"Traveling is my passion"
Facing your fear, seeking new things, learning diverse cultures and being yourself.

สำหรับเราการเดินการทาง คือการค้นหาสิ่งใหม่ เพื่อนใหม่ วัฒนธรรมที่แตกต่าง สถาปัตยกรรมที่สวยงาม และทำให้เรารู้ว่าโลกมันกว้างและมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด

พวกเรากลับมาอีกละค่ะกับการเดินทางครั้งใหม่ หลังจากที่เราเคยพาเพื่อนๆไปเที่ยว Croatia กันมาแล้ว
(เข้าไปอ่านกันได้ที่ link นี้นะคะ >>> http://ppantip.com/topic/35389126)

สำหรับแพลนเที่ยวคร่าวๆเป็นตามนี้
Chapter 1 Paris >>> http://ppantip.com/topic/35690725
Chapter 2 Luxembourg + Trier, Cochem (Germany) >>> http://ppantip.com/topic/35740409
Chapter 3 Belgium(Brugge, Ghent, Antwerp, Brussel) >>> NOW!!
Chapter 4 Netherland(Giethoorn, Amsterdam, Zaanse Schans) >>> http://ppantip.com/topic/35880690

วันนี้ตื่นเช้ามาพร้อมอากาศย่ำแย่ที่สุดของทริปนี้ ฝนตกลมแรงมาก ช่างไม่เหมาะกับชุดหน้าร้อนที่พวกเราเตรียมมาเลยจริงๆ แถมวันนี้พวกเราต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปต่อที่ Belgium ค่ะ มาเริ่มต้นวันที่หนาวสั่นไปพร้อมๆกัน  พวกเราใช้เวลาประมาณ3ชั่วโมงกว่าๆจาก Luxembourg (Lu) ไปถึง Bruxelles-Midi (Be)
ตอนที่พวกเรามาถึงที่สถานี Bruxelles-Midi พวกเราต้องต่อ tram เผื่อจะไปโรงแรมกัน แต่พวกเราหา tram สายที่เราจะไปไม่เจอ โชคดีที่เดินไปถามทางคุณป้าคนนึงเป็นคนแขก คุณป้าพูดภาษาอังกฤษกับพวกเราไม่ได้แล้วก็ดูงงๆกับสิ่งที่เราถาม ได้แต่ถามคนนู้นคนนี้ให้เราไปทั่วแล้วกวักมือเรียกให้เราพวกเราเดินตาม สาบานได้ว่าตอนแรกพวกเรารู้สึกว่าอาจเป็นพวกที่พาเดินไปหาทางแล้วก็ขอเงินจากเราเป็นค่าตอบแทนเหมือนตามที่พวกเราได้อ่านหนังสือไกด์บุ้คบอกนั้นละคะ แต่จะไม่ให้พวกเราระแวงได้ไงคุณป้าเล่นเปลี่ยนเส้นทางที่เหมือนคุณป้าจะไปแล้วแตะบัตรโดยสารเข้ามาส่งเราในสถานีแถมนั่งรถโดยสารไปกับเราจนถึงป้ายที่เราต้องลง แต่พอเห็นคุณป้าแค่อยากมาส่งเฉยๆ พวกเราได้แต่รู้สึกผิดในใจและขอบคุณคุณป้าผู้ใจดีคนนั้นออกมาดังๆ ขอบคุณมากนะคะ บางทีคนดีดๆก็มีอยู่เยอะแล้วแต่ใครจะเจอเหมือนที่พวกเราเจอค่ะ


ฝนไม่มีวี่แววจะหยุดตกง่ายๆเลยในวันนี้ พวกเราจึงเปลี่ยนเส้นทางว่าจะไปหาอะไรกินกันที่ร้านดังร้านหนึ่งแทนตามที่เพื่อนได้หาข้อมูลเป็นแผนสำรองไว้ก่อนหน้านี้ เพราะว่าพวกเราลองแวะไปเดินเล่น The Grand Place แล้วต้องสู้รบกับทั้งฝนและลม จึงต้องขอบายวันนี้ไปก่อนจริงๆ เพราะงั้นไปหาของกินกันก่อนดีกว่า แต่เพื่อนเราดันไม่ได้ปักหมุดร้านนี้มา พวกเราสองคนก็ไม่ได้เปิดเน็ตมา เราเลยเข้ามาแถวร้าน brand name ดูตามร้านพวกนี้มักจะมี wifi fee กันนะคะ ถ้าใครเป็นแบบพวกเราก็มายืมใช้wifi หน้าร้านได้เลยค่ะ


