สวัสดีค่ะพี่ๆน้องเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกๆท่าน
วันนี้มี่เอาผลิตภัณฑ์ Whitening ชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลก มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมให้ชมกันค่ะ
สำหรับรีวิวของมี่ จะเน้นไปในแนววิชาการ และก็ผลิตภัณฑ์บางตัวมี่ยังไม่ได้ลองใช้ วิเคราะห์จากส่วนผสมเท่านั้น โดยอิงจากหลักการทางวิทยาศาสตร์นะคะ
กระทู้เก่าๆที่เป็นรีวิวจัดเต็มก็จะมี รีวิวผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น Eye cream ภาค 1 ภาค 2, Sleeping pack, Primer, Essence, Moisturizer และ Skincare สำหรับผิวมัน
ตรงท้ายของกระทู้เดี๋ยวทิ้งลิงค์ไว้ให้นะคะ
สำหรับผู้เข้าประกวดคราวนี้มี 24 ชิ้น จาก 24 แบรนด์ค่ะ ดังรูป
ถ้าวิเคราะห์จากส่วนผสม โดยไม่คำนึงถึงเทคโนโลยีที่ใช้ เพราะส่วนผสมไม่สามารถบอกระดับขั้นของเทคโนโลยีได้ค่ะ
ตัวไหนจะเป็นอย่างไรเรามาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ
ก่อนจะรีวิว ขอมาดูเรื่องการสร้างสีผิวกันซักนิดดีกว่านะคะ
จากรูปเราจะเห็นว่า เซลล์ที่สร้าง Melanin ที่เป็นเม็ดสีผิวนั้น จะทำงานได้ต้องมีฮอร์โมน MSH มากระตุ้นค่ะ นอกจากนี้ด้วยความเครียด การอักเสบ ฮอร์โมน และรังสี UV จากแสงแดด
เจ้า MSH นี่ก็จะไปกระตุ้นให้เซลล์เกิดการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ที่ไปเปลี่ยนกรดอะมิโน Tyrosine ให้กลายเป็น Melanin ค่ะ
Melanin ที่ได้ก็จะเก็บไว้ในถุงๆ ที่ชื่อ Melanosome แล้วส่งออกไปข้างนอก ให้เราเห็นเป็นสีผิว
ถ้าแบ่งกันแบบง่ายๆ เราจะแบ่งสารที่ให้ผลด้าน Whitening ออกเป็น 3 Phase ตามขั้นตอนในการสร้างเม็ดสีผิวค่ะ
Phase 1: คือ สารที่ออกฤทธิ์ก่อนมีการสร้างเม็ดสี ส่วนมากจะเน้นไปที่ MSH ซึ่งเป็นตัวแม่ของการสร้างเม็ดสี แม่จะไปสั่งให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานเยอะขึ้นค่ะ
จริงอยู่ที่ Antioxidant และ สารที่มีผลลดการอักเสบ และระคายเคือง เช่น Allantoin, Bisabolol, คาโมมายล์ ว่านหางจระเข้ สามารถทำให้เม็ดสีจางลงได้ แต่มันไม่ได้ตรง Target มากเหมือนพวกที่ยับยั้ง MSH นะคะ มี่จะไม่ให้คะแนนในจุดนี้ค่ะ
Phase 2: คือ พวกที่ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase
และ Phase 3: คือ พวกที่ออกฤทธิ์หลังเม็ดสีสร้างเสร็จแล้ว เช่น ยับยั้งการส่งผ่านถุงเก็บเมลานิน หรือ ผลัดผิวออกค่ะ
เดี๋ยวนี้ตลาด Whitening ก็มีกลไกพิสดารพันลึกมากกว่านี้อีกค่ะจะได้มีจุดขาย
พร้อมแล้ว มาดูเงื่อนไขของมี่กันก่อนเนาะ
1. ขอสงวนลิขสิทธิ์ทุกกรณีในบทความ เว้นแต่การนำไปใช้เพื่อการศึกษา
2. ผู้เขียนมีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภค
3. ผู้เขียนไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อชื่นชม หรือ Discredit ผลิตภัณฑ์ไหน
4. ผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ
5. การให้คะแนนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
