Part 1 – ความแตกต่างของการดูแลสีรถยนต์ (แว๊กซ์, เคลือบแก้ว, wrap ใส)
สวัสดีครับ วันนี้อนุญาตขอมาลอง review เรื่องการดูแลสีของรถยนต์ ระหว่างการ “wax”, การ “เคลือบแก้ว” และ การ “wrap ฟิล์มใส” กันนะครับ
ก่อนอื่นเลย จขกท ต้องขอออกตัวเลยว่า “ไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลยจริงๆ” จนก่อนจะทำมาตัดสินใจศึกษาหาข้อมูลดู เนื่องจากจำนวนเงินที่จะเสียไปค่อนข้างจะเยอะ (หลักๆ คือกลัวไม่คุ้ม 555+ กับสิ่งที่กำลังจะลงทุนไป) เลยคิดว่า “ควร” ที่จะศึกษาดูซักนิดนึง ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
หงั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าว่า “wax”, “เคลือบแก้ว” และ “wrap ฟิล์มใส” แต่ละอย่างคืออะไร หลังจากที่ได้ไปหาข้อมูลมาจากหลายๆ เว็บไซด์และสอบถามข้อมูลผ่านทางหลายๆ ร้าน เกี่ยวกับ “wax”, “เคลือบแก้ว” และ “wrap ฟิล์มใส” จขกท ขอเริ่มจากการ “wax” ก่อนนะครับ เนื่องจากอธิบายง่ายสุด
1. การ “wax” (แว็กซ์) หรือ บางท่านอาจจะเรียกว่า “การเคลือบสีรถยนต์” หมายถึง การที่เรานำน้ำยาหรือผลิตภัณฑ์พิเศษที่ใช้สำหรับการเคลือบสีรถยนต์ไปเคลือบกับสีตัวถังของรถยนต์ ซึ่งหลักการทำงานของการ “wax” นั้นจะเปรียบเสมือนการลงน้ำยาไปเคลือบที่ผิวของตัวถังรถยนต์ โดยทำหน้าที่คล้ายๆ ฟิล์มบางๆ เคลือบผิวรถยนต์ของเราเอาไว้ (แต่ไม่มีฟิล์มจริงๆ นะครับ 555+ อย่าเข้าใจผิด) ซึ่งสารเคมีเหล่านั้นจะทำปฎิกิริยากับสีของตัวถังรถยนต์ ทำให้น้ำเกาะผิวตัวถังน้อยลง, ปกป้องสีจากความร้อนและแสง UV จากแสงอาทิตย์ (ได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่าไม่ทั้งหมด), คราบสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่เกาะติดแน่น (มาก) และ อาจจะสามารถลบรอยขีดขวนต่างๆ ได้บ้างเล็กน้อย โดยที่คุณประโยชน์ของการ “wax” นั้นหลักๆ เลยคือจะทำให้สีรถยนต์ของคุณมีความสดใส, ฉ่ำและดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ว่าอาจจะได้ภายในระยะสั้นๆ เท่านั้น (ประมาณ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำยาที่เรานำมา “wax” สีรถยนต์ของเรา)
2. การ “เคลือบแก้ว” (Glass Coating) หรือที่บางร้านอาจจะเรียกว่า “เคลือบเซรามิค”, “เคลือบคริสตัน” หรือ เคลือบไทเทเนียม” นั้นจะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าน้ำยาที่ใช้เคลือบนั้นเป็นสารเคมีประเภทไหน ยกตัวอย่างเช่น การเคลือบแก้วนั้นส่วนมากจะใช้น้ำยาหรือสารเคมีที่ผลิตมาจาก ซิลิก้า หรือ ซิลิคอน ไดออกไซด์ (SiO
