สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
เจ้าของกระทู้ถ้าอยากรู้ว่านิพพานมีจริงไหม ก็ควรแท็กเฉพาะห้องพุทธศาสนานะครับ ไม่ควรแท็กห้องวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งที่ท่านสงสัยนั้นวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ และคนในห้องนั้นส่วนใหญ่มีแนวคิดชอบเหมาว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ก็คือไม่มีจริง ทั้งที่ความจริงยังพิสูจน์ไม่ได้ ก้ไม่ควรด่วนสรุปว่า "มี" หรือ "ไม่มี" ครับ แต่ก็ช่างพวกเขาครับ
ทีนี้กลับเข้ามาที่เรื่องเจ้าของกระทู้นะครับ อันดับแรกผมขอเดาก่อนว่าคุณมีความรู้ทางธรรมเข้าใกล้ศูนย์ คือ คุณไม่เคยสนใจศึกษาศาสนาพุทธจริงจัง ปฏิบัติตามๆประเพณี เรื่องนรกสวรรค์คุณก็อาจจะเชื่อครึ่ง หรืออาจจะไม่เชื่อเลย ... ผมก็ขอตอบตามตรงว่า ถ้ายึดเอาตามพุทธศาสนาที่แท้จริง ตามที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ นี่คือ 10 อย่างที่มีจริงครับ เป็นกฏของโลก ซึ่งวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
ส่วนนิพพานคือจุดสูงสุดของพระพุทธศาสนาครับ พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน เพราะเป้าหมายของพระพุทธศาสนาที่สูงสุดคือพาคนไปนิพพานนั่นเอง
......
ทีนี้กลับมาที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสระบุรีก่อน เพราะการสอนของพระพุทธเจ้าโดยตามหลักที่ถูกไม่ได้หมายความว่าให้ละทิ้งทุกอย่าง ต้องพิจารณาอีกว่าเค้าหมายถึงละทิ้งอะไร ซึ่งปกติการจะไปนิพพานไม่ใช่ของง่าย ต้องผ่านการฝึกฝนจิตเป็นขั้นๆ ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บบอกทิ้งทุกอย่างแล้วจะไปได้เลย อันนั้นทางพุทธเรียกว่า "อัตตกาลิมฐานุโยค" (อาจจะเขียนไม่ถูก) แปลได้ว่า "แข็งเกินไป" ไม่ใช่ทางสายกลาง ... ตามแนวทางพระพุทธเจ้าจะต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ ผมไม่รู้ว่าที่ศูนย์นั้นสอนกันมาอย่างไรจึงบอกไม่ได้แน่ชัดครับว่าถูกหรือผิด ที่แน่ๆอะไรที่มันเวอร์เกินไป หรือเป็นการทำร้ายตัวเอง ให้คิดไว้ก่อนว่ามาผิดทางครับ ไม่ว่าจะเป็นทางการบริจาคทรัพย์ชนิดกู้หนี้ยืมสิน บริจาคแล้วตัวเองเดือดร้อน อย่างนี้ผิดทาง ... หรือการให้อดข้าว หรือทรมานร่างกาย ก็ผิดครับ ... สนใจพิธีกรรมมากเกินไปก็ผิดทาง ... แนะนำคุณไปเองแล้วเอามาเล่าจะดีที่สุดครับ
.
.
.