6. การตอบสนองต่อเครื่องสำอางของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน บางคนใช้ได้แล้วหน้าปัง แต่บางคนใช้แล้วหน้าพังก็มี การดูส่วนผสมเป็นเพียงแนวทางเฉยๆค่ะ
7. การแพ้/อุดตัน/ระคายเคือง คาดเดาไม่ได้ ดังนั้นคำถามว่า แพ้ไหม อุดตันไหม เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้นะคะ
8. ส่วนผสมบางชุดที่มีสารสีแดง ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดีเสมอไป เพราะการตอบสนองขึ้นกับความเข้มข้นด้วย ถ้าเค้าใส่น้อยๆก็คือดี แต่เค้าใส่มากๆก็อาจจะมีผลข้างเคียง ไม่ใช่ว่าเห็นสารสีแดงและจะ Ban ไปเลยนะคะ
9. ขอสงวนลิขสิทธิ์ทุกกรณีในบทความ ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
สำหรับส่วนผสม มี่ไปเอามาจากพวกเวบไซต์ เช่น เวบไซต์ Official ของแบรนด์ หรือ Beautypedia ของป้าพอลล่า รวมถึงเวบขายสินค้าของทาง US เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ตรงกับที่จำหน่ายในบ้านเราก็ได้นะคะ
ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening นี้จะเป็นสูตรที่มีเฉพาะใน Asia เลยหาส่วนผสมได้ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าเป็นตัวที่ออกใหม่ๆนี่คือ ยากมาก แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย
ขอแปะคะแนนรวมไว้ก่อนเลยนะคะ
หมายเหตุ: ผลิตภัณฑ์บางตัว ไม่มีสารบำรุงอื่นๆเลย นอกจากสารออกฤทธิ์เป็น Whitening มี่จะไม่คิดคะแนนรวมของพวกนี้นะคะ มันจะไม่แฟร์กับตัวอื่นๆ ทั้งๆที่บางตัวส่วนผสมด้าน Whitening เยินมาก แต่สารบำรุงกับส่วนผสมอื่นๆได้คะแนนดีกว่า ก็จะชนะไป งี้หรอ ไม่แฟร์อ่ะ
สำหรับคำถามยอดฮิต ว่าเดาไม่ออก คือแบรนด์อะไร ถ้าใครใช้ Chrome ลองทำแบบนี้ดูนะคะ
สุดท้ายนี้ขอฝากกระทู้เก่าๆ และฝากเพจด้วยนะค๊า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แฟนเพจ
https://www.facebook.com/PinkCosmetIS
แผลเป็น
http://ppantip.com/topic/32135282
Eye cream ภาค 1
http://ppantip.com/topic/32311549
Eye cream ภาค 2
http://ppantip.com/topic/32635443
Sleeping pack
http://ppantip.com/topic/33057224
Essence
http://ppantip.com/topic/32794605
Barrier cream
http://ppantip.com/topic/33431569
Whitening
http://ppantip.com/topic/33661639
คุมมัน
http://ppantip.com/topic/33945560
กันแดด
http://ppantip.com/topic/34440826
ชะลอวัย ลดริ้วรอย
http://ppantip.com/topic/35121595
Skincare เติมน้ำ
http://ppantip.com/topic/35445869
แวะไปคุยกันได้นะคะ
พร้อมแล้ว เริ่ม !!!
ตัวแรก
ส่วนผสมค่ะ
Whitening ตัวดังจากแบรนด์ E มีส่วนผสมที่เรียบง่ายตามสไตล์คอนเซปท์ของแบรนด์
ในด้านไวท์เทนนิ่งอาศัย 4-Butylresorcinol เป็นตัวหลัก ให้ผลลดการสร้างเม็ดสีผิว ซึ่งสารนี้มีการทดสอบในอาสาสมัครที่เป็นฝ้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ 0.1% เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ พบว่ารอยฝ้าจางลง และมีผลข้างเคียงน้อยมาก (Ann Dermatol. 2010; 22(1): 21–25.)