2) ในปริมาณสูงมากๆ แล้วเติมสารประกอบต่างๆ เพิ่มเติมลงไป แล้วนำมาเคลือบกับสีตัวถังของรถยนต์หลายๆ ครั้งเพื่อให้เกิดความหนาคล้ายๆ ฟิล์มบางๆขึ้นมาบนผิวของตัวถังเช่นกัน ต่อมาคือการ “เคลือบเซรามิค” ใช้หลักการเดียวกันกับการเคลือบแก้วนั่นแหล่ะครับแต่ว่าใช้น้ำยาหรือสารเคมีต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่การเคลือบเซรามิคนั้นใช้สารตั้งต้นที่อยู่ในเซรามิคจริงๆ ที่เรียกว่า ซิลิคอน คาร์ไบด์ (SiC) มาเคลือบลงบนผิวสีตัวถังของรถยนต์ และ นำไปผ่านกระบวนการความร้อนทำให้สารเคมีนั้นเคลือบอยู่บนผิวของรถยนต์ของเรานั่นเอง (ขออนุญาตพอแค่การเคลือบแค่ 2 รูปแบบนะครับ เพราะว่ามันมีค่อนข้างเยอะ ซึ่งหลักการก็เคลือบก็เหมือนกันหมด แต่ว่าต่างกันที่สารเคมีที่นำมาใช้เคลือบเท่านั้นเอง) โดยคุณประโยชน์ของการเคลือบแก้ว (หรือเคลือบเซรามิค) นั้น ก็คล้ายๆ กับการ “wax” สีรถยนต์นั่นแหล่ะครับ แต่ว่าจะมีการใช้น้ำยาหรือสารเคมีลงจำนวนชั้น(หรือจำนวนครั้ง)มากกว่า และ นำไปผ่านกระบวนการความร้อน (เช่น การฉายแสง UV หรือ การอบร้อน) เพื่อให้สารเคมีและน้ำยาเหล่านั้นทำปฎิกิริยาและเกาะเคลือบอยู่บนผิวตัวถังของรถยนต์นั่นเอง จึงช่วยป้องกันแสง UV จากดวงอาทิตย์, ความร้อนต่างๆ, ฝุ่นละออง, หยดน้ำ, การซีดของสี (เช่นจากสีขาวกลายเป็นสีขาวอมเหลือง) หรือ การขีดขวนที่ทำให้เกิดรอยขนแมวได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งการเคลือบแก้วและเซรามิคนั้นต่างก็ต้องใช้ความชำนาญของช่างในระดับหนึ่งเลยเช่นกันครับ
3. การ “Wrap ฟิล์มใส” คือการนำฟิล์มจริงๆ มาติดกับตัวถังของรถยนต์ เพื่อป้องกันสิ่งที่การ “wax” และ “การเคลือบแก้ว” สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่สามารถป้องกันเกิดรอยจากสะเก็ดหินขนาดเล็กขึ้นมาได้เพิ่มเติม โดยขั้นตอนจะเยอะกว่าการ “wax” และ การ “เคลือบแก้ว” แน่นอน เนื่องจากถ้าหากทำแต่ละขั้นตอนไม่ละเอียด ไม่ดี อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ภายหลัง อีกทั้งการ “Wrap ฟิล์มใส” ยังเหมาะสมกับกลุ่มคนที่อยากปรับเปลี่ยนโทนสีของรถยนต์ไปในตัวอีกด้วย (ไม่จำเป็นจะต้อง wrap ฟิล์มใสทั้งคันได้นะครับ สามารถ wrap บางส่วนได้ พร้อม wrap สีบางส่วนได้เช่นกัน แต่ว่าไม่สามารถ wrap ฟิล์มใสทับฟิล์มสีได้นะครับ เนืองจากอาจจะเกิดปัญหาเรื่องการยึดตัวเกิดขึ้น ทางร้านเลยไม่แนะนำ เนื่องจาก จขกท ลองสอบถามไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว) เกรดของการ “wrap ฟิล์มใส” นั้นก็จะคล้ายๆ กับการ ”เคลือบแก้ว” นั่นแหล่ะครับ คืออยู่กับว่าคุณต้องการใช้ฟิล์มเกรดไหน wrap รถยนต์ของคุณ (เหมือนกับการเลือกเกรดน้ำยาเคลือบแก้วนั่นเอง) โดยการเลือกเกรดฟิล์มนั้นก็จะขึ้นอยู่กับ “ไมครอน” ของฟิล์ม (ความหนาของฟิล์ม) นั้นเอง ว่าง่ายๆ คือ ยิ่งไมครอนมาก ฟิล์มยิ่งเกรดดีล่ะกันนะครับ หรือ ไมครอนยิ่งมากฟิล์มยิ่งหนาล่ะกันครับ (ลงลึกเกินเดี๋ยวจะงง จขกท จะงงเองมากกว่า 555+) ซึ่งราคาก็จะอยู่ตามเกรดอีกด้วยเช่นกันครับ
โอเค หลังจากที่เรารู้ว่าการดูแลรักษาสีของรถยนต์นั้นต่างกันอย่างไร เรามาลองเลือกจากสภาพแวดล้อมของตัวเราเองกันบ้างดีกว่า ซึ่ง จขกท นั้นเลือกจาก 3 องค์ประกอบหลัก ดังต่อไปนี้:
