เป็นคำบอกเล่าของ “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี” พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะกรรมการสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้เข้าเฝ้าฯทูลถามถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ณ พระราชตำหนักวังสุโขทัย ซึ่งมีเรื่องราวที่น่ารู้เป็นอย่างยิ่งโดยบันทึกไว้ในหนังสือเบื้องแรกประชาธิปไตย จัดทำโดยสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2516
ในขณะที่เหตุการณ์ยึดอำนาจเกิดขึ้นในเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในกรุงเทพฯนั้น เป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแปรพระราชฐานประทับไปอยู่ที่ วังไกลกังวล หัวหิน และในเช้าวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีทรงกอล์ฟอยู่ท่ามกลางบรรดาข้าราชบริพาร
ต่อมาในหลวงก็ทรงได้รับโทรเลข มีความว่าทางกรุงเทพฯได้ส่งเรือรบมาทูลเชิญเสด็จกลับ ในหลวงก็รับสั่งว่า มาก็มาซิ หลังจากนั้นเป็นเวลาเที่ยงเศษ หลวงศุภชลาศัยก็มาถึง พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (สมุหราชองครักษ์) สั่งให้ปลดอาวุธเสียก่อน จึงจะให้เข้าเฝ้าฯ
“เมื่อฉันรู้เรื่องจากในหลวง ฉันก็บอกว่าไม่ไปหรอก ยังไงก็ไม่ไป ตายก็ตายอยู่แถวนี้ ท่านก็รับสั่งว่า ตกลงว่าจะกลับ...”
“ตอนนั้นเรามีเรือยนต์พระที่นั่งอยู่ขนาดเล็ก ก็ตกลงออกเรือกันตอนกลางคืน มีทหารรักษาวังไปด้วย มีปืนกลไฟพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางก็ทรงคิดว่าจะเรียบร้อยหมดทุกอย่าง แต่คลื่นมันเหลือเกิน อาวุธตกน้ำเกือบหมด พอเรือไปได้หน่อยก็เห็นเรือยามฝั่งมา ก็ว่า เอ๊ะ เห็นจะไม่ได้การ ก็เตรียมตัวสู้กันละ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่พอเรือเข้ามาใกล้ เขาก็ให้สัญญาณว่ามาโดยความหวังดี จะมารับใช้
พอโผล่เข้ามา ในหลวงก็รับสั่งว่าขอบใจมาก กลับไปเถอะ ไม่ต้องมาหรอก ฉันจะไปเอง แล้วก็แล่นเรือกันต่อไป
พวกที่อยู่ในเรือ ตกกลางคืนก็ไม่ได้นอนหรอก นั่งดูกันจนกระทั่งเกือบสว่าง เรือเกือบถึงชุมพรแล้ว เกิดน้ำมันในเรือหมด ก็ตัดสินใจเข้าฝั่ง อาหารก็ไม่มีด้วยเหมือนกัน ก็ส่งคนขึ้นไป 3 คนให้ไปหาพระราชญาติรักษาเป็นเจ้าเมืองชุมพรอยู่ในขณะนั้น ให้ไปขอน้ำมัน”
มเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าไว้ว่า เมื่อได้น้ำมันและอาหารมาแล้วก็ออกเดินทางต่อ และเดินทางไปสักครึ่งทางเห็นจะได้ เรืออีสต์เอเชียติกซึ่งเป็นเรือขนสินค้าธรรมดานี่แหละ เราก็เลยหาทางเรียกให้เขาหยุด เพราะเราคงจะไปไม่ถึงสงขลาแน่ ขอให้ทางเรือเขารับพวกเราไปส่งสงขลา ก็เป็นอันตกลงกัน และเดินทางไปจนใกล้สงขลาก็เห็นเรือรบสองลำตามมา กัปตันเขาก็ถามว่าจะให้แล่นเลยไปส่งที่สิงคโปร์ไหม เราก็บอกว่าไม่ต้อง ทางเรือรบเขาก็ให้สัญญาณมาว่า จะมาอารักขาพระองค์ ไม่ได้มาทำอันตรายอะไรหรอก ในหลวงท่านก็บอกว่า ก็ดี แต่จะไปเอง
เมื่อเสด็จฯถึงสงขลาแล้วก็ประทับที่เขาตำหนักน้อยส่วนกลุ่มที่มาทางรถไฟนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าว่า “ก่อนที่รถไฟจะแล่นถึงประจวบฯนั้นมีการสั่งการให้ระเบิดสะพานรถไฟเสีย แต่คนที่ได้รับคำสั่งไม่ยอมทำตาม ต่อเมื่อรถไฟแล่นผ่านไปแล้วจึงได้ระเบิด ทุกคนก็รอดมาได้”
สำหรับความรู้สึกส่วนพระองค์นั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงเล่าว่า
“ฉันไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน...”