คะแนน
1. Whitening อาศัยส่วนผสมของ 4-Butylresorcinol เป็นตัวหลักในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี เสริมมากับ Glycyrrhetinic Acid ที่ได้จากชะเอม ถึงแม้สารจะมีการศึกษามาเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากมีการออกฤทธิ์แค่เพียง Phase 2 Phase เดียว เลยขอให้ 2 ฟลาสก์
2. สารบำรุงอื่นๆ มีส่วนของไขมันทดแทนผิว และ Panthenol ซึ่งให้ผลในด้านการลดการอักเสบ และเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี ขอให้ 3 ฟลาสก์
3. ส่วนผสมอื่นๆ มีส่วนผสมของ Alcohol และ parabens เลยขอหักไป เหลือ 3 ฟลาสก์
ตัวที่ 2
ส่วนผสม
โลชั่นตัวดังจากแบรนด์ M ของทางฝั่งเกาหลี อัดแน่นด้วยส่วนผสมจากดอกไม้สีขาว และดอกไม้หลายๆชนิด แต่ตัวออกฤทธิ์ด้าน Whitening หลักจะเป็น Daisy, Lily และ Niacinamide ซึ่งให้ผลออกฤทธิ์ที่ 2 Phase คือ Phase 2 การสร้างเม็ดสี และ Phase 3 การส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก
สำหรับ Daisy extract ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Step
คะแนน
1.Whitening มีกลไกการออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Step (ถ้าอิงจากข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบ) เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีทั้งส่วนของไขมันทดแทนให้ผิว และสารบำรุงอีกมากมายหลายชนิด เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
ตัวที่ 3
ส่วนผสม
เอสเซนส์สัญชาติเกาหลีจากแบรนด์บ้านสีชมพู มีส่วนผสมของ Niacinamide กับพวกสารสกัดจากผล Acerola, Plum และ Acai berry ให้ผลออกฤทธิ์ที่ 2 Phase คือ Step การสร้างเม็ดสี และ Step การส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก
คะแนน
1.Whitening มีสารอยู่ 6 ชนิด กลไกการออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 Phase จึงขอให้ไป 4 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีสารบำรุงอยู่แค่น้ำทะเล ที่ให้ความรู้สึกสบายผิว และ ไข่มุกที่ให้ผลเรื่องชุ่มชื้น เลยขอให้ 2 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ มีส่วนผสมของ Alcohol เลยขอให้ 4 ฟลาสก์
ตัวที่ 4
ส่วนผสม
เซรัมตัวดังของคุณป้าที่ให้ผลด้านการชะลอวัยและไวท์เทนนิ่งไปพร้อมกัน
ในส่วนของสารออกฤทธิ์นั้นใช้คู่ขวัญ N-acetyl glucosamine (NAG) กับ Niacinamide ซึ่งมีการทดสอบแล้วพบว่าเสริมฤทธิ์กันเรื่องผิวขาวและริ้วรอยได้เป็นอย่างดีตามมาด้วยพวก Mulberry ชะเอม และวิตซี ที่ให้ผลลดการสร้างเม็ดสี
โดยรวมจึงให้ผลออกฤทธิ์ที่ 2 Phase คือ Phase 2 และ 3
คะแนน
1. Whitening มีส่วนผสมคู่ขวัญของ NAG + B3 ที่ผ่านการศึกษาค้นคว้ามา และมีการออกฤทธิ์อื่นๆอีก 4 ตัว ผ่าน 2 Phase เลยขอให้ไป 4 ฟลาสก์
2. สารบำรุงอื่นๆ มีส่วนผสมของ Ceramides หลายชนิดที่ให้ผลฟื้นฟู Barrier ให้สมบูรณ์ ให้ผิวแข็งแรง ร่วมกับพวก Cholesterol ที่ให้ผลด้าน Barrier เช่นกัน มีสารสกัดที่ให้ผลด้านริ้วรอย กับสารบำรุงอื่นๆที่ให้ผลด้านความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และชะลอวัย เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
3. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
ตัวที่ 5
ส่วนผสม
แบรนด์ B เจ้าของ Cleansing water ตัวดัง
