อะไรที่ทำให้คนสองคนที่เริ่มต้นพร้อมๆ กันแตกต่างกัน
คนสองคนเริ่มต้นพร้อมๆ กัน ด้วยต้นทุนที่เท่ากัน ด้วยเวลา และสถานการณ์ที่คล้ายๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับแตกต่างกัน คนหนึ่งล้มเหลว คนหนึ่งประสบความสำเร็จ เป็นเพราะเหตุใด ...
ข้อแรก “ทัศนะคติที่แตกต่างกัน”
คนแรกมีทัศนะคติที่ว่า ทรัพยากรมีจำกัด ทุกคนต้องแย่งชิงกัน ทำอะไรก็ได้แม้จะทุจริต เพื่อให้ได้เงิน ได้ความสำเร็จ เพราะเราต้องแย่งชิงทรัพยากรที่มีอย่าง “จำกัด” ความจริงก็คือ การทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม สิ่งทุจริตเพื่อให้ประสบความสำเร็จก็เหมือนเราขี่หลังเสือ ถ้าเราลงจากหลังมัน เสือก็จะกินเรา ทำให้เราต้องทำสิ่งผิดๆ ต่อไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ แรกๆ ก็จะดูเหมือนดี ทำแล้วได้เร็ว รวยเร็ว แต่เมื่อเราพลัดตกจากหลังเสือ หรือโดนจับได้ว่าคดโกง เราก็จะถูกกินเสียเอง
เสือตัวนี้เลิกเลี้ยงมันไว้ในใจยิ่งเร็วก็ยิ่งดี
คนที่สองมีทัศนะคติที่ว่า ทรัพยากรมีไม่จำกัด เราไม่ต้องแย่งชิงกัน เพียงแต่ทำในสิ่งที่เราถนัดให้ดีที่สุด และใช้ความเพียรนำชีวิต แทนที่จะใช้ความโลภนำชีวิต คนที่สองนี้พาหนะที่เขาใช้นำชีวิตก็คือ “ความเพียร” ทำทุกอย่างอย่างสุจริต เพื่อประสบความสำเร็จ โดยไม่คิดคดโกงใคร ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่ออาชีพที่ตนทำ แม้ในช่วงแรกจะดูช้า แต่เป็นการเติบโตช้าๆ อย่างยั่งยืน และไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจับได้ว่าคดโกง หรือทุจริต
ข้อที่สอง “การเลือกคบคน”
คนแรก เลือกคบคนไม่ดี เลือกคบแต่คนรวย คบแต่เปลือก ทำให้ถูกชักจูงไปทำสิ่งที่ทุจริตผิดกฎหมาย ทำการค้าก็ไม่ซื่อตรง คอยแต่เอาเปรียบคู่ค้าอยู่ตลอด ด้วยทัศนะคติแรกที่คิดว่าทรัพยากรมีจำกัด ต้องแข่งขันกัน ก็ไปกดราคาขาย ทำให้คู่แข่งไม่พอใจ และหาทางทำลายกันและกันอยู่ตลอดเวลา
คนที่สอง เลือกคบแต่คนดี คนที่ไม่ได้ร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ทำทุกอย่างถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม ทำการค้าก็ซื่อสัตย์ไม่คดโกง ไม่เอาเปรียบคู่ค้า ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ด้วยทัศนะคติที่คิดว่าทรัพยากรมีไม่จำกัด ทำให้มีความคิดใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าอยู่สม่ำเสมอ ขายของจึงได้ราคาดี ไม่ต้องตัดราคาแข่งขันกับใคร
ข้อที่สาม “สองคนต่างใช้สองสิ่งนำชีวิต”
คนแรก ใช้ความโลภ และเงินตรานำชีวิต ทำให้ยอมทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จโดยไม่สนใจวิธีการ เพื่อให้ได้เงินยอมทำผิดศีลธรรมทุกอย่าง แต่ไม่ยอมเสียเงิน ถูกความโลภชักจูง และครอบครองชีวิต
คนที่สอง ใช้ความเพียร และศีลธรรมนำชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จบนพื้นฐานของความเพียร ไม่ยอมทำทุจริต ผิดศีลธรรมเพื่อให้ได้เงิน เพื่อให้ได้ความสำเร็จ ใช้ความเพียร และซื่อสัตย์นำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จ
แค่สามประการที่คนสองคน “คิดต่าง” ก็จะทำให้ชีวิตของคนสองคน “แตกต่าง” คงไม่ต้องเฉลยผลลัพธ์ของคนทั้งสอง ในสังคมเราก็มีคำตอบเหล่านี้ให้เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ถ้าเรามีคนประเภทที่สองในสังคมมากเท่าไร สังคมเรา ประเทศเราก็จะพัฒนามากขึ้นเท่านั้นครับ
อะไรที่ทำให้คนสองคนที่เริ่มต้นพร้อมๆ กันแตกต่างกัน?