ที่มา
http://kingprajadhipokstudy.blogspot.com/2011/06/blog-post_06.html
“ฉันไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน” - สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ พระบรมราชินี
ในขณะที่เหตุการณ์ยึดอำนาจเกิดขึ้นในเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในกรุงเทพฯนั้น เป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแปรพระราชฐานประทับไปอยู่ที่ วังไกลกังวล หัวหิน และในเช้าวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีทรงกอล์ฟอยู่ท่ามกลางบรรดาข้าราชบริพาร
ต่อมาในหลวงก็ทรงได้รับโทรเลข มีความว่าทางกรุงเทพฯได้ส่งเรือรบมาทูลเชิญเสด็จกลับ ในหลวงก็รับสั่งว่า มาก็มาซิ หลังจากนั้นเป็นเวลาเที่ยงเศษ หลวงศุภชลาศัยก็มาถึง พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (สมุหราชองครักษ์) สั่งให้ปลดอาวุธเสียก่อน จึงจะให้เข้าเฝ้าฯ
“เมื่อฉันรู้เรื่องจากในหลวง ฉันก็บอกว่าไม่ไปหรอก ยังไงก็ไม่ไป ตายก็ตายอยู่แถวนี้ ท่านก็รับสั่งว่า ตกลงว่าจะกลับ...”
“ตอนนั้นเรามีเรือยนต์พระที่นั่งอยู่ขนาดเล็ก ก็ตกลงออกเรือกันตอนกลางคืน มีทหารรักษาวังไปด้วย มีปืนกลไฟพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางก็ทรงคิดว่าจะเรียบร้อยหมดทุกอย่าง แต่คลื่นมันเหลือเกิน อาวุธตกน้ำเกือบหมด พอเรือไปได้หน่อยก็เห็นเรือยามฝั่งมา ก็ว่า เอ๊ะ เห็นจะไม่ได้การ ก็เตรียมตัวสู้กันละ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่พอเรือเข้ามาใกล้ เขาก็ให้สัญญาณว่ามาโดยความหวังดี จะมารับใช้
พอโผล่เข้ามา ในหลวงก็รับสั่งว่าขอบใจมาก กลับไปเถอะ ไม่ต้องมาหรอก ฉันจะไปเอง แล้วก็แล่นเรือกันต่อไป
พวกที่อยู่ในเรือ ตกกลางคืนก็ไม่ได้นอนหรอก นั่งดูกันจนกระทั่งเกือบสว่าง เรือเกือบถึงชุมพรแล้ว เกิดน้ำมันในเรือหมด ก็ตัดสินใจเข้าฝั่ง อาหารก็ไม่มีด้วยเหมือนกัน ก็ส่งคนขึ้นไป 3 คนให้ไปหาพระราชญาติรักษาเป็นเจ้าเมืองชุมพรอยู่ในขณะนั้น ให้ไปขอน้ำมัน”
มเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าไว้ว่า เมื่อได้น้ำมันและอาหารมาแล้วก็ออกเดินทางต่อ และเดินทางไปสักครึ่งทางเห็นจะได้ เรืออีสต์เอเชียติกซึ่งเป็นเรือขนสินค้าธรรมดานี่แหละ เราก็เลยหาทางเรียกให้เขาหยุด เพราะเราคงจะไปไม่ถึงสงขลาแน่ ขอให้ทางเรือเขารับพวกเราไปส่งสงขลา ก็เป็นอันตกลงกัน และเดินทางไปจนใกล้สงขลาก็เห็นเรือรบสองลำตามมา กัปตันเขาก็ถามว่าจะให้แล่นเลยไปส่งที่สิงคโปร์ไหม เราก็บอกว่าไม่ต้อง ทางเรือรบเขาก็ให้สัญญาณมาว่า จะมาอารักขาพระองค์ ไม่ได้มาทำอันตรายอะไรหรอก ในหลวงท่านก็บอกว่า ก็ดี แต่จะไปเอง
เมื่อเสด็จฯถึงสงขลาแล้วก็ประทับที่เขาตำหนักน้อยส่วนกลุ่มที่มาทางรถไฟนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าว่า “ก่อนที่รถไฟจะแล่นถึงประจวบฯนั้นมีการสั่งการให้ระเบิดสะพานรถไฟเสีย แต่คนที่ได้รับคำสั่งไม่ยอมทำตาม ต่อเมื่อรถไฟแล่นผ่านไปแล้วจึงได้ระเบิด ทุกคนก็รอดมาได้”
สำหรับความรู้สึกส่วนพระองค์นั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงเล่าว่า “ฉันไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน...”
ที่มา http://kingprajadhipokstudy.blogspot.com/2011/06/blog-post_06.html