สำหรับตัวนี้ สารที่ให้ผลด้านความขาว จะเป็น วิตซี B3 ชะเอม ร่วมกับสารที่น่าสนใจอีก 2 ชนิด คือ Lysine azelate ซึ่ง เป็นสารเชิงซ้อนของกรดอะมิโน Lysine กับ Azelaic acid มีกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกับ Azelaic acid คือ ให้ผลดีทั้งในด้านสิว และผิวขาว และ Hexapeptide-2 ที่ไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนแม่ อย่าง MSH ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเอนไซม์ Tyrosinase ออกมา
จึงถือว่ามีการออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Phase
คะแนน
1.Whitening มีการออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Phase เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็น Antioxidant และมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ร่วมกับพวกน้ำตาล และ Oligosaccharide ซึ่งให้ผลในด้านภูมิคุ้มกันของผิว และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ส่วนสารสกัดจาก Laminaria ก็มีฤทธิ์ลดการอักเสบเช่นกัน ให้ไป 5 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ Sodium metabisulfite แม้จะช่วยเพิ่มความคงตัวให้แก่สารส่วนผสมได้ดี แต่ก็จะสลายตัวปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ออกมา ทำให้อาจจะระคายเคืองผิวได้ และมีส่วนผสมของ Paraben เลยขอให้ 3 ฟลาสก์
ตัวที่ 6
ส่วนผสม
น้ำตบจากแบรนด์ I ที่เคลมว่าได้ทั้งกระชับรูขุมขนและผิวขาวไปพร้อมๆกัน
ในส่วนของด้าน Whitening จะมีสารสกัดจากเปลือกส้ม Arbutin และ วิตซี ที่ให้ผลลดการสร้างเม็ดสีผิวเป็นหลัก
คะแนน
1.Whitening มีกลไกการออกฤทธิ์โดยลดการสร้างเม็ดสี ที่ Phase 2 เพียงอย่างเดียว ขอให้ 2 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีน้ำมันจากธรรมชาติ สารสกัดจากชา ที่เป็น Antioxidant และ Yarrow ซึ่งมีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการลดริ้วรอยและกระชับรูขุมขน (Int J Cosmet Sci. 2011;33(6):535-42.) Betaine ช่วยเรื่องความรู้สึกสบายผิวและความชุ่มชื้น ขอให้ไป3 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ มี Alcohol ที่อาจจะทำให้บางคนไม่สบายผิวได้เลยขอให้ไป 4 ฟลาสก์
ตัวที่ 7 เป็นต้นไป ต่อใน rep 1 นะคะ
[CR] [Cosmetic Ingredients review] มหกรรมวิเคราะห์ส่วนผสม whitening นานาชาติ ครั้งที่ 2 ตัวไหนเด็ด ตัวไหนดี มาดูกัน
วันนี้มี่เอาผลิตภัณฑ์ Whitening ชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลก มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมให้ชมกันค่ะ
สำหรับรีวิวของมี่ จะเน้นไปในแนววิชาการ และก็ผลิตภัณฑ์บางตัวมี่ยังไม่ได้ลองใช้ วิเคราะห์จากส่วนผสมเท่านั้น โดยอิงจากหลักการทางวิทยาศาสตร์นะคะ
กระทู้เก่าๆที่เป็นรีวิวจัดเต็มก็จะมี รีวิวผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น Eye cream ภาค 1 ภาค 2, Sleeping pack, Primer, Essence, Moisturizer และ Skincare สำหรับผิวมัน
ตรงท้ายของกระทู้เดี๋ยวทิ้งลิงค์ไว้ให้นะคะ
สำหรับผู้เข้าประกวดคราวนี้มี 24 ชิ้น จาก 24 แบรนด์ค่ะ ดังรูป
ถ้าวิเคราะห์จากส่วนผสม โดยไม่คำนึงถึงเทคโนโลยีที่ใช้ เพราะส่วนผสมไม่สามารถบอกระดับขั้นของเทคโนโลยีได้ค่ะ
ตัวไหนจะเป็นอย่างไรเรามาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ
ก่อนจะรีวิว ขอมาดูเรื่องการสร้างสีผิวกันซักนิดดีกว่านะคะ
จากรูปเราจะเห็นว่า เซลล์ที่สร้าง Melanin ที่เป็นเม็ดสีผิวนั้น จะทำงานได้ต้องมีฮอร์โมน MSH มากระตุ้นค่ะ นอกจากนี้ด้วยความเครียด การอักเสบ ฮอร์โมน และรังสี UV จากแสงแดด
