Solanin (2010)
ผู้กำกับ: Takahiro Miki
หยิบมาดูเพราะคุ้นชื่อเรื่องนี้มานานละ แล้วเห็นโปสเตอร์ภาพ
อาโออิ มิยาซากิ ร้องเพลง ก็เลยเดาเอาเองว่าคงเป็นหนังแนวดนตรีแบบเรื่องอื่นๆ แต่ปรากฏว่าพอได้ดูเองแล้วแบบ เฮ้ย ทำไมหนังมันดำเนินเรื่องได้เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะขนาดนี้ นัยว่าขนาดตัวเรามีภูมิต้านทานความราบเรียบเงียบสงบของหนังญี่ปุ่นสูงเพราะดูมาหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้ก็ยังมาแรงแซงโค้งความนิ่งอันเป็นสไตล์หนังญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไปหลายปีแสง มั่นใจว่าคนที่ไม่เคยชินกับหนังที่ดำเนินเรื่องแบบสไตล์นิ่งๆ ไม่ค่อยมีแอคชั่นของตัวละครมากนักมาก่อน มีสิทธิ์ดูไม่จบแน่ๆ
เนื้อเรื่องคร่าวๆ ครึ่งแรกเป็นเรื่องของนางเอกที่มาใช้ชีวิตอยู่กับแฟนกันสองคน ฝ่ายชายกำลังฟอร์มวงเป็นนักดนตรี + นักแต่งเพลงกับเพื่อนๆ ตามล่าหาฝันอะไรทำนองนี้ ตัวนางเอกเองก็สะท้อนปัญหาชีวิตวัยรุ่นส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันได้ดีมาก คือไม่มีความฝันอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เธอแค่ออกจากบ้านตามแฟนมา และหางานอะไรก็ได้ทำแค่พอให้สามารถเลี้ยงตนเองในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันพอมองบุคคลอื่นที่มีความฝันแม้จะยังไม่สำเร็จเป็นผล แล้วย้อนกลับมามองตัวเอง เธอก็รู้สึกอิจฉาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในชีวิต แม้แต่ความฝันก็ยังไม่มีเลย
มาทราบทีหลังจากการค้นข้อมูลเพิ่มว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกัน เนื้อเรื่องเป็นแนว Slice of Life (ซึ่งเป็นคำศัพท์จากวงการการ์ตูน หมายถึงการ์ตูนที่ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เนื้อหาสะท้อนชีวิตประจำวันของตัวละคร) เราก็เลยไม่ค่อยแปลกใจมาก เพราะช่วงแรกของหนังที่ดูเรื่อยเปื่อยไร้ทิศทาง ก็คงสะท้อนชีวิตของนางเอกที่ดูเลื่อนลอย ไร้ทิศทางพอๆ กัน (นี่ไม่ได้ด่านะ พูดตามจริง) แต่ดีที่ตัวนักแสดงมีเสน่ห์พอสมควร เลยทำให้เฝ้าติดตามชีวิตไปเรื่อยๆ ได้ ที่จริง เราเองรู้สึกมาตั้งแต่เรื่อง Nana (2005) แล้วว่า อาโออิ มิยาซากิ เป็นคนน่ารัก แม้จะไม่ได้สวยจับตาขนาดนั้น แต่เวลาเคลื่อนไหวแล้วดูมีเสน่ห์น่ามอง (เพราะงั้น Nana ภาค 2 ถึงไม่เวิร์คเลยสำหรับเราเพราะเปลี่ยนตัวละครนี้ไป)
มาจนช่วงกลางเรื่องถึงค่อยมีจุดพีคนิดนึง เพราะตัวละครสำคัญมีอันต้องจากไป แต่ถึงกระนั้น หนังก็ยังไม่มีความดราม่าแต่อย่างใด ไม่มีการพยายามบิวด์ให้คนดูต้องเสียน้ำตา แต่เราก็ยังอดสงสารตัวละครในเรื่องไม่ได้อยู่ดี ฉากหนึ่งที่ค่อนข้างชอบ ก็คือฉากที่พ่อมานั่งเก็บข้าวของในห้องของลูกชายที่จากไป คือไม่ต้องสร้างอารมณ์ดราม่าอะไรมากมาย แต่คนดูเห็นฉากนี้ก็รับรู้ถึงความเศร้าที่อบอวลในบรรยากาศและบทสนทนา ณ เวลานั้นแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่ชอบคือตัวละครมีความเป็นมนุษย์ธรรมดามากๆ ฉากหนึ่งที่จำได้คือตัวละครหนึ่งถามนางเอกว่า “เธอรู้สึกโอเคขึ้นรึยัง…” นางเอกหัวเราะเศร้าๆ แล้วตอบว่า “ฉันจะโอเคได้ยังไงล่ะ” จากนั้นเธอก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ว่า… ฉันคิดว่าฉันต้องหยุดเสียใจกับเรื่องนี้เสียที” เราว่าบทพูดนี้ดูสมจริงดี นางเอกก็คือคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความเข้มแข็งมาจากไหน เธอยอมรับว่าเธอยังคงเสียใจกับการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไป แต่ก็นั่นแหละ เราทุกคนรู้ดีว่าความเสียใจมันก็ควรมีจุดจบของมัน ไม่มีใครอยากเศร้าไปตลอดหรอก และคำพูดนี้เองที่แสดงถึงจุดเปลี่ยนแปลงของเธอ เธออยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการ “ปลดปล่อย” หากแต่มันไม่ใช่การปลดปล่อยตัวเองจากความทรงจำของความรัก แต่เป็นการปลดปล่อยตัวเองจากความเศร้าเสียมากกว่า
เนื้อเรื่องในครึ่งหลังดีขึ้นมากตามเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น ในฉากเกือบสุดท้ายที่นางเอกตัดสินใจร้องเพลงเพื่อบอกลาคนรัก อาโออิ มิยาซากิเล่นดีมากๆ ฉากนั้นเธอร้องเพลงใส่เต็มที่แบบเสียงเพี้ยนก็ช่าง แต่สีหน้าที่กึ่งยิ้มกึ่งร้องไห้นั้น เอาชนะใจคนดูไปเลย
สรุปรวมๆ เราชอบนะ รู้สึกว่าเป็นหนังที่เล่าเรื่องตรงไปตรงมาดี ไม่ฟูมฟายมากมาย แต่ก็ยังขอเตือนหลายคนที่คิดจะดูว่าอย่าเพิ่งถอดใจหากครึ่งแรกทำให้คุณง่วงนอน เพราะตอนต้นมันเรื่อยเปื่อยมากจริงๆ 555
เขียนโดย: ฟุ้งซ่านจัง
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/2016/10/26/mini-review-solanin-2010/
[Mini Review] Solanin (2010)
Solanin (2010)
ผู้กำกับ: Takahiro Miki
หยิบมาดูเพราะคุ้นชื่อเรื่องนี้มานานละ แล้วเห็นโปสเตอร์ภาพ อาโออิ มิยาซากิ ร้องเพลง ก็เลยเดาเอาเองว่าคงเป็นหนังแนวดนตรีแบบเรื่องอื่นๆ แต่ปรากฏว่าพอได้ดูเองแล้วแบบ เฮ้ย ทำไมหนังมันดำเนินเรื่องได้เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะขนาดนี้ นัยว่าขนาดตัวเรามีภูมิต้านทานความราบเรียบเงียบสงบของหนังญี่ปุ่นสูงเพราะดูมาหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้ก็ยังมาแรงแซงโค้งความนิ่งอันเป็นสไตล์หนังญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไปหลายปีแสง มั่นใจว่าคนที่ไม่เคยชินกับหนังที่ดำเนินเรื่องแบบสไตล์นิ่งๆ ไม่ค่อยมีแอคชั่นของตัวละครมากนักมาก่อน มีสิทธิ์ดูไม่จบแน่ๆ
เนื้อเรื่องคร่าวๆ ครึ่งแรกเป็นเรื่องของนางเอกที่มาใช้ชีวิตอยู่กับแฟนกันสองคน ฝ่ายชายกำลังฟอร์มวงเป็นนักดนตรี + นักแต่งเพลงกับเพื่อนๆ ตามล่าหาฝันอะไรทำนองนี้ ตัวนางเอกเองก็สะท้อนปัญหาชีวิตวัยรุ่นส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันได้ดีมาก คือไม่มีความฝันอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เธอแค่ออกจากบ้านตามแฟนมา และหางานอะไรก็ได้ทำแค่พอให้สามารถเลี้ยงตนเองในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันพอมองบุคคลอื่นที่มีความฝันแม้จะยังไม่สำเร็จเป็นผล แล้วย้อนกลับมามองตัวเอง เธอก็รู้สึกอิจฉาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในชีวิต แม้แต่ความฝันก็ยังไม่มีเลย
