เป็นการกลับมาอีกครั้งของภาพยนตร์ฉบับ live action ของ Death Note ที่สร้างจากมังงะชื่อดังของญี่ปุ่น ซึ่งกล่าวถึงชายหนุ่มที่ได้รับสมุดโน้ตของยมทูต (เดธโน้ต) โดยบังเอิญ แล้วใช้มันฆ่าอาชญากรทั่วโลกเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์ ตั้งตนเองเป็นพระเจ้าผู้มุ่งสร้างโลกใหม่ในนาม “คิระ” จนกลายเป็นเรื่องราวสืบสวนไล่ล่า ที่สะท้อนความคิดของมนุษย์ในการตัดสินต่อผู้กระทำผิด และทัศนคติที่มองโลกที่ปราศจากความเลวร้ายได้อย่างเข้มข้น จนทำให้มีการขบคิดกันมากมายว่า ฝ่ายตำรวจที่พยายามไล่ล่าคิระเพราะทำผิดกฎหมาย กับคิระที่ใช้การฆ่าเพื่อทำให้โลกสงบสุข ใครเป็นฝ่ายถูกต้องกันแน่
ภาพยนตร์ Death Note ของเดิมนั้นมีการออกฉายไปในปี 2006 มีเรื่องราวอ้างอิงจากหนังสือการ์ตูนต้นฉบับพอสมควร แต่ก็นำเรื่องราวไปสู่จุดจบที่คล้ายคลึงกันคือสามารถหยุดยั้งการพิพากษาอาชญากรของคิระได้สำเร็จ ทว่า 10 ปีผ่านไป ก็ได้มีความตั้งใจที่จะสานต่อจักรวาลของ Death Note ฉบับภาพยนตร์ขึ้นใหม่ โดยเปิดเรื่องด้วยการที่ยมโลกได้ส่งเดธโน้ตมายังโลกอีกครั้งพร้อมกันถึง 6 เล่มเลยทีเดียว ส่งผลให้คิระกำเนิดใหม่โดยน้ำมือของมนุษย์ผู้ครองเดธโน้ตคนใดคนหนึ่ง การไล่ล่าระหว่างตำรวจและคิระจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
จุดที่น่าสนใจคือการสร้างโจทย์ใหม่ ๆ ของจักรวาลเดธโน้ตครับ ไม่ว่าจะเป็นการมีอยู่ของโน้ตถึง 6 เล่ม (แน่นอนว่าก็จะหมายถึงผู้ครอบครองหลายคนเช่นกัน) หรือการที่เนื้อเรื่องดำเนินด้วยตัวละครหลักตัวใหม่ ๆ มากมาย แต่ก็ล้วนเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวละครเดิม ๆ ในภาพยนตร์ภาคก่อน ๆ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ฝ่ายตำรวจที่ร่วมงานกับผู้สืบทอดนักสืบ L และอาชญากรที่บูชาคิระ ซึ่งทั้งสามต่างมีเป้าหมายที่จะตามล่าหาตัวผู้ครองเดธโน้ต และครอบครองเดธโน้ตให้ได้ทั้ง 6 เล่มด้วยจุดประสงค์ที่ไม่เหมือนกัน
จากจุดนี้ทำให้วิธีการดำเนินเรื่องก็แตกต่างจากภาพยนตร์ภาคก่อน ๆ อยู่มากครับ เพราะไม่ใช่เพียงการตามล่าสืบหาตัวจริงของคิระอย่างเดียวแล้ว แต่กลับเป็นการใช้ปัจจัยที่ตนเองมีอยู่เพื่อรวบรวมเดธโน้ตอีกด้วย การใช้กลลับลวงพรางที่เป็นเสน่ห์เดิม ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นแนวภาพยนตร์ตำรวจไล่ล่าค่อนข้างเต็มรูปแบบ
จนน่าประหลาดใจว่า เล่นใหญ่ขนาดนี้ ภาพยนตร์ความยาว 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งนั้น มันจะไหวไหม !?