เจ้า MSH นี่ก็จะไปกระตุ้นให้เซลล์เกิดการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ที่ไปเปลี่ยนกรดอะมิโน Tyrosine ให้กลายเป็น Melanin ค่ะ
Melanin ที่ได้ก็จะเก็บไว้ในถุงๆ ที่ชื่อ Melanosome แล้วส่งออกไปข้างนอก ให้เราเห็นเป็นสีผิว
ถ้าแบ่งกันแบบง่ายๆ เราจะแบ่งสารที่ให้ผลด้าน Whitening ออกเป็น 3 Phase ตามขั้นตอนในการสร้างเม็ดสีผิวค่ะ
Phase 1: คือ สารที่ออกฤทธิ์ก่อนมีการสร้างเม็ดสี ส่วนมากจะเน้นไปที่ MSH ซึ่งเป็นตัวแม่ของการสร้างเม็ดสี แม่จะไปสั่งให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานเยอะขึ้นค่ะ
จริงอยู่ที่ Antioxidant และ สารที่มีผลลดการอักเสบ และระคายเคือง เช่น Allantoin, Bisabolol, คาโมมายล์ ว่านหางจระเข้ สามารถทำให้เม็ดสีจางลงได้ แต่มันไม่ได้ตรง Target มากเหมือนพวกที่ยับยั้ง MSH นะคะ มี่จะไม่ให้คะแนนในจุดนี้ค่ะ
Phase 2: คือ พวกที่ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase
และ Phase 3: คือ พวกที่ออกฤทธิ์หลังเม็ดสีสร้างเสร็จแล้ว เช่น ยับยั้งการส่งผ่านถุงเก็บเมลานิน หรือ ผลัดผิวออกค่ะ
เดี๋ยวนี้ตลาด Whitening ก็มีกลไกพิสดารพันลึกมากกว่านี้อีกค่ะจะได้มีจุดขาย
พร้อมแล้ว มาดูเงื่อนไขของมี่กันก่อนเนาะ
1. ขอสงวนลิขสิทธิ์ทุกกรณีในบทความ เว้นแต่การนำไปใช้เพื่อการศึกษา
2. ผู้เขียนมีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภค
3. ผู้เขียนไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อชื่นชม หรือ Discredit ผลิตภัณฑ์ไหน
4. ผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ
5. การให้คะแนนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
6. การตอบสนองต่อเครื่องสำอางของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน บางคนใช้ได้แล้วหน้าปัง แต่บางคนใช้แล้วหน้าพังก็มี การดูส่วนผสมเป็นเพียงแนวทางเฉยๆค่ะ
7. การแพ้/อุดตัน/ระคายเคือง คาดเดาไม่ได้ ดังนั้นคำถามว่า แพ้ไหม อุดตันไหม เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้นะคะ
8. ส่วนผสมบางชุดที่มีสารสีแดง ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดีเสมอไป เพราะการตอบสนองขึ้นกับความเข้มข้นด้วย ถ้าเค้าใส่น้อยๆก็คือดี แต่เค้าใส่มากๆก็อาจจะมีผลข้างเคียง ไม่ใช่ว่าเห็นสารสีแดงและจะ Ban ไปเลยนะคะ
9. ขอสงวนลิขสิทธิ์ทุกกรณีในบทความ ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
สำหรับส่วนผสม มี่ไปเอามาจากพวกเวบไซต์ เช่น เวบไซต์ Official ของแบรนด์ หรือ Beautypedia ของป้าพอลล่า รวมถึงเวบขายสินค้าของทาง US เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ตรงกับที่จำหน่ายในบ้านเราก็ได้นะคะ
ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening นี้จะเป็นสูตรที่มีเฉพาะใน Asia เลยหาส่วนผสมได้ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าเป็นตัวที่ออกใหม่ๆนี่คือ ยากมาก แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย
ขอแปะคะแนนรวมไว้ก่อนเลยนะคะ
หมายเหตุ: ผลิตภัณฑ์บางตัว ไม่มีสารบำรุงอื่นๆเลย นอกจากสารออกฤทธิ์เป็น Whitening มี่จะไม่คิดคะแนนรวมของพวกนี้นะคะ มันจะไม่แฟร์กับตัวอื่นๆ ทั้งๆที่บางตัวส่วนผสมด้าน Whitening เยินมาก แต่สารบำรุงกับส่วนผสมอื่นๆได้คะแนนดีกว่า ก็จะชนะไป งี้หรอ ไม่แฟร์อ่ะ
สำหรับคำถามยอดฮิต ว่าเดาไม่ออก คือแบรนด์อะไร ถ้าใครใช้ Chrome ลองทำแบบนี้ดูนะคะ
สุดท้ายนี้ขอฝากกระทู้เก่าๆ และฝากเพจด้วยนะค๊า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แวะไปคุยกันได้นะคะ
พร้อมแล้ว เริ่ม !!!
ตัวแรก
ส่วนผสมค่ะ
Whitening ตัวดังจากแบรนด์ E มีส่วนผสมที่เรียบง่ายตามสไตล์คอนเซปท์ของแบรนด์
ในด้านไวท์เทนนิ่งอาศัย 4-Butylresorcinol เป็นตัวหลัก ให้ผลลดการสร้างเม็ดสีผิว ซึ่งสารนี้มีการทดสอบในอาสาสมัครที่เป็นฝ้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ 0.1% เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ พบว่ารอยฝ้าจางลง และมีผลข้างเคียงน้อยมาก (Ann Dermatol. 2010; 22(1): 21–25.)
คะแนน
1. Whitening อาศัยส่วนผสมของ 4-Butylresorcinol เป็นตัวหลักในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี เสริมมากับ Glycyrrhetinic Acid ที่ได้จากชะเอม ถึงแม้สารจะมีการศึกษามาเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากมีการออกฤทธิ์แค่เพียง Phase 2 Phase เดียว เลยขอให้ 2 ฟลาสก์
2. สารบำรุงอื่นๆ มีส่วนของไขมันทดแทนผิว และ Panthenol ซึ่งให้ผลในด้านการลดการอักเสบ และเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี ขอให้ 3 ฟลาสก์
3. ส่วนผสมอื่นๆ มีส่วนผสมของ Alcohol และ parabens เลยขอหักไป เหลือ 3 ฟลาสก์
ตัวที่ 2
ส่วนผสม
โลชั่นตัวดังจากแบรนด์ M ของทางฝั่งเกาหลี อัดแน่นด้วยส่วนผสมจากดอกไม้สีขาว และดอกไม้หลายๆชนิด แต่ตัวออกฤทธิ์ด้าน Whitening หลักจะเป็น Daisy, Lily และ Niacinamide ซึ่งให้ผลออกฤทธิ์ที่ 2 Phase คือ Phase 2 การสร้างเม็ดสี และ Phase 3 การส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก
สำหรับ Daisy extract ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Step
คะแนน
1.Whitening มีกลไกการออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Step (ถ้าอิงจากข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบ) เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีทั้งส่วนของไขมันทดแทนให้ผิว และสารบำรุงอีกมากมายหลายชนิด เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
ตัวที่ 3
ส่วนผสม
เอสเซนส์สัญชาติเกาหลีจากแบรนด์บ้านสีชมพู มีส่วนผสมของ Niacinamide กับพวกสารสกัดจากผล Acerola, Plum และ Acai berry ให้ผลออกฤทธิ์ที่ 2 Phase คือ Step การสร้างเม็ดสี และ Step การส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก
คะแนน
1.Whitening มีสารอยู่ 6 ชนิด กลไกการออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 Phase จึงขอให้ไป 4 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีสารบำรุงอยู่แค่น้ำทะเล ที่ให้ความรู้สึกสบายผิว และ ไข่มุกที่ให้ผลเรื่องชุ่มชื้น เลยขอให้ 2 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ มีส่วนผสมของ Alcohol เลยขอให้ 4 ฟลาสก์
ตัวที่ 4
ส่วนผสม
เซรัมตัวดังของคุณป้าที่ให้ผลด้านการชะลอวัยและไวท์เทนนิ่งไปพร้อมกัน
ในส่วนของสารออกฤทธิ์นั้นใช้คู่ขวัญ N-acetyl glucosamine (NAG) กับ Niacinamide ซึ่งมีการทดสอบแล้วพบว่าเสริมฤทธิ์กันเรื่องผิวขาวและริ้วรอยได้เป็นอย่างดีตามมาด้วยพวก Mulberry ชะเอม และวิตซี ที่ให้ผลลดการสร้างเม็ดสี