ท้ายนี้ที่คุณสงสัยว่าถ้าคนไปนิพพานหมด จะมีสิ่งประดิษฐ์ innovation ใหม่ๆได้ยังไงครับ ผมก็ขอถามกลับตามหลักพระพุทธศาสนาว่า "แล้วทำไมต้องมีอ่ะครับ ?" ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันจะต้องตายสลายพลัดพราก ไม่มันพังหายไป ก็คุณตายไปจากมัน แล้วคุณก็ไม่มีทางรู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ คุณจะไปสนใจทางโลกเพื่อประโยชน์อะไร คุณดูสตีฟ จ๊อบก็ได้ นักคิดค้นทำนวัตกรรม แต่ตัวเองไม่ทันได้ใช้เงินก็ตายแล้ว มันก็แค่นั้นครับชีวิต ถ้าไม่มีโลกนี้โลกหน้านี่ง่ายนะ ตายแล้วจบ แต่บังเอิญพระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้พบด้วยพระโพธิญาณว่าตายแล้วยังไม่จบ ตายแล้วยังต้องเกิดไปตามกรรมที่ทำ ถ้าเกิดเป็นคนใหม่ ก็ต้องเจอเรื่องอย่างนี้อีก สร้างโน้นสร้างนี่ เอาตาย วนใหม่ ทุกข์ซ้ำๆ ... พระพุทธศาสนาจึงไม่เห็นอะไรในโลกมีค่าแล้ว ต้องไปสายเดียวคือนิพพาน ... ผมรู้ว่าคุณยังไม่เข้าใจ เพราะคุณคิดว่าศาสนาน่าจะมีไว้เพื่อให้คนบนโลกสงบสุข โลกเจริญอะไรแบบนี้ แต่ศาสนาพุทธไม่ใช่อย่างนั้นครับ ศาสนาพุทธต้องการอย่างเดียวคือให้ทุกคนบนโลกพ้นทุกข์ แต่การที่โลกเจริญขึ้น มันไม่ได้ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ ... คนจะรวยแค่ไหนก้ตามถ้ายังมีกิเลสชุ่มจิตใจ มีเป็นพันล้านก็ยังทุกข์กว่าคนที่มี 1 ล้านแล้วพอใจในสิ่งที่ตนมี ... ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้คนมีความสุขไม่ได้มาจากภายนอก แต่อยู่ที่ภายในครับ นี่คือหลักของพระพุทธศาสนา สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แบบเบื้องต้นครับ
Edit :: ตอบเพิ่มอีกเพื่อให้ท่านหายสงสัยมากขึ้น
แต่ถ้าเกิดเราต้องละทิ้งครอบครัวบิดามารดาหรือผู้มีพระคุณ เราจะไม่ผิดข้อปฏิบัติเรื่องกตัญญูกตเวทีหรือครับ
ตอบ ที่ต้องให้ละทิ้ง คือละทิ้งกิเลสครับ ไม่ใช่ละทิ้งพ่อแม่ ... ละทิ้งในทีนี้คือความรู้สึกผูกพัน เรายังคงดูแลพ่อแม่ตามปกติเพราะเป็นหน้าที่ของบุตร แต่หากพ่อแม่เราจะตายขึ้นมา แล้วเราไม่สามารถช่วยเหลือได้ เราต้องทำใจวางเฉยได้ ไม่ทุกข์ไปกับมัน นี่คือหลักการครับ ... ที่ให้ละเนี่ย มันสำคัญที่ ละที่ใจ ครับ ไม่ใช่ละสิ่งของหรือบุคคลภายนอก
แล้วคฤหัสถ์ที่เค้าทั้งปฏิบัติและยังทำมาหากินอยู่เค้าจะใช้ชีวิตแบ่งโสตประสาทยังไงครับ
ตอบ ภายนอกก็ปกติ ทำงานหาเลี้ยงชีพ แต่ภายในคือพระ ทำงานก็เพื่อเลี้ยงตัวเองตามความจำเป็น เงินที่ทำบุญไม่ได้เป็นตัวบอกอะไรเลยว่าเขาละได้ไหม คนทำบุญเยอะจนหมดตัว แต่ใจยังหวังรวย หวังลาภยศคำสรรเสริญ แบบนี้ยังสู้คนที่ทำบุญน้อย แต่ใจไม่ได้หวังรวย หวังสรรเสริญไม่ได้ครับ
แล้วคนที่ทำงานไปด้วยจะไปถึงนิพพานช้ากว่าคนที่ไปอยู่ที่วัดเลยอย่างนั้นมั้ยครับ