1. งบประมาณที่ต้องใช้ (สำคัญที่สุดครับ บอกเลย ดูเงินก่อนมีเท่าไร ตอนนี้กันงบไว้ประมาณไม่เกิน 30,000 บาท นะครับ ขอออกตัวไว้ก่อน)
2. ระยะเวลาที่ต้องเอารถยนต์ไปทิ้งไว้ เช่น ต้องทิ้งไว้ทั้งวันหรือไม่? (เนื่องจาก จขกท มีรถยนต์ใช้คันเดียวครับ ปัจจัยนี้จึงค่อนข้างจำเป็นพอสมควรเลย)
3. ความน่าเชื่อถือของร้านที่นำรถยนต์ไปทำ (จขกท แอบทั้งโทรไปสอบถาม และ แวะเข้าไปสอบถามบางร้านมาบ้างแล้ว ว่าการตอบคำถามลูกค้า การให้ข้อมูลเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากแอบห่วงรถยนต์ตัวเองพอสมควรเลยครับ)
จึงได้ข้อสรุปก่อน จะเลือกว่าทำสิ่งใดได้ดังนี้:
1. ราคา – ขอไม่เกินงบที่ตั้งไว้ล่ะกันครับ คือ 30,000 บาท
2. ระยะเวลา – ต้องสามารถเสร็จได้ภายใน 1 วัน
3. ความน่าเชื่อถือ – พิจารณาจากการคุมงานรถยนต์คันอื่น, การตอบคำถามลูกค้า, การไม่เลือกเกรดลูกค้า (จนเกินไป)
และข้อสรุปขอทางออกสำหรับการเลือกวิธีดูแลสีของรถยนต์ในครั้งนี้ของแต่ละประเภท:
-
การแว็กซ์ (wax) – ใช้ระยะเวลาทำสั้นที่สุด (30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง) ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน และใช้งบประมาณน้อยสุดเช่นกันคือ 500 บาท ถึง 3,000 บาท ความเงาติดทนได้พอประมาณ 1 เดือน (2 เดือนเต็มที่จากที่เคยทำมาบ้าง)อาจจะต้องเลือกดูร้านที่ดีๆ หน่อยเนื่องจากถ้าทำไม่ดี เราอาจจะได้เห็นรอยขนแมวเป็นวนๆ รอบคันกลับมาแทนนะครับ
-
การเคลือบแก้ว (glass coating) – ใช้ระยะเวลาทำปานกลาง (2 ชั่วโมง ไปจนถึง 6 ชั่วโมง) ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านเช่นกันครับ ส่วนงบประมาณก็ปานกลางเช่นกันคือตั้งแต่ 3,000 บาท (โดยใช้น้ำยาแบบถูกโคตรๆ) ไปจนถึง 30,000 บาท ได้เช่นกันครับ การเลือกร้านนั้นก็แนะนำให้ลองไปสำรวจดูที่ร้านเลยครับว่าร้านนั้นเค้าดูแลรถยนต์ลูกค้ารายอื่นๆ เป็นยังไง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายครับ
-
การ wrap ฟิล์มใส - ใช้ระยะเวลานานที่สุด (4 ชั่วโมง ไปจนถึง 8 ชั่วโมง) ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านเช่นกันครับ ส่วนงบประมาณนี่อันนี้บอกเลยว่าขึ้นอยู่กับเกรดของฟิล์มเลยครับ ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่ 20,000 บาท ไปจนถึงหลักแสนก็มีครับ
ดังนั้นสำหรับผมในครั้งนี้ จขกท
ขอเลือกอยากลองเป็นการ “wrap ฟิล์มใส” นะครับ เนื่องจากตรงกับปัจจัยที่ จขกท ระบุไว้เบื้องต้น ตอนนี้ขออนุญาตไปหาร้านก่อน แล้วเดี๋ยวถึงคราวที่ติดตั้งจริงแล้วจะกลับมาอัพเดทให้ฟังกันนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ part 1 ครับผม
** หากมีข้อมูลตรงไหนไม่ถูกต้อง 100% ก็สามารถเสนอแนะได้นะครับ เนื่องจาก จขกท review ตามประสบการณ์ที่ไปสอบถามและค้นหามา **
[CR] จะเลือกการดูแลสีรถยนต์ (แว๊กซ์, เคลือบแก้ว, wrap ฟิล์มใส)
