าจะปิดเกมส์กันได้แทบตายแล้วนะ) นอกจากนั้นยังไม่พอ เพราะพี่แกใส่ตัวละครหลักมาถึง 3ตัวด้วยกัน ปัญหาบังเกิดเมื่อหนังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความที่ (เหมือนจะ) ใหญ่โตของประเด็นในหนังได้ดีพอ ความใหญ่โตในเรื่องของ สมุดโน้ต 6 เล่ม ไม่ได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อหนัง เพราะเป็นเพียงเงื่อนไข บางอย่างที่จะทำให้หนังเดินต่อไปสู่จุดจบได้มากกว่า
- จริง ๆจะไม่มีปัญหามากนักหากระหว่างทางที่เดินไปสู่ไคลแมกซ์ หนังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวชิงไหวชิงพริบ ในแบบที่ละสายตาไม่ได้แบบที่หนังสองภาคแรกเคยทำได้ แต่กับภาคนี้ มันเต็มไปด้วยความล่องลอย ในแบบที่หาจุดยืนไม่ค่อยได้ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาด้านตัวละครและสถานการณ์ ที่ทำให้เกิดช่องโหว่ในระหว่างทางเพียบ ทั้งเหตุผลการกระทำ ตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องไปจนจบ เรามักเจอแต่เหตุผลที่ขัดแย้งกันเองในตัวเอง การตัดสินใจของแผนตัวละครที่เราถึงขั้นจะต้องคิดแบบหลอกตัวเองนิดหน่อยว่า “มันฉลาด มันเก่ง มันอาจจะมีแผนอะไรเหนือชั้นก็ได้” แต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไรสักอย่าง
- เพราะดูง่ายเกินและธรรมดามาก ๆ และเครื่องหมายคำถามถึงการกระทำตลอดเวลาว่า มันทำแบบนี้ทำไมวะ? ทำไมต้องปกปิดด้วยวะ? คิดจะทำการณ์ใหญ่ แต่โครตไม่รอบคอบเอาเสียเลย? ทุกอย่างมันดูง่าย ไร้อุปสรรค ขอเพียงให้เดินไปสู่ไคลแมกซ์นั้นได้ ทั้งสถานการณ์และตัวละครก็ดูพร้อมใจกันเอาความสมจริงออกไป และพาคนดูไปแบบ ง่าย ๆ งง ๆ
- ขอย้อนมาที่จุดแข็งของสองภาคแรกก่อน มันชัดเจนเหลือเกินว่าจุดแข็งที่ว่านั้นคือการต่อสู้ ไลท์ ยางามิ และ แอล นี่เป็นทั้งจุดแข็ง ประเด็นหลัก เรื่องราวหลัก ซึ่งมันแข็งแรงมากอยู่แล้วในตัวเอง ทั้งแคแรกเตอร์รวมถึงที่มาตัวละครและจุดประสงค์ของตัวละคร เมื่อภาคนี้ไม่มีสองตัวละครนี้อีกแล้ว แถมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูเป็นหนังแนวอาชญากรรมผู้ก่อการร้ายยุคใหม่เสียมากกว่าการต่อสู้ของสองอัจฉริยะ (ที่ความฉลาดนั้นไม่ได้เทียบเท่าไลท์และแอลเลยแม้แต่น้อย) สิ่งนั้นทำให้หนังเสียขบวน และหลงทางไป เมื่อหนังไม่สามารถทำให้คนดูได้รับในสิ่งที่เคยได้
- มิสะ อามาเนะ ตัวละครหลักจากสองภาคแรกเพียงตัวเดียวที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน ที่ได้ เอริกะ โทดะ กลับมารับบทเดิม (ที่ผ่านมาแล้วสิบปี ความน่ารักจางหายไปแต่ยังคงสวยน่ามองเหมือนเดิม) และมีบทบาทสำคัญกับเรื่องราวในภาคใหม่ แต่น่าเสียดายที่หนังภาคนี้ใช้ตัวละครตัวนี้ไม่คุ้มเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นตัวละครที่ยังคงมีความน่าสนใจที่สุดจากพื้นหลังตัวละครที่สะสมมาจากหนังสองภาคก่อน และเมื่อมิสะปรากฏตัวขึ้น ความน่าสนใจของหนังจะมากขึ้นทันที แต่หนังก็ใช้ไม่คุ้มเพราะให้น้ำหนักและเหตุผลตัวละครนี้น้อยเกินไป เหมือนปรากฏตัวขึ้นมา แล้วหนังก็ไม่สนใจใยดีอะไรนัก และจู่ ๆก็ใส่กลับเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์บางอย่างแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งคำถามคือ ช่วงก่อนหน้านี้ เธอไปทำอะไร ที่ไหน ยังไง ไม่มีใครรู้ หนังทำให้เธอหายสาบสูญไปแบบนี้และใส่กลับเข้ามาแบบจับยัด แล้วใครหน้าไหนจะไปเชื่อในการกระทำนั้นของเธอ?