ตอบ ไม่จำเป็นครับ แต่แนวโน้มมักจะช้ากว่าเพราะเรื่องทางโลกมีความวุ่นวายมากกว่าพระที่บวชวัดครับ คนที่ทำงานหาเลี้ยงตัวก็ต้องเหนื่อยกว่า ทะเลาะกับคนรอบข้าง หัวหน้าบ้าง เพื่อนร่วมงาน กลับบ้านก็หมดแรงแล้ว เวลาว่างก็เอาไปบันเทิง ... ส่วนพระมีข้าวให้กิน งานการก็น้อย เวลาว่างมาก แล้วไม่มีบันเทิง ไม่มีหญิงมากวนใจ อยุ่ใกล้ชิดพระศาสนา สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงได้ไวกว่าครับ ... แต่ฆราวาสก็สามารถทำได้นะถ้าแบ่งเวลา สมัยนี้ไม่ต้องหาคำสอนจากที่วัดเหมือนสมัยก่อนแล้ว อินเทอเน็ทมีหมด ขึ้นอยู่ว่าคนๆนั้นจะแบ่งเวลามาศึกษาและทดลองปฏิบัติหรือไม่
พศ 2500++ ก็ได้ครับ พอมีพระสงฆ์หรือฆราวาสคนไหนบ้างมั้ยครับ ที่ได้ไปนิพพาน แล้วคนเค้ารู้กันได้อย่างไรครับว่าได้ไปหรือไม่ได้ไป มีอะไรบ่งชี้หรือเป็น sign บ้างมั้ยครับ
ตอบ อันนี้ความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ ที่เป็น sign ได้บ้างก็คือ หากพระรูปใดก็ตามมรณภาพแล้ว เกิดพระบรมสาริกธาตุที่ศพของท่าน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ท่านจะไปนิพพานครับ ... ถ้าจะเอารู้จริงๆสมัยนี้จะต้องหาคนที่มีอภิญญา หรืออย่างน้อยได้ทิพยจักขุญาณ ถอดจิตไปดูให้รู้ชัดครับ ตรงนี้ไม่มีใครเขาเปิดเผยครับ (ถึงเปิดเผยไปก็คนก็ไม่เชื่อกันอยู่ดี เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ นอกจากคนๆนั้นจะทำได้แบบนั้นเหมือนกัน)
ทีนี้กลับเข้ามาที่เรื่องเจ้าของกระทู้นะครับ อันดับแรกผมขอเดาก่อนว่าคุณมีความรู้ทางธรรมเข้าใกล้ศูนย์ คือ คุณไม่เคยสนใจศึกษาศาสนาพุทธจริงจัง ปฏิบัติตามๆประเพณี เรื่องนรกสวรรค์คุณก็อาจจะเชื่อครึ่ง หรืออาจจะไม่เชื่อเลย ... ผมก็ขอตอบตามตรงว่า ถ้ายึดเอาตามพุทธศาสนาที่แท้จริง ตามที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ นี่คือ 10 อย่างที่มีจริงครับ เป็นกฏของโลก ซึ่งวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
ส่วนนิพพานคือจุดสูงสุดของพระพุทธศาสนาครับ พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน เพราะเป้าหมายของพระพุทธศาสนาที่สูงสุดคือพาคนไปนิพพานนั่นเอง
......
ทีนี้กลับมาที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสระบุรีก่อน เพราะการสอนของพระพุทธเจ้าโดยตามหลักที่ถูกไม่ได้หมายความว่าให้ละทิ้งทุกอย่าง ต้องพิจารณาอีกว่าเค้าหมายถึงละทิ้งอะไร ซึ่งปกติการจะไปนิพพานไม่ใช่ของง่าย ต้องผ่านการฝึกฝนจิตเป็นขั้นๆ ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บบอกทิ้งทุกอย่างแล้วจะไปได้เลย อันนั้นทางพุทธเรียกว่า "อัตตกาลิมฐานุโยค" (อาจจะเขียนไม่ถูก) แปลได้ว่า "แข็งเกินไป" ไม่ใช่ทางสายกลาง ... ตามแนวทางพระพุทธเจ้าจะต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ ผมไม่รู้ว่าที่ศูนย์นั้นสอนกันมาอย่างไรจึงบอกไม่ได้แน่ชัดครับว่าถูกหรือผิด ที่แน่ๆอะไรที่มันเวอร์เกินไป หรือเป็นการทำร้ายตัวเอง ให้คิดไว้ก่อนว่ามาผิดทางครับ ไม่ว่าจะเป็นทางการบริจาคทรัพย์ชนิดกู้หนี้ยืมสิน บริจาคแล้วตัวเองเดือดร้อน อย่างนี้ผิดทาง ... หรือการให้อดข้าว หรือทรมานร่างกาย ก็ผิดครับ ... สนใจพิธีกรรมมากเกินไปก็ผิดทาง ... แนะนำคุณไปเองแล้วเอามาเล่าจะดีที่สุดครับ
.