สวัสดีครับ วันนี้อนุญาตขอมาลอง review เรื่องการดูแลสีของรถยนต์ ระหว่างการ “wax”, การ “เคลือบแก้ว” และ การ “wrap ฟิล์มใส” กันนะครับ
ก่อนอื่นเลย จขกท ต้องขอออกตัวเลยว่า “ไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลยจริงๆ” จนก่อนจะทำมาตัดสินใจศึกษาหาข้อมูลดู เนื่องจากจำนวนเงินที่จะเสียไปค่อนข้างจะเยอะ (หลักๆ คือกลัวไม่คุ้ม 555+ กับสิ่งที่กำลังจะลงทุนไป) เลยคิดว่า “ควร” ที่จะศึกษาดูซักนิดนึง ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
หงั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าว่า “wax”, “เคลือบแก้ว” และ “wrap ฟิล์มใส” แต่ละอย่างคืออะไร หลังจากที่ได้ไปหาข้อมูลมาจากหลายๆ เว็บไซด์และสอบถามข้อมูลผ่านทางหลายๆ ร้าน เกี่ยวกับ “wax”, “เคลือบแก้ว” และ “wrap ฟิล์มใส” จขกท ขอเริ่มจากการ “wax” ก่อนนะครับ เนื่องจากอธิบายง่ายสุด
1. การ “wax” (แว็กซ์) หรือ บางท่านอาจจะเรียกว่า “การเคลือบสีรถยนต์” หมายถึง การที่เรานำน้ำยาหรือผลิตภัณฑ์พิเศษที่ใช้สำหรับการเคลือบสีรถยนต์ไปเคลือบกับสีตัวถังของรถยนต์ ซึ่งหลักการทำงานของการ “wax” นั้นจะเปรียบเสมือนการลงน้ำยาไปเคลือบที่ผิวของตัวถังรถยนต์ โดยทำหน้าที่คล้ายๆ ฟิล์มบางๆ เคลือบผิวรถยนต์ของเราเอาไว้ (แต่ไม่มีฟิล์มจริงๆ นะครับ 555+ อย่าเข้าใจผิด) ซึ่งสารเคมีเหล่านั้นจะทำปฎิกิริยากับสีของตัวถังรถยนต์ ทำให้น้ำเกาะผิวตัวถังน้อยลง, ปกป้องสีจากความร้อนและแสง UV จากแสงอาทิตย์ (ได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่าไม่ทั้งหมด), คราบสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่เกาะติดแน่น (มาก) และ อาจจะสามารถลบรอยขีดขวนต่างๆ ได้บ้างเล็กน้อย โดยที่คุณประโยชน์ของการ “wax” นั้นหลักๆ เลยคือจะทำให้สีรถยนต์ของคุณมีความสดใส, ฉ่ำและดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ว่าอาจจะได้ภายในระยะสั้นๆ เท่านั้น (ประมาณ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำยาที่เรานำมา “wax” สีรถยนต์ของเรา)
2. การ “เคลือบแก้ว” (Glass Coating) หรือที่บางร้านอาจจะเรียกว่า “เคลือบเซรามิค”, “เคลือบคริสตัน” หรือ เคลือบไทเทเนียม” นั้นจะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าน้ำยาที่ใช้เคลือบนั้นเป็นสารเคมีประเภทไหน ยกตัวอย่างเช่น การเคลือบแก้วนั้นส่วนมากจะใช้น้ำยาหรือสารเคมีที่ผลิตมาจาก ซิลิก้า หรือ ซิลิคอน ไดออกไซด์ (SiO2) ในปริมาณสูงมากๆ แล้วเติมสารประกอบต่างๆ เพิ่มเติมลงไป แล้วนำมาเคลือบกับสีตัวถังของรถยนต์หลายๆ ครั้งเพื่อให้เกิดความหนาคล้ายๆ ฟิล์มบางๆขึ้นมาบนผิวของตัวถังเช่นกัน ต่อมาคือการ “เคลือบเซรามิค” ใช้หลักการเดียวกันกับการเคลือบแก้วนั่นแหล่ะครับแต่ว่าใช้น้ำยาหรือสารเคมีต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่การเคลือบเซรามิคนั้นใช้สารตั้งต้นที่อยู่ในเซรามิคจริงๆ ที่เรียกว่า ซิลิคอน คาร์ไบด์ (SiC) มาเคลือบลงบนผิวสีตัวถังของรถยนต์ และ นำไปผ่านกระบวนการความร้อนทำให้สารเคมีนั้นเคลือบอยู่บนผิวของรถยนต์ของเรานั่นเอง (ขออนุญาตพอแค่การเคลือบแค่ 2 รูปแบบนะครับ เพราะว่ามันมีค่อนข้างเยอะ ซึ่งหลักการก็เคลือบก็เหมือนกันหมด แต่ว่าต่างกันที่สารเคมีที่นำมาใช้เคลือบเท่านั้นเอง) โดยคุณประโยชน์ของการเคลือบแก้ว (หรือเคลือบเซรามิค) นั้น ก็คล้ายๆ กับการ “wax” สีรถยนต์นั่นแหล่ะครับ แต่ว่าจะมีการใช้น้ำยาหรือสารเคมีลงจำนวนชั้น(หรือจำนวนครั้ง)มากกว่า และ นำไปผ่านกระบวนการความร้อน (เช่น การฉายแสง UV หรือ การอบร้อน) เพื่อให้สารเคมีและน้ำยาเหล่านั้นทำปฎิกิริยาและเกาะเคลือบอยู่บนผิวตัวถังของรถยนต์นั่นเอง จึงช่วยป้องกันแสง UV จากดวงอาทิตย์, ความร้อนต่างๆ, ฝุ่นละออง, หยดน้ำ, การซีดของสี (เช่นจากสีขาวกลายเป็นสีขาวอมเหลือง) หรือ การขีดขวนที่ทำให้เกิดรอยขนแมวได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งการเคลือบแก้วและเซรามิคนั้นต่างก็ต้องใช้ความชำนาญของช่างในระดับหนึ่งเลยเช่นกันครับ
3. การ “Wrap ฟิล์มใส” คือการนำฟิล์มจริงๆ มาติดกับตัวถังของรถยนต์ เพื่อป้องกันสิ่งที่การ “wax” และ “การเคลือบแก้ว” สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่สามารถป้องกันเกิดรอยจากสะเก็ดหินขนาดเล็กขึ้นมาได้เพิ่มเติม โดยขั้นตอนจะเยอะกว่าการ “wax” และ การ “เคลือบแก้ว” แน่นอน เนื่องจากถ้าหากทำแต่ละขั้นตอนไม่ละเอียด ไม่ดี อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ภายหลัง อีกทั้งการ “Wrap ฟิล์มใส” ยังเหมาะสมกับกลุ่มคนที่อยากปรับเปลี่ยนโทนสีของรถยนต์ไปในตัวอีกด้วย (ไม่จำเป็นจะต้อง wrap ฟิล์มใสทั้งคันได้นะครับ สามารถ wrap บางส่วนได้ พร้อม wrap สีบางส่วนได้เช่นกัน แต่ว่าไม่สามารถ wrap ฟิล์มใสทับฟิล์มสีได้นะครับ เนืองจากอาจจะเกิดปัญหาเรื่องการยึดตัวเกิดขึ้น ทางร้านเลยไม่แนะนำ เนื่องจาก จขกท ลองสอบถามไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว) เกรดของการ “wrap ฟิล์มใส” นั้นก็จะคล้ายๆ กับการ ”เคลือบแก้ว” นั่นแหล่ะครับ คืออยู่กับว่าคุณต้องการใช้ฟิล์มเกรดไหน wrap รถยนต์ของคุณ (เหมือนกับการเลือกเกรดน้ำยาเคลือบแก้วนั่นเอง) โดยการเลือกเกรดฟิล์มนั้นก็จะขึ้นอยู่กับ “ไมครอน” ของฟิล์ม (ความหนาของฟิล์ม) นั้นเอง ว่าง่ายๆ คือ ยิ่งไมครอนมาก ฟิล์มยิ่งเกรดดีล่ะกันนะครับ หรือ ไมครอนยิ่งมากฟิล์มยิ่งหนาล่ะกันครับ (ลงลึกเกินเดี๋ยวจะงง จขกท จะงงเองมากกว่า 555+) ซึ่งราคาก็จะอยู่ตามเกรดอีกด้วยเช่นกันครับ
โอเค หลังจากที่เรารู้ว่าการดูแลรักษาสีของรถยนต์นั้นต่างกันอย่างไร เรามาลองเลือกจากสภาพแวดล้อมของตัวเราเองกันบ้างดีกว่า ซึ่ง จขกท นั้นเลือกจาก 3 องค์ประกอบหลัก ดังต่อไปนี้:
1. งบประมาณที่ต้องใช้ (สำคัญที่สุดครับ บอกเลย ดูเงินก่อนมีเท่าไร ตอนนี้กันงบไว้ประมาณไม่เกิน 30,000 บาท นะครับ ขอออกตัวไว้ก่อน)
2. ระยะเวลาที่ต้องเอารถยนต์ไปทิ้งไว้ เช่น ต้องทิ้งไว้ทั้งวันหรือไม่? (เนื่องจาก จขกท มีรถยนต์ใช้คันเดียวครับ ปัจจัยนี้จึงค่อนข้างจำเป็นพอสมควรเลย)
3. ความน่าเชื่อถือของร้านที่นำรถยนต์ไปทำ (จขกท แอบทั้งโทรไปสอบถาม และ แวะเข้าไปสอบถามบางร้านมาบ้างแล้ว ว่าการตอบคำถามลูกค้า การให้ข้อมูลเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากแอบห่วงรถยนต์ตัวเองพอสมควรเลยครับ)
จึงได้ข้อสรุปก่อน จะเลือกว่าทำสิ่งใดได้ดังนี้:
1. ราคา – ขอไม่เกินงบที่ตั้งไว้ล่ะกันครับ คือ 30,000 บาท
2. ระยะเวลา – ต้องสามารถเสร็จได้ภายใน 1 วัน
3. ความน่าเชื่อถือ – พิจารณาจากการคุมงานรถยนต์คันอื่น, การตอบคำถามลูกค้า, การไม่เลือกเกรดลูกค้า (จนเกินไป)
และข้อสรุปขอทางออกสำหรับการเลือกวิธีดูแลสีของรถยนต์ในครั้งนี้ของแต่ละประเภท:
- การแว็กซ์ (wax) – ใช้ระยะเวลาทำสั้นที่สุด (30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง) ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน และใช้งบประมาณน้อยสุดเช่นกันคือ 500 บาท ถึง 3,000 บาท ความเงาติดทนได้พอประมาณ 1 เดือน (2 เดือนเต็มที่จากที่เคยทำมาบ้าง)อาจจะต้องเลือกดูร้านที่ดีๆ หน่อยเนื่องจากถ้าทำไม่ดี เราอาจจะได้เห็นรอยขนแมวเป็นวนๆ รอบคันกลับมาแทนนะครับ
- การเคลือบแก้ว (glass coating) – ใช้ระยะเวลาทำปานกลาง (2 ชั่วโมง ไปจนถึง 6 ชั่วโมง) ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านเช่นกันครับ ส่วนงบประมาณก็ปานกลางเช่นกันคือตั้งแต่ 3,000 บาท (โดยใช้น้ำยาแบบถูกโคตรๆ) ไปจนถึง 30,000 บาท ได้เช่นกันครับ การเลือกร้านนั้นก็แนะนำให้ลองไปสำรวจดูที่ร้านเลยครับว่าร้านนั้นเค้าดูแลรถยนต์ลูกค้ารายอื่นๆ เป็นยังไง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายครับ
- การ wrap ฟิล์มใส - ใช้ระยะเวลานานที่สุด (4 ชั่วโมง ไปจนถึง 8 ชั่วโมง) ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านเช่นกันครับ ส่วนงบประมาณนี่อันนี้บอกเลยว่าขึ้นอยู่กับเกรดของฟิล์มเลยครับ ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่ 20,000 บาท ไปจนถึงหลักแสนก็มีครับ
ดังนั้นสำหรับผมในครั้งนี้ จขกท ขอเลือกอยากลองเป็นการ “wrap ฟิล์มใส” นะครับ เนื่องจากตรงกับปัจจัยที่ จขกท ระบุไว้เบื้องต้น ตอนนี้ขออนุญาตไปหาร้านก่อน แล้วเดี๋ยวถึงคราวที่ติดตั้งจริงแล้วจะกลับมาอัพเดทให้ฟังกันนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ part 1 ครับผม
** หากมีข้อมูลตรงไหนไม่ถูกต้อง 100% ก็สามารถเสนอแนะได้นะครับ เนื่องจาก จขกท review ตามประสบการณ์ที่ไปสอบถามและค้นหามา **