มาทราบทีหลังจากการค้นข้อมูลเพิ่มว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกัน เนื้อเรื่องเป็นแนว Slice of Life (ซึ่งเป็นคำศัพท์จากวงการการ์ตูน หมายถึงการ์ตูนที่ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เนื้อหาสะท้อนชีวิตประจำวันของตัวละคร) เราก็เลยไม่ค่อยแปลกใจมาก เพราะช่วงแรกของหนังที่ดูเรื่อยเปื่อยไร้ทิศทาง ก็คงสะท้อนชีวิตของนางเอกที่ดูเลื่อนลอย ไร้ทิศทางพอๆ กัน (นี่ไม่ได้ด่านะ พูดตามจริง) แต่ดีที่ตัวนักแสดงมีเสน่ห์พอสมควร เลยทำให้เฝ้าติดตามชีวิตไปเรื่อยๆ ได้ ที่จริง เราเองรู้สึกมาตั้งแต่เรื่อง Nana (2005) แล้วว่า อาโออิ มิยาซากิ เป็นคนน่ารัก แม้จะไม่ได้สวยจับตาขนาดนั้น แต่เวลาเคลื่อนไหวแล้วดูมีเสน่ห์น่ามอง (เพราะงั้น Nana ภาค 2 ถึงไม่เวิร์คเลยสำหรับเราเพราะเปลี่ยนตัวละครนี้ไป)
มาจนช่วงกลางเรื่องถึงค่อยมีจุดพีคนิดนึง เพราะตัวละครสำคัญมีอันต้องจากไป แต่ถึงกระนั้น หนังก็ยังไม่มีความดราม่าแต่อย่างใด ไม่มีการพยายามบิวด์ให้คนดูต้องเสียน้ำตา แต่เราก็ยังอดสงสารตัวละครในเรื่องไม่ได้อยู่ดี ฉากหนึ่งที่ค่อนข้างชอบ ก็คือฉากที่พ่อมานั่งเก็บข้าวของในห้องของลูกชายที่จากไป คือไม่ต้องสร้างอารมณ์ดราม่าอะไรมากมาย แต่คนดูเห็นฉากนี้ก็รับรู้ถึงความเศร้าที่อบอวลในบรรยากาศและบทสนทนา ณ เวลานั้นแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่ชอบคือตัวละครมีความเป็นมนุษย์ธรรมดามากๆ ฉากหนึ่งที่จำได้คือตัวละครหนึ่งถามนางเอกว่า “เธอรู้สึกโอเคขึ้นรึยัง…” นางเอกหัวเราะเศร้าๆ แล้วตอบว่า “ฉันจะโอเคได้ยังไงล่ะ” จากนั้นเธอก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ว่า… ฉันคิดว่าฉันต้องหยุดเสียใจกับเรื่องนี้เสียที” เราว่าบทพูดนี้ดูสมจริงดี นางเอกก็คือคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความเข้มแข็งมาจากไหน เธอยอมรับว่าเธอยังคงเสียใจกับการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไป แต่ก็นั่นแหละ เราทุกคนรู้ดีว่าความเสียใจมันก็ควรมีจุดจบของมัน ไม่มีใครอยากเศร้าไปตลอดหรอก และคำพูดนี้เองที่แสดงถึงจุดเปลี่ยนแปลงของเธอ เธออยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการ “ปลดปล่อย” หากแต่มันไม่ใช่การปลดปล่อยตัวเองจากความทรงจำของความรัก แต่เป็นการปลดปล่อยตัวเองจากความเศร้าเสียมากกว่า
เนื้อเรื่องในครึ่งหลังดีขึ้นมากตามเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น ในฉากเกือบสุดท้ายที่นางเอกตัดสินใจร้องเพลงเพื่อบอกลาคนรัก อาโออิ มิยาซากิเล่นดีมากๆ ฉากนั้นเธอร้องเพลงใส่เต็มที่แบบเสียงเพี้ยนก็ช่าง แต่สีหน้าที่กึ่งยิ้มกึ่งร้องไห้นั้น เอาชนะใจคนดูไปเลย
สรุปรวมๆ เราชอบนะ รู้สึกว่าเป็นหนังที่เล่าเรื่องตรงไปตรงมาดี ไม่ฟูมฟายมากมาย แต่ก็ยังขอเตือนหลายคนที่คิดจะดูว่าอย่าเพิ่งถอดใจหากครึ่งแรกทำให้คุณง่วงนอน เพราะตอนต้นมันเรื่อยเปื่อยมากจริงๆ 555
เขียนโดย: ฟุ้งซ่านจัง
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/2016/10/26/mini-review-solanin-2010/