.
.
ท้ายนี้ที่คุณสงสัยว่าถ้าคนไปนิพพานหมด จะมีสิ่งประดิษฐ์ innovation ใหม่ๆได้ยังไงครับ ผมก็ขอถามกลับตามหลักพระพุทธศาสนาว่า "แล้วทำไมต้องมีอ่ะครับ ?" ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันจะต้องตายสลายพลัดพราก ไม่มันพังหายไป ก็คุณตายไปจากมัน แล้วคุณก็ไม่มีทางรู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ คุณจะไปสนใจทางโลกเพื่อประโยชน์อะไร คุณดูสตีฟ จ๊อบก็ได้ นักคิดค้นทำนวัตกรรม แต่ตัวเองไม่ทันได้ใช้เงินก็ตายแล้ว มันก็แค่นั้นครับชีวิต ถ้าไม่มีโลกนี้โลกหน้านี่ง่ายนะ ตายแล้วจบ แต่บังเอิญพระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้พบด้วยพระโพธิญาณว่าตายแล้วยังไม่จบ ตายแล้วยังต้องเกิดไปตามกรรมที่ทำ ถ้าเกิดเป็นคนใหม่ ก็ต้องเจอเรื่องอย่างนี้อีก สร้างโน้นสร้างนี่ เอาตาย วนใหม่ ทุกข์ซ้ำๆ ... พระพุทธศาสนาจึงไม่เห็นอะไรในโลกมีค่าแล้ว ต้องไปสายเดียวคือนิพพาน ... ผมรู้ว่าคุณยังไม่เข้าใจ เพราะคุณคิดว่าศาสนาน่าจะมีไว้เพื่อให้คนบนโลกสงบสุข โลกเจริญอะไรแบบนี้ แต่ศาสนาพุทธไม่ใช่อย่างนั้นครับ ศาสนาพุทธต้องการอย่างเดียวคือให้ทุกคนบนโลกพ้นทุกข์ แต่การที่โลกเจริญขึ้น มันไม่ได้ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ ... คนจะรวยแค่ไหนก้ตามถ้ายังมีกิเลสชุ่มจิตใจ มีเป็นพันล้านก็ยังทุกข์กว่าคนที่มี 1 ล้านแล้วพอใจในสิ่งที่ตนมี ... ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้คนมีความสุขไม่ได้มาจากภายนอก แต่อยู่ที่ภายในครับ นี่คือหลักของพระพุทธศาสนา สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แบบเบื้องต้นครับ
Edit :: ตอบเพิ่มอีกเพื่อให้ท่านหายสงสัยมากขึ้น
แต่ถ้าเกิดเราต้องละทิ้งครอบครัวบิดามารดาหรือผู้มีพระคุณ เราจะไม่ผิดข้อปฏิบัติเรื่องกตัญญูกตเวทีหรือครับ
ตอบ ที่ต้องให้ละทิ้ง คือละทิ้งกิเลสครับ ไม่ใช่ละทิ้งพ่อแม่ ... ละทิ้งในทีนี้คือความรู้สึกผูกพัน เรายังคงดูแลพ่อแม่ตามปกติเพราะเป็นหน้าที่ของบุตร แต่หากพ่อแม่เราจะตายขึ้นมา แล้วเราไม่สามารถช่วยเหลือได้ เราต้องทำใจวางเฉยได้ ไม่ทุกข์ไปกับมัน นี่คือหลักการครับ ... ที่ให้ละเนี่ย มันสำคัญที่ ละที่ใจ ครับ ไม่ใช่ละสิ่งของหรือบุคคลภายนอก