คนสองคนเริ่มต้นพร้อมๆ กัน ด้วยต้นทุนที่เท่ากัน ด้วยเวลา และสถานการณ์ที่คล้ายๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับแตกต่างกัน คนหนึ่งล้มเหลว คนหนึ่งประสบความสำเร็จ เป็นเพราะเหตุใด ...
ข้อแรก “ทัศนะคติที่แตกต่างกัน”
คนแรกมีทัศนะคติที่ว่า ทรัพยากรมีจำกัด ทุกคนต้องแย่งชิงกัน ทำอะไรก็ได้แม้จะทุจริต เพื่อให้ได้เงิน ได้ความสำเร็จ เพราะเราต้องแย่งชิงทรัพยากรที่มีอย่าง “จำกัด” ความจริงก็คือ การทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม สิ่งทุจริตเพื่อให้ประสบความสำเร็จก็เหมือนเราขี่หลังเสือ ถ้าเราลงจากหลังมัน เสือก็จะกินเรา ทำให้เราต้องทำสิ่งผิดๆ ต่อไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ แรกๆ ก็จะดูเหมือนดี ทำแล้วได้เร็ว รวยเร็ว แต่เมื่อเราพลัดตกจากหลังเสือ หรือโดนจับได้ว่าคดโกง เราก็จะถูกกินเสียเอง เสือตัวนี้เลิกเลี้ยงมันไว้ในใจยิ่งเร็วก็ยิ่งดี
คนที่สองมีทัศนะคติที่ว่า ทรัพยากรมีไม่จำกัด เราไม่ต้องแย่งชิงกัน เพียงแต่ทำในสิ่งที่เราถนัดให้ดีที่สุด และใช้ความเพียรนำชีวิต แทนที่จะใช้ความโลภนำชีวิต คนที่สองนี้พาหนะที่เขาใช้นำชีวิตก็คือ “ความเพียร” ทำทุกอย่างอย่างสุจริต เพื่อประสบความสำเร็จ โดยไม่คิดคดโกงใคร ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่ออาชีพที่ตนทำ แม้ในช่วงแรกจะดูช้า แต่เป็นการเติบโตช้าๆ อย่างยั่งยืน และไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจับได้ว่าคดโกง หรือทุจริต
ข้อที่สอง “การเลือกคบคน”
คนแรก เลือกคบคนไม่ดี เลือกคบแต่คนรวย คบแต่เปลือก ทำให้ถูกชักจูงไปทำสิ่งที่ทุจริตผิดกฎหมาย ทำการค้าก็ไม่ซื่อตรง คอยแต่เอาเปรียบคู่ค้าอยู่ตลอด ด้วยทัศนะคติแรกที่คิดว่าทรัพยากรมีจำกัด ต้องแข่งขันกัน ก็ไปกดราคาขาย ทำให้คู่แข่งไม่พอใจ และหาทางทำลายกันและกันอยู่ตลอดเวลา
คนที่สอง เลือกคบแต่คนดี คนที่ไม่ได้ร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ทำทุกอย่างถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม ทำการค้าก็ซื่อสัตย์ไม่คดโกง ไม่เอาเปรียบคู่ค้า ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ด้วยทัศนะคติที่คิดว่าทรัพยากรมีไม่จำกัด ทำให้มีความคิดใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าอยู่สม่ำเสมอ ขายของจึงได้ราคาดี ไม่ต้องตัดราคาแข่งขันกับใคร
ข้อที่สาม “สองคนต่างใช้สองสิ่งนำชีวิต”
คนแรก ใช้ความโลภ และเงินตรานำชีวิต ทำให้ยอมทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จโดยไม่สนใจวิธีการ เพื่อให้ได้เงินยอมทำผิดศีลธรรมทุกอย่าง แต่ไม่ยอมเสียเงิน ถูกความโลภชักจูง และครอบครองชีวิต
คนที่สอง ใช้ความเพียร และศีลธรรมนำชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จบนพื้นฐานของความเพียร ไม่ยอมทำทุจริต ผิดศีลธรรมเพื่อให้ได้เงิน เพื่อให้ได้ความสำเร็จ ใช้ความเพียร และซื่อสัตย์นำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จ
แค่สามประการที่คนสองคน “คิดต่าง” ก็จะทำให้ชีวิตของคนสองคน “แตกต่าง” คงไม่ต้องเฉลยผลลัพธ์ของคนทั้งสอง ในสังคมเราก็มีคำตอบเหล่านี้ให้เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ถ้าเรามีคนประเภทที่สองในสังคมมากเท่าไร สังคมเรา ประเทศเราก็จะพัฒนามากขึ้นเท่านั้นครับ