- จริง ๆแล้วหนังภาคใหม่ถือเป็นหนังที่ดูสนุก มีความน่าติดตามพอสมควร เพราะอย่างน้อยหนังก็มีการคุมโทนได้ดีในแง่ของความเข้มข้น ซีเรียจจริงจัง แต่ด้วยปัญหาคือเรื่องราวที่มีช่องโหว่ และความไม่สมเหตุสมผลอยู่เยอะ ทำให้ลดทอนความสนุกของหนังไปมากโข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีข้อเปรียบเทียบของสองภาคก่อนที่ทำไว้ดีมาก (โดยเฉพาะในเรื่องบทภาพยนตร์และการต่อสู้ด้วยชั้นเชิงแบบโครตฉลาดของไลท์และแอล)
- นอกจากนั้น หากได้ดูแล้ว คงจะรู้สึกว่า เดทโน้ต นั้นไม่ใช่สมุดมรณะสำหรับการประชันความฉลาดอีกต่อไปแล้ว เมื่อมันกลายเป็นหนังอาชญากรรมโดยมีเดทโน้ตเป็นตัวกลาง ไม่ใช่การต่อสู้ของคนสองฝ่ายอีกต่อไป แต่มันคือการส่งต่อในฐานะทายาท แต่ทายาทจะทำอะไรต่อไปนั้น ไปเดาต่อเอาเอง หรือหากหนังภาคนี้ทำรายได้เป็นที่น่าพอใจของผู้สร้าง เราก็คงได้เห็น Death Note ภาค 4 กันต่อไปอย่างแน่นอน
ป.ล. ควรไปย้อนดูสองภาคแรกก่อนเพื่อความอิน และควรไปทวนความจำเกี่ยวกับกฏต่าง ๆของเดทโน้ตด้วย มิฉะนั้นอาจจะงง (เพราะจำไม่ได้) เหมือนข้าพเจ้านั้นเอง จบ.
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB : M Pictures Co.,Ltd
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว Death Note: Light Up the New World : เจ้าคือทายาทคนต่อไป ..
By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
หมายเหตุ บทความอาจเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์บางส่วน
ทิ้งช่วงนานถึง 10 พอดีสำหรับหนังสมุดมรณะอย่าง Death Note ที่นับตั้งแต่ปิดฉากลงใน Death Note: The Last Name ในปี 2006 จนตอนนี้ ได้มีหนังภาคต่อตามมาเสียที (ขอไม่นับ L: Change The World ที่เหมือนเป็นภาคแยกของ แอล แบบเดี่ยว ๆเสียมากกว่า)
Death Note: Light Up the New World ที่เป็นเรื่องราว 10 ปีให้หลังจากที่ ไลท์ ยางามิ หรือ คิระ ได้เสียชีวิต มีเดธโน้ตได้ตกลงมาที่โลกมนุษย์ 6 เล่มด้วยกัน โดยมีตัวละครหลัก 3 ตัวเป็นตัวแปล คือ ริวซากิ ทายาทผู้ที่มาสืบทอดเจตนารมณ์ของ แอล ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ชิเงน ผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ ที่หวังจะรวบรวมสมุดมรณะทั้งหมด เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของ ไลท์ ยางามิ และ มิชิมา นายตำรวจหนุ่มผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องสมุดมรณะ ตัวแปลทั้งสามต้องชิงไหวพริบและทำงานแข่งกับเวลาโดยมีเป้าหมายคือเพื่อแย่งชิงสมุดโน้ตทั้ง 6 เล่มไว้ครอบครอง เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง
- ไม่ว่าใครจะคิดถึงหนังชุดเดธโน้ตหรือไม่ ผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ดีใจมาก ๆเมื่อได้ยินข่าวว่าจะมีหนังภาคต่อออกมาอีก เพราะบุญเก่าหรือหนังสองภาคแรกสำหรับข้าพเจ้าเมื่อสิบปีก่อน ที่ในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยหัดดูหนังนั้นเป็นอะไรที่สนุกและประทับใจเหลือเกิน และอาจเพราะอ่านมังงะของเรื่องนี้ ที่ในเวลานั้นกำลังฮิตติดลมบนก็เป็นได้ (แต่เพื่อนบางคนบอกว่าดีสู้ฉบับมังงะไม่ได้ แต่เราว่าก็ดีคนละแบบ สรุปคือเถียงกันทั้งคาบเรียน จนโดนครูด่า จบ.)