ผลออกมาก็ต่างจากที่คาดไว้อยู่เยอะครับ เพราะภายใต้โจทย์ที่มีเดธโน้ตถึง 6 เล่ม แต่จำเป็นต้องเดินเรื่องผ่านตัวละครแค่ 2 ฝ่ายหลัก ๆ ทำให้จุดเด่นที่เดธโน้ตทั้ง 6 นั้นกระจายไปทั่วโลก ถูกนำเสนอเป็นเพียงแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น แม้ว่าจะมีการโปรโมตว่าบางฉากได้ไปถ่ายทำถึงรัสเซีย เมื่อเอาเข้าจริง ฉากที่ว่าก็กลับเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้คุ้มค่ากับการลงทุนเหล่านั้นสักเท่าไหร่ รวมถึงปมอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับเดธโน้ตที่กระจายไปทั่วโลกทั้ง 6 เล่มนั้น ก็มีสัดส่วนน้อยเหลือเกินถ้าเทียบกับเนื้อหาหลักของภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เพราะน้ำหนักที่เหลือถูกเน้นลงไปที่ความเชื่อมโยงระหว่างตัวละครหลักในเรื่องบนโปสเตอร์กับตัวละครหลักภาคก่อน ๆ เกือบทั้งหมด
จริง ๆ มันอาจจะดูเจ๋งก็ได้นะครับ ถ้าสร้างความรู้สึกให้ผู้ชมรู้สึกถึงกลลวงหลอกและเฉือนคมที่แรงขนาด เฮ้ย นี่คือ xxx เลยนะ หรือ เฮ้ย นี่มันคนของ yyy เลยเชียวนะ แต่...
น่าเสียดายที่ ทั้ง xxx หรือ yyy (หรือทั้ง zzz และอื่น ๆ) กลับดูเป็นมือรองของ “ต้นตำรับ” กันทุกคน จนเราไม่สามารถรู้สึกได้เลยว่า นี่คือการต่อสู้กันระหว่างคนเก่งกับคนเก่ง แต่เหมือนการต่อสู้กันระหว่าง คนที่พยายามเก่งกับคนที่พยายามเก่งมากกว่า คือทุกคนในเรื่องดูไม่เก่งจริงอย่างที่ควรจะเป็น
ทำให้จุดหักมุมที่มากมายตลอดเรื่องนี้ ขาดแรงกระแทกที่น่าจดจำ ยกเว้นแต่เซอร์ไพรส์เกือบสุดท้ายของภาพยนตร์ที่คิดว่าไม่น่ามีใครนึกถึง ทั้งที่มันเป็นการหยิบยืมเอา “มุก” จากต้นฉบับและ “ปัจจัยบางอย่าง” ของเดธโน้ตมาใช้ แต่ก็ใช้ได้ในจังหวะที่สมกับเป็นไคลแมกซ์ทีเดียว
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็สร้างความบันเทิงและความน่าลุ้นได้ในระดับหนึ่งครับถ้าไม่พยายามจับผิด plot hole ที่มากมายตลอดเรื่อง (เชื่อว่าหลายจุด แค่ไม่ต้องจับผิดก็น่าจะมีคำถามในหัวขึ้นมาแล้วว่า เอ๊ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ) และมันก็ทำให้เรื่องราว 10 ปีถัดมาครั้งนี้ เหลือเพียงแค่การต่อสู้เฉือนคมช่วงชิงเดธโน้ตและตามล่าคิระแบบภาพยนตร์สืบสวนที่ใส่อาวุธสุดแฟนตาซีอย่างเดธโน้ตเข้าไปเท่านั้น ก็น่าเสียดายที่การกลับมาครั้งนี้ ไม่สามารถทิ้งปมให้ชวนขบคิดถึงจุดยืนของการยึดมั่นคุณธรรมในแบบที่ขัดแย้งกันอย่างน่าสนใจ หรือด้านมืดและด้านสว่างในตัวของมนุษย์ที่หลากหลายแง่มุมอย่างเข้มข้นเฉกเช่นต้นตำรับได้สักเท่าไหร่
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเป็นการตั้งใจปิดฉากเรื่องราวบางอย่างหรือปมบางด้านของ Death Note ฉบับภาพยนตร์สำหรับแฟน ๆ ที่ยังระลึกถึงกันอยู่ แต่ก็อาจเป็นการทดลองสำหรับต่อยอดบางอย่างของจักรววาลนี้ต่อไปในอนาคตก็เป็นได้ ตราบเท่าที่ผู้คนยังไม่ลืมเลือนการมีอยู่ของคิระครับ
จาก
https://www.facebook.com/Beautymovieworld/photos/a.193779270781640.1073741826.193708284122072/672934736199422/?type=3
[CR] [Death Note : Light Up the New World] 10 ปีให้หลังกับความพยายามที่อยากสะท้อนอะไรบ้าง?