ร้านนี้แนะนำเลยค่ะ ไม่มีผิดหวัง นอกจากคุณลุงจะบริการและแนะนำรายการอาหารเป็นอย่างดี อาหารที่นี่ก็อร่อยคุ้มค่ากับราคาจริงๆ วันต่อๆมาได้ลองกินร้านอื่นในละแวกนั้นบอกเลยว่าสู้ร้านนี้ไม่ได้ทั้งรสชาติและการบริการเพราะง้นถ้าใครมาที่ Brussel แนะนำร้านนี้ค่ะ Chez Leon, Brussells


วันนี้พวกเราพามาบุกเมืองที่ได้รับสมญานามว่า เวนิส แห่งภาคเหนือ เพราะว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยลำคลองอันสวยงามซึ่งก็คือเมือง “Brugge” นั่นเอง


Brugge เป็นเมืองทางตอนเหนือของ Belgium ถือเป็นเมืองที่มีขนาดเล็กและมีเสน่ห์อีกแบบที่ไม่เหมือนเมืองอื่นๆในยุโรป



อย่างแรกที่พวกเรามาถึงแล้วสัมผัสได้ทันทีคงเป็นตัวบ้านเรือนของที่นี่ เหมือนเราอยู่ในการ์ตูนจริงๆ แค่เริ่มเดินเข้ามาก็เจอบ้านทรงอิฐสีส้ม หรือไม่ก็มีผนังสีที่ค่อนข้างคุมโทนไปทั้งเมือง ส้มอิฐ ขาว ครีม ดูสะอาดตาและก็น่ารักมาก




ขนาดสถาปัตยกรรมของที่นี่ยังมีส่วนประกอบเป็นอิฐและคุมโทนตามไปด้วย



จักรยานเป็นที่นิยมไปในหลายๆเมืองในยุโรปรวมถึงที่เมืองนี้ด้วย



แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้เงียบสงบขนาดไม่มีของขายขนาดนั้นนะคะ เพราะมีถนนหลายเส้นหรือเส้นที่พวกเรากำลังเดินอยู่นี้ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีร้านค้าเรียงรายให้เลือกช้อปกันได้เพรียบเลย


Grote Mark ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Brugge โดยที่เห็นในรูปนี้เป็นศาลของที่นี่ เป็นการสร้างในสไตล์ Gothic ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทนของเดิมที่ถูกไฟไหม้ไป



ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องของช็อคโกแลต จะเห็นได้ว่ามีส่วนประกอบและช็อคโกแลตขายอยู่เรียงรายหลายร้านให้ได้เลือกซื้อกัน และบริเวณนี้เหมือนเป็นตลาดกลางของที่นี่มีไว้ให้นักช้อปมาจับจ่ายใช้สอย และมีร้านอาหารให้เลือกชิมหลายร้าน


ส่วนอันนี้เป็นเหมือนหอระฆังของเมือง Brugge ซึ่งในส่วนตอนบนของหอระฆังหลังนี้สูงถึง 83 เมตร ตีทีเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งเมือง



เมือง Brugge ถือเป็นเมืองที่มีคลองล้อมรอบและมีกำแพงเมืองปิดล้อมรอบอีกชั้น ถือเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้อีกอย่าง เพราะเหมือนพวกเราทะลุเข้ามาอีกโลกนีง เป็นเมืองที่เรารู้สึกว่าเหมาะกับการอยู่อาศัยมากๆ เงียบสงบแต่แฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์



แน่นอนว่ากิจกรรมยอดฮิตสำหรับคนเมืองนี้ก็คือ การล่องเรือชมเมือง ถึงน้ำจะดำไปนิดแต่ก็ได้เสน่ห์ในแง่การใช้ชีวิตอยู่จริงๆของคนที่นี้ ดู real ไปอีกแบบ



สำหรับพวกเรา เราว่าเมืองนี้ถูกดึงดูดด้วยสิ่งปลูกสร้างจากอิฐก้อนเล็กที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนของเมืองก็จะเจอสีของมันไปในทางเดียวกัน ความเงียบสงบและการใช้ชีวิตอยู่ของคนกับคลองของเมืองนี้มีเสน่ห์มากๆ



ร้านวาฟเฟิล ร้านขนมและร้านขายของตามทางก็ยังคงดึงดูดพวกเราให้เข้าไปแวะเวียนได้เสมอ



ก่อนออกจากเมืองนี้เราขอแวะกันที่สวนสักหน่อย เขียวขจี สดชื่น ชุ่มปอดไปกับอากาศที่นี่จริงๆ



สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ชอบเมืองเล็กๆที่มีบรรยากาศอบอุ่นและยังคงเสน่ห์ความดั่งเดิมของเมืองไว้ได้เป็นอย่างดีแล้วละก็คงต้องรีบลิสเมืองนี้ไว้ในใจ เพราะพวกเราขอแนะนำว่าถ้าใครได้มาแล้วรับรองว่าจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเมือง Brugge เหมือนพวกเรา