- ในเมื่อภาคล่าสุด จะหันกลับมาเล่าเรื่องของเดธโน้ตแบบจริงจัง(ไม่ใช่ภาคแยกหรือแค่เรื่องที่เกี่ยวข้อง) และต่อกับสองภาคแรกจริง ๆแม้จะเป็นการแต่งเรื่องขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยไม่อิงเรื่องราวจากมังงะอีกแล้ว อย่างน้อยก็หวังในใจว่าผู้สร้างทีมเดิม (แต่เปลี่ยนผู้กำกับ) น่าจะสร้างสรรค์เรื่องราวมันส์ ๆ ให้ท่านได้ดูกันแน่ ๆ แต่ผลที่ออกมา.. กลับพบเจอแต่รอยร้าวเล็ก ๆเต็มไปหมด
- เพราะเนื้อหาใน 2 ภาคแรกนั้นมีเรื่องราวอันแข็งแรงและขยายโครงสร้างของเรื่องราวไปได้ไกลสุดกู่ (ก็อย่างที่คนอ่านมังงะรู้กันดี เพราะหลังจากแอลพลาดท่าให้ไลท์และตายไป ก็มีผู้สืบทอดมาสู้รบชิงไหวชิงพริบกับไลท์ต่อทันทีอีก 2 คน) ดังนั้นสิ่งที่ผู้สร้างต้องทำในหนังสองภาคแรก คือตัดทอน หรือรวบรัดเหตุการณ์หลาย ๆเหตุการณ์มารวมกันให้จบภายในหนังสองภาค หนังทั้งสองภาคจึงเข้มข้นและเปี่ยมด้วยข้อมูลและแผนต่าง ๆที่ขบเคี่ยวกัน นอกจากนั้นยังคิดง่าย ไม่เล่นท่ายากด้วยการเล่าอะไรเยอะแยะมากมายหลายประเด็น เพราะพี่แกยึดประเด็นการต่อสู้ทางความคิดของ ไลท์ และ แอล กันท่าเดียว เป็นจุดตั้งต้น และถือว่าคิดถูก เพราะคนดูที่เคยอ่านมังงะจะรู้ว่าเรื่องนี้มันสนุกมากก็เพราะสองคนนี้มันสู้กันด้วยปัญญานี่แหละ
- ปัญหาของภาคใหม่ คือการยัดประเด็น และสร้างเรื่องราวให้ดูใหญ่โตมากกก (ภาคนี้มีสมุด 6 เล่ม … สองภาคแรกมีแค่ 2 เล่ม กว่าจะปิดเกมส์กันได้แทบตายแล้วนะ) นอกจากนั้นยังไม่พอ เพราะพี่แกใส่ตัวละครหลักมาถึง 3ตัวด้วยกัน ปัญหาบังเกิดเมื่อหนังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความที่ (เหมือนจะ) ใหญ่โตของประเด็นในหนังได้ดีพอ ความใหญ่โตในเรื่องของ สมุดโน้ต 6 เล่ม ไม่ได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อหนัง เพราะเป็นเพียงเงื่อนไข บางอย่างที่จะทำให้หนังเดินต่อไปสู่จุดจบได้มากกว่า
- จริง ๆจะไม่มีปัญหามากนักหากระหว่างทางที่เดินไปสู่ไคลแมกซ์ หนังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวชิงไหวชิงพริบ ในแบบที่ละสายตาไม่ได้แบบที่หนังสองภาคแรกเคยทำได้ แต่กับภาคนี้ มันเต็มไปด้วยความล่องลอย ในแบบที่หาจุดยืนไม่ค่อยได้ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาด้านตัวละครและสถานการณ์ ที่ทำให้เกิดช่องโหว่ในระหว่างทางเพียบ ทั้งเหตุผลการกระทำ ตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องไปจนจบ เรามักเจอแต่เหตุผลที่ขัดแย้งกันเองในตัวเอง การตัดสินใจของแผนตัวละครที่เราถึงขั้นจะต้องคิดแบบหลอกตัวเองนิดหน่อยว่า “มันฉลาด มันเก่ง มันอาจจะมีแผนอะไรเหนือชั้นก็ได้” แต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไรสักอย่าง
- เพราะดูง่ายเกินและธรรมดามาก ๆ และเครื่องหมายคำถามถึงการกระทำตลอดเวลาว่า มันทำแบบนี้ทำไมวะ? ทำไมต้องปกปิดด้วยวะ? คิดจะทำการณ์ใหญ่ แต่โครตไม่รอบคอบเอาเสียเลย? ทุกอย่างมันดูง่าย ไร้อุปสรรค ขอเพียงให้เดินไปสู่ไคลแมกซ์นั้นได้ ทั้งสถานการณ์และตัวละครก็ดูพร้อมใจกันเอาความสมจริงออกไป และพาคนดูไปแบบ ง่าย ๆ งง ๆ