แล้วคฤหัสถ์ที่เค้าทั้งปฏิบัติและยังทำมาหากินอยู่เค้าจะใช้ชีวิตแบ่งโสตประสาทยังไงครับ
ตอบ ภายนอกก็ปกติ ทำงานหาเลี้ยงชีพ แต่ภายในคือพระ ทำงานก็เพื่อเลี้ยงตัวเองตามความจำเป็น เงินที่ทำบุญไม่ได้เป็นตัวบอกอะไรเลยว่าเขาละได้ไหม คนทำบุญเยอะจนหมดตัว แต่ใจยังหวังรวย หวังลาภยศคำสรรเสริญ แบบนี้ยังสู้คนที่ทำบุญน้อย แต่ใจไม่ได้หวังรวย หวังสรรเสริญไม่ได้ครับ
แล้วคนที่ทำงานไปด้วยจะไปถึงนิพพานช้ากว่าคนที่ไปอยู่ที่วัดเลยอย่างนั้นมั้ยครับ
ตอบ ไม่จำเป็นครับ แต่แนวโน้มมักจะช้ากว่าเพราะเรื่องทางโลกมีความวุ่นวายมากกว่าพระที่บวชวัดครับ คนที่ทำงานหาเลี้ยงตัวก็ต้องเหนื่อยกว่า ทะเลาะกับคนรอบข้าง หัวหน้าบ้าง เพื่อนร่วมงาน กลับบ้านก็หมดแรงแล้ว เวลาว่างก็เอาไปบันเทิง ... ส่วนพระมีข้าวให้กิน งานการก็น้อย เวลาว่างมาก แล้วไม่มีบันเทิง ไม่มีหญิงมากวนใจ อยุ่ใกล้ชิดพระศาสนา สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงได้ไวกว่าครับ ... แต่ฆราวาสก็สามารถทำได้นะถ้าแบ่งเวลา สมัยนี้ไม่ต้องหาคำสอนจากที่วัดเหมือนสมัยก่อนแล้ว อินเทอเน็ทมีหมด ขึ้นอยู่ว่าคนๆนั้นจะแบ่งเวลามาศึกษาและทดลองปฏิบัติหรือไม่
พศ 2500++ ก็ได้ครับ พอมีพระสงฆ์หรือฆราวาสคนไหนบ้างมั้ยครับ ที่ได้ไปนิพพาน แล้วคนเค้ารู้กันได้อย่างไรครับว่าได้ไปหรือไม่ได้ไป มีอะไรบ่งชี้หรือเป็น sign บ้างมั้ยครับ
ตอบ อันนี้ความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ ที่เป็น sign ได้บ้างก็คือ หากพระรูปใดก็ตามมรณภาพแล้ว เกิดพระบรมสาริกธาตุที่ศพของท่าน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ท่านจะไปนิพพานครับ ... ถ้าจะเอารู้จริงๆสมัยนี้จะต้องหาคนที่มีอภิญญา หรืออย่างน้อยได้ทิพยจักขุญาณ ถอดจิตไปดูให้รู้ชัดครับ ตรงนี้ไม่มีใครเขาเปิดเผยครับ (ถึงเปิดเผยไปก็คนก็ไม่เชื่อกันอยู่ดี เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ นอกจากคนๆนั้นจะทำได้แบบนั้นเหมือนกัน)
แสดงความคิดเห็น
นิพพานมีจริงมั้ยครับ ใครจะไปก็ได้หรอ แฟนจะละทุกอย่างเพื่อไปนิพพาน ศูนย์ปฏิบัติธรรม อริยะ สระบุรีเค้าสอนอะไรอ่ะ