โดยรวมจึงให้ผลออกฤทธิ์ที่ 2 Phase คือ Phase 2 และ 3
คะแนน
1. Whitening มีส่วนผสมคู่ขวัญของ NAG + B3 ที่ผ่านการศึกษาค้นคว้ามา และมีการออกฤทธิ์อื่นๆอีก 4 ตัว ผ่าน 2 Phase เลยขอให้ไป 4 ฟลาสก์
2. สารบำรุงอื่นๆ มีส่วนผสมของ Ceramides หลายชนิดที่ให้ผลฟื้นฟู Barrier ให้สมบูรณ์ ให้ผิวแข็งแรง ร่วมกับพวก Cholesterol ที่ให้ผลด้าน Barrier เช่นกัน มีสารสกัดที่ให้ผลด้านริ้วรอย กับสารบำรุงอื่นๆที่ให้ผลด้านความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และชะลอวัย เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
3. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
ตัวที่ 5
ส่วนผสม
แบรนด์ B เจ้าของ Cleansing water ตัวดัง
สำหรับตัวนี้ สารที่ให้ผลด้านความขาว จะเป็น วิตซี B3 ชะเอม ร่วมกับสารที่น่าสนใจอีก 2 ชนิด คือ Lysine azelate ซึ่ง เป็นสารเชิงซ้อนของกรดอะมิโน Lysine กับ Azelaic acid มีกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกับ Azelaic acid คือ ให้ผลดีทั้งในด้านสิว และผิวขาว และ Hexapeptide-2 ที่ไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนแม่ อย่าง MSH ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเอนไซม์ Tyrosinase ออกมา
จึงถือว่ามีการออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Phase
คะแนน
1.Whitening มีการออกฤทธิ์ครบถ้วนทั้ง 3 Phase เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็น Antioxidant และมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ร่วมกับพวกน้ำตาล และ Oligosaccharide ซึ่งให้ผลในด้านภูมิคุ้มกันของผิว และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ส่วนสารสกัดจาก Laminaria ก็มีฤทธิ์ลดการอักเสบเช่นกัน ให้ไป 5 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ Sodium metabisulfite แม้จะช่วยเพิ่มความคงตัวให้แก่สารส่วนผสมได้ดี แต่ก็จะสลายตัวปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ออกมา ทำให้อาจจะระคายเคืองผิวได้ และมีส่วนผสมของ Paraben เลยขอให้ 3 ฟลาสก์
ตัวที่ 6
ส่วนผสม
น้ำตบจากแบรนด์ I ที่เคลมว่าได้ทั้งกระชับรูขุมขนและผิวขาวไปพร้อมๆกัน
ในส่วนของด้าน Whitening จะมีสารสกัดจากเปลือกส้ม Arbutin และ วิตซี ที่ให้ผลลดการสร้างเม็ดสีผิวเป็นหลัก
คะแนน
1.Whitening มีกลไกการออกฤทธิ์โดยลดการสร้างเม็ดสี ที่ Phase 2 เพียงอย่างเดียว ขอให้ 2 ฟลาสก์
2.สารบำรุงอื่นๆ มีน้ำมันจากธรรมชาติ สารสกัดจากชา ที่เป็น Antioxidant และ Yarrow ซึ่งมีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการลดริ้วรอยและกระชับรูขุมขน (Int J Cosmet Sci. 2011;33(6):535-42.) Betaine ช่วยเรื่องความรู้สึกสบายผิวและความชุ่มชื้น ขอให้ไป3 ฟลาสก์
3.ส่วนผสมอื่นๆ มี Alcohol ที่อาจจะทำให้บางคนไม่สบายผิวได้เลยขอให้ไป 4 ฟลาสก์
ตัวที่ 7 เป็นต้นไป ต่อใน rep 1 นะคะ