เป็นการกลับมาอีกครั้งของภาพยนตร์ฉบับ live action ของ Death Note ที่สร้างจากมังงะชื่อดังของญี่ปุ่น ซึ่งกล่าวถึงชายหนุ่มที่ได้รับสมุดโน้ตของยมทูต (เดธโน้ต) โดยบังเอิญ แล้วใช้มันฆ่าอาชญากรทั่วโลกเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์ ตั้งตนเองเป็นพระเจ้าผู้มุ่งสร้างโลกใหม่ในนาม “คิระ” จนกลายเป็นเรื่องราวสืบสวนไล่ล่า ที่สะท้อนความคิดของมนุษย์ในการตัดสินต่อผู้กระทำผิด และทัศนคติที่มองโลกที่ปราศจากความเลวร้ายได้อย่างเข้มข้น จนทำให้มีการขบคิดกันมากมายว่า ฝ่ายตำรวจที่พยายามไล่ล่าคิระเพราะทำผิดกฎหมาย กับคิระที่ใช้การฆ่าเพื่อทำให้โลกสงบสุข ใครเป็นฝ่ายถูกต้องกันแน่
ภาพยนตร์ Death Note ของเดิมนั้นมีการออกฉายไปในปี 2006 มีเรื่องราวอ้างอิงจากหนังสือการ์ตูนต้นฉบับพอสมควร แต่ก็นำเรื่องราวไปสู่จุดจบที่คล้ายคลึงกันคือสามารถหยุดยั้งการพิพากษาอาชญากรของคิระได้สำเร็จ ทว่า 10 ปีผ่านไป ก็ได้มีความตั้งใจที่จะสานต่อจักรวาลของ Death Note ฉบับภาพยนตร์ขึ้นใหม่ โดยเปิดเรื่องด้วยการที่ยมโลกได้ส่งเดธโน้ตมายังโลกอีกครั้งพร้อมกันถึง 6 เล่มเลยทีเดียว ส่งผลให้คิระกำเนิดใหม่โดยน้ำมือของมนุษย์ผู้ครองเดธโน้ตคนใดคนหนึ่ง การไล่ล่าระหว่างตำรวจและคิระจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
จุดที่น่าสนใจคือการสร้างโจทย์ใหม่ ๆ ของจักรวาลเดธโน้ตครับ ไม่ว่าจะเป็นการมีอยู่ของโน้ตถึง 6 เล่ม (แน่นอนว่าก็จะหมายถึงผู้ครอบครองหลายคนเช่นกัน) หรือการที่เนื้อเรื่องดำเนินด้วยตัวละครหลักตัวใหม่ ๆ มากมาย แต่ก็ล้วนเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวละครเดิม ๆ ในภาพยนตร์ภาคก่อน ๆ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ฝ่ายตำรวจที่ร่วมงานกับผู้สืบทอดนักสืบ L และอาชญากรที่บูชาคิระ ซึ่งทั้งสามต่างมีเป้าหมายที่จะตามล่าหาตัวผู้ครองเดธโน้ต และครอบครองเดธโน้ตให้ได้ทั้ง 6 เล่มด้วยจุดประสงค์ที่ไม่เหมือนกัน
จากจุดนี้ทำให้วิธีการดำเนินเรื่องก็แตกต่างจากภาพยนตร์ภาคก่อน ๆ อยู่มากครับ เพราะไม่ใช่เพียงการตามล่าสืบหาตัวจริงของคิระอย่างเดียวแล้ว แต่กลับเป็นการใช้ปัจจัยที่ตนเองมีอยู่เพื่อรวบรวมเดธโน้ตอีกด้วย การใช้กลลับลวงพรางที่เป็นเสน่ห์เดิม ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นแนวภาพยนตร์ตำรวจไล่ล่าค่อนข้างเต็มรูปแบบ
จนน่าประหลาดใจว่า เล่นใหญ่ขนาดนี้ ภาพยนตร์ความยาว 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งนั้น มันจะไหวไหม !?
