ฆราวาสที่ศรัทธา แต่มีจิตคิดหรือติดหรืออยากได้ ยศ สรรเสริญ ในดงพระภิกษุสงฆ์ อยากบวชพระ พึงระงับ พึงถอยออกมาก่อน

ฆราวาสที่ศรัทธา แต่มีจิตคิดหรือติดหรืออยากได้ ยศ สรรเสริญ ในดงพระภิกษสงฆ์ อยากบวชพระ พึงระงับ พึงถอยออกมาก่อน ปฏิบัติธรรม กดข่ม ทำลาย จิตที่คิดหรือติดหรืออยากได้ ยศ สรรเสริญ ในดงพระภิกษุสงฆ์ เสียก่อน หรือทำให้ ทุรภาพเสื่อมลงมากๆ เสียก่อน

      ไม่เช่นนั้นมีโอกาศกลายเป็นมหาใจรทั้ง 5 อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้ง่ายในพุทธศาสนา  เพราะทั้งปิดกั่นมรรคผลนิพพาน ที่ร้ายแรงยิ่งคือเมื่อยังถือมั่นในเพศภิกษุสงฆ์ จนสิ้นชีวิต ก็มีอบายภูมิหรือนรก เป็นที่หมาย

       เพราะธรรมดาแล้วในพุทธศาสนา ผู้ที่ผิดศีลปาราชิกแล้ว แต่ปกปิดไว้ หรือมีมูลแต่ต่อสู้จนได้ ทั้งที่ผิดศีลปาราชิกจริง ก็ไม่มีใครบังคับให้ละหรือลาสึกเพศที่หลอกลวงได้

       แม้แต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนชีพอยู่  มีกลุ่มภิกษุผู้อยู่ในศีลอย่างอื่นดีเพื่อประสงค์พระนิพพาน แต่ทำผิดศีลปาราชิกโดนวานร(ลิง)ยั่วยุทางเพศ  จึงสมสู่กับวานร(ลิง)นั้น เป็นที่รู้กันของคนทั่วไป แต่ยังดือดึงไม่อยากลาสึกในเพศที่หลอกลวงนั้นได้

       ได้ขอร้องพระอานนท์ว่า ให้ไปช่วยตรัสบอกพระพุทธเจ้าด้วยว่า  พวกตนก็อยู่ในศีลในธรรมที่ดี แต่ได้ทำผิดปาราชิก สมสู่กับวานร  ขอให้พระพุทธเจ้าทรงงดศีลปาราชิกข้อนี้ให้กับพวกตน แล้วพวกตนจะปฏิบัติธรรมวินัยให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตามคำสั่งสอนของพระองค์

        พระอานนท์จึงกลับมาทูลบอกพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสทำนองว่า ไม่ได้แล้วเพราะศีลข้อนั้นเป็นธรรมวินัย เมื่อบัญญัติแล้วขอคืนกลับหรือยกเว้นบางกรณีไม่ได้   ภิกษุเหล่านั้นขาดจากความเป็นภิกษุสงฆ์ ไปตั้งแต่ขณะล่วงผิดศิลปาราชิกไปแล้วนั้น  ที่ครองเพศแบบพระภิกษุ ก็เป็นเพียงผู้หลอกลวงผู้คนเท่านั้น เมื่อยังไม่สละเพศที่หลอกล่วงออก ก็มีแต่จะนำไปสู่ อบายภูมิและนรกเท่านั้น

         หลังจากนั้นพระอานนท์ก็ได้บอก กลุ่มที่ผิดศีลปาราชิกนั้น   แต่กลุ่มผู้ผิดศีลปาราชิกนั้น ดังดือดังต่อไปโดยไม่ยอมละเพศภิกษุที่หลอกลวงผู้คนนั้น ทอดยาวไปเป็นเวลาพอควร  แล้วกลุ่มผู้ผิดศีลปาราชิกนั้นแพ้ภัยตัว จนสละเพศหลอกลวงนั้นไป.

          ดังนั้นฆรวาสที่อยากดัง แล้วบาชเพื่อได้ ยศ สรรเสริญ ในดงพระภิกษุสงฆ์ พึงระวังในข้อผิดศีลปาราชิก เรื่องอวดอุตริมนุษย์ธรรมที่ไม่มีอยู่ในตน เพราะข้อผิดศีลนี้ในปัจจุบัน เมื่อทำผิดแล้วในฐานะเป็นภิกษุที่ยังไม่มีชื่อเสียงยังไม่ดัง กลุ่มภิกษุทั่วไปด้วยกันก็จะไม่คอยเอามาเป็นธุระ ชาวบ้านทั่วไปก็จะไม่ค่อยเอามาสนใจ ก็จะกลายเป็นผู้ถือเพศหลอกลวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป จนลาสิกขา หรือตายไปในผ้าเหลือง ก็ลงในอบายภูมิและนรกไป

         ส่วนภิกษุสงฆ์ผู้มีชื่อเสียง ตามที่จิตเคยคิดหรือติดหรืออยากได้ แต่มีส่วนหนึ่ง(อาจมากหรือน้อยก็ได้) จะย่อมไหลไปตามกิเลสนั้นกล่าวอวดอุตริมนุษย์ธรรมที่ไม่มีในตนทั้งที่รู้ เพื่อรักษาชื่อเสียง/ทำให้เกิดชื่อเสียงเพิ่ม  ก็จะผิดศีลปาราชิกแล้ว  แต่ปัจจุบันในประเทศไทย ตั้งแต่อดีดมาจนถึงปัจจุบัน พระผู้มีชื่อเสียง เมื่อเกิดมูลเรื่องนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดนจับสึกเลย    

          จึงเป็นที่รอดตัวไปของผู้ที่ถือเพศแบบหลอกลวง ย่อมคิดว่า ไม่เป็นไร เล็กน้อย ไม่น่ากลัวตายไปไม่รู้จริงหรือเปล่า หรือยังมีความเขื่อเรื่องภพชาติอยู่ก็ไม่กลัวตอนนี้ยังไม่เป็นทุกข์แถมยังเอิ่มเอิบในชื่อเสียงสรรเสริญ แล้วคิดว่าตายไปค่อยว่ากัน  เพราะมีกิเลสเข้าข้างตนนั้นเอง  แต่เป็นสิ่งอันตรายและทุกข์อย่างยิ่งกับตนเองเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว มีแต่อบายและนรกเป็นที่หมายเท่านั้น (เหมือนดังสุภาษิตจีนที่ว่า ไม่เห็นโลงศพ ก็ยังไม่หลังน้ำตา)

จากพระไตรปิฏกเล่มที่ 1
                              มหาโจร ๕ จำพวก
         [๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร ๕ จำพวก
เป็นไฉน
         ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ
เราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี
เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ
สมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและ
ราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่น
เผาผลาญฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว
เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา
ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้
อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์
และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่
ในโลก
        ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียน
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒
มีปรากฏอยู่ในโลก
        ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัด
เพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่
พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก
       ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์
เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อาราม
วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กะถางโลหะ กะทะโลหะ
มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกะต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว
เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก
        ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาว
แว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.
                                นิคมคาถา
       ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้น
อันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น
ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้ว
ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุ
ผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าว
ของชาวรัฐ จะประเสริฐอะไร.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่