- ขอย้อนมาที่จุดแข็งของสองภาคแรกก่อน มันชัดเจนเหลือเกินว่าจุดแข็งที่ว่านั้นคือการต่อสู้ ไลท์ ยางามิ และ แอล นี่เป็นทั้งจุดแข็ง ประเด็นหลัก เรื่องราวหลัก ซึ่งมันแข็งแรงมากอยู่แล้วในตัวเอง ทั้งแคแรกเตอร์รวมถึงที่มาตัวละครและจุดประสงค์ของตัวละคร เมื่อภาคนี้ไม่มีสองตัวละครนี้อีกแล้ว แถมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูเป็นหนังแนวอาชญากรรมผู้ก่อการร้ายยุคใหม่เสียมากกว่าการต่อสู้ของสองอัจฉริยะ (ที่ความฉลาดนั้นไม่ได้เทียบเท่าไลท์และแอลเลยแม้แต่น้อย) สิ่งนั้นทำให้หนังเสียขบวน และหลงทางไป เมื่อหนังไม่สามารถทำให้คนดูได้รับในสิ่งที่เคยได้
- มิสะ อามาเนะ ตัวละครหลักจากสองภาคแรกเพียงตัวเดียวที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน ที่ได้ เอริกะ โทดะ กลับมารับบทเดิม (ที่ผ่านมาแล้วสิบปี ความน่ารักจางหายไปแต่ยังคงสวยน่ามองเหมือนเดิม) และมีบทบาทสำคัญกับเรื่องราวในภาคใหม่ แต่น่าเสียดายที่หนังภาคนี้ใช้ตัวละครตัวนี้ไม่คุ้มเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นตัวละครที่ยังคงมีความน่าสนใจที่สุดจากพื้นหลังตัวละครที่สะสมมาจากหนังสองภาคก่อน และเมื่อมิสะปรากฏตัวขึ้น ความน่าสนใจของหนังจะมากขึ้นทันที แต่หนังก็ใช้ไม่คุ้มเพราะให้น้ำหนักและเหตุผลตัวละครนี้น้อยเกินไป เหมือนปรากฏตัวขึ้นมา แล้วหนังก็ไม่สนใจใยดีอะไรนัก และจู่ ๆก็ใส่กลับเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์บางอย่างแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งคำถามคือ ช่วงก่อนหน้านี้ เธอไปทำอะไร ที่ไหน ยังไง ไม่มีใครรู้ หนังทำให้เธอหายสาบสูญไปแบบนี้และใส่กลับเข้ามาแบบจับยัด แล้วใครหน้าไหนจะไปเชื่อในการกระทำนั้นของเธอ?
- จริง ๆแล้วหนังภาคใหม่ถือเป็นหนังที่ดูสนุก มีความน่าติดตามพอสมควร เพราะอย่างน้อยหนังก็มีการคุมโทนได้ดีในแง่ของความเข้มข้น ซีเรียจจริงจัง แต่ด้วยปัญหาคือเรื่องราวที่มีช่องโหว่ และความไม่สมเหตุสมผลอยู่เยอะ ทำให้ลดทอนความสนุกของหนังไปมากโข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีข้อเปรียบเทียบของสองภาคก่อนที่ทำไว้ดีมาก (โดยเฉพาะในเรื่องบทภาพยนตร์และการต่อสู้ด้วยชั้นเชิงแบบโครตฉลาดของไลท์และแอล)
- นอกจากนั้น หากได้ดูแล้ว คงจะรู้สึกว่า เดทโน้ต นั้นไม่ใช่สมุดมรณะสำหรับการประชันความฉลาดอีกต่อไปแล้ว เมื่อมันกลายเป็นหนังอาชญากรรมโดยมีเดทโน้ตเป็นตัวกลาง ไม่ใช่การต่อสู้ของคนสองฝ่ายอีกต่อไป แต่มันคือการส่งต่อในฐานะทายาท แต่ทายาทจะทำอะไรต่อไปนั้น ไปเดาต่อเอาเอง หรือหากหนังภาคนี้ทำรายได้เป็นที่น่าพอใจของผู้สร้าง เราก็คงได้เห็น Death Note ภาค 4 กันต่อไปอย่างแน่นอน
ป.ล. ควรไปย้อนดูสองภาคแรกก่อนเพื่อความอิน และควรไปทวนความจำเกี่ยวกับกฏต่าง ๆของเดทโน้ตด้วย มิฉะนั้นอาจจะงง (เพราะจำไม่ได้) เหมือนข้าพเจ้านั้นเอง จบ.
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB : M Pictures Co.,Ltd
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