ผลออกมาก็ต่างจากที่คาดไว้อยู่เยอะครับ เพราะภายใต้โจทย์ที่มีเดธโน้ตถึง 6 เล่ม แต่จำเป็นต้องเดินเรื่องผ่านตัวละครแค่ 2 ฝ่ายหลัก ๆ ทำให้จุดเด่นที่เดธโน้ตทั้ง 6 นั้นกระจายไปทั่วโลก ถูกนำเสนอเป็นเพียงแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น แม้ว่าจะมีการโปรโมตว่าบางฉากได้ไปถ่ายทำถึงรัสเซีย เมื่อเอาเข้าจริง ฉากที่ว่าก็กลับเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้คุ้มค่ากับการลงทุนเหล่านั้นสักเท่าไหร่ รวมถึงปมอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับเดธโน้ตที่กระจายไปทั่วโลกทั้ง 6 เล่มนั้น ก็มีสัดส่วนน้อยเหลือเกินถ้าเทียบกับเนื้อหาหลักของภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เพราะน้ำหนักที่เหลือถูกเน้นลงไปที่ความเชื่อมโยงระหว่างตัวละครหลักในเรื่องบนโปสเตอร์กับตัวละครหลักภาคก่อน ๆ เกือบทั้งหมด
จริง ๆ มันอาจจะดูเจ๋งก็ได้นะครับ ถ้าสร้างความรู้สึกให้ผู้ชมรู้สึกถึงกลลวงหลอกและเฉือนคมที่แรงขนาด เฮ้ย นี่คือ xxx เลยนะ หรือ เฮ้ย นี่มันคนของ yyy เลยเชียวนะ แต่...
น่าเสียดายที่ ทั้ง xxx หรือ yyy (หรือทั้ง zzz และอื่น ๆ) กลับดูเป็นมือรองของ “ต้นตำรับ” กันทุกคน จนเราไม่สามารถรู้สึกได้เลยว่า นี่คือการต่อสู้กันระหว่างคนเก่งกับคนเก่ง แต่เหมือนการต่อสู้กันระหว่าง คนที่พยายามเก่งกับคนที่พยายามเก่งมากกว่า คือทุกคนในเรื่องดูไม่เก่งจริงอย่างที่ควรจะเป็น
ทำให้จุดหักมุมที่มากมายตลอดเรื่องนี้ ขาดแรงกระแทกที่น่าจดจำ ยกเว้นแต่เซอร์ไพรส์เกือบสุดท้ายของภาพยนตร์ที่คิดว่าไม่น่ามีใครนึกถึง ทั้งที่มันเป็นการหยิบยืมเอา “มุก” จากต้นฉบับและ “ปัจจัยบางอย่าง” ของเดธโน้ตมาใช้ แต่ก็ใช้ได้ในจังหวะที่สมกับเป็นไคลแมกซ์ทีเดียว
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็สร้างความบันเทิงและความน่าลุ้นได้ในระดับหนึ่งครับถ้าไม่พยายามจับผิด plot hole ที่มากมายตลอดเรื่อง (เชื่อว่าหลายจุด แค่ไม่ต้องจับผิดก็น่าจะมีคำถามในหัวขึ้นมาแล้วว่า เอ๊ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ) และมันก็ทำให้เรื่องราว 10 ปีถัดมาครั้งนี้ เหลือเพียงแค่การต่อสู้เฉือนคมช่วงชิงเดธโน้ตและตามล่าคิระแบบภาพยนตร์สืบสวนที่ใส่อาวุธสุดแฟนตาซีอย่างเดธโน้ตเข้าไปเท่านั้น ก็น่าเสียดายที่การกลับมาครั้งนี้ ไม่สามารถทิ้งปมให้ชวนขบคิดถึงจุดยืนของการยึดมั่นคุณธรรมในแบบที่ขัดแย้งกันอย่างน่าสนใจ หรือด้านมืดและด้านสว่างในตัวของมนุษย์ที่หลากหลายแง่มุมอย่างเข้มข้นเฉกเช่นต้นตำรับได้สักเท่าไหร่
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเป็นการตั้งใจปิดฉากเรื่องราวบางอย่างหรือปมบางด้านของ Death Note ฉบับภาพยนตร์สำหรับแฟน ๆ ที่ยังระลึกถึงกันอยู่ แต่ก็อาจเป็นการทดลองสำหรับต่อยอดบางอย่างของจักรววาลนี้ต่อไปในอนาคตก็เป็นได้ ตราบเท่าที่ผู้คนยังไม่ลืมเลือนการมีอยู่ของคิระครับ
จาก
https://www.facebook.com/Beautymovieworld/photos/a.193779270781640.1073741826.193708284122072/672934